ร้านเบเกอรี่ของเอวาตกแต่งในสไตล์อบอุ่นและเป็นกันเอง โทนสีพาสเทลอ่อนถูกเลือกใช้เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสดใส ชั้นวางขนมที่ทำจากไม้วางเรียงรายไปด้วยขนมอบสดใหม่ที่หอมหวานจนต้องทำให้น้ำลายสอ กลิ่นหอมของขนมอบและกาแฟสดลอยกระจายทั่วร้าน โต๊ะและเก้าอี้ไม้เล็ก ๆ ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว แต่ละมุมของร้านมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
มุมหนึ่งเงียบสงบพร้อมโต๊ะสำหรับนั่งทำงานหรืออ่านหนังสือ เป็นมุมที่โซฟี เพื่อนสนิทของเอวา มักจะมานั่งเขียนนิยายอย่างเป็นประจำ
บรรยากาศในร้านเป็นไปอย่างเรียบง่ายและอบอุ่น มีลูกค้าไม่กี่คนที่นั่งอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของร้าน เสียงดนตรีเบา ๆ ที่เปิดคลออยู่ในร้านเพิ่มความรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายให้กับผู้ที่เข้ามาเยือน
เสียงกระดิ่งที่ประตูดังขึ้นเบา ๆ เมื่อประตูร้านถูกเปิดออก เอริค เวสต์ฟิลด์เดินเข้ามา สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ เขาไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่ แต่เพราะร้านนี้อยู่ใกล้กับบริษัทของเขา และเขาต้องการกาแฟเพื่อเรียกความตื่นตัว เขามองไปรอบ ๆ ร้านอย่างไม่ใส่ใจ บรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองรอบข้างดูเหมือนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเป็นพิเศษ
เอวาที่กำลังจัดขนมอยู่หลังเคาน์เตอร์เหลือบเห็นเอริคเข้ามาก็ยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มของเธออ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความดีใจที่ได้เห็นเขา “พี่เอริค มาซื้อกาแฟเหรอคะ?” เธอทักทายด้วยน้ำเสียงที่สดใส
เอริคเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอ เขาดูแปลกใจนิดหน่อย แต่ไม่แสดงออกชัดเจน “ร้านนี้เป็นร้านของเธอเหรอ?” น้ำเสียงของเขานิ่งเฉย แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ
เอวาพยักหน้ายิ้ม ๆ รอยยิ้มของเธอยังคงไม่หายไปจากใบหน้า “ใช่ค่ะ เอวาเปิดร้านนี้เอง พี่เอริคอยากได้อะไรดีคะ?”
เอริคหรี่ตามองเธอด้วยสายตาเยาะเย้ย
“กาแฟดำหนึ่ง แล้วก็ครัวซองต์สองชิ้น เอากลับทั้งหมด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจที่ไม่สามารถปกปิดได้
ขณะที่เอวากำลังเตรียมเครื่องดื่ม โซฟีที่นั่งอยู่ในมุมเงียบของร้านก็เงยหน้าขึ้นจากแล็ปท็อป เธอมองเห็นเอริคและยิ้มออกมา “สวัสดีค่ะ พี่เอริค ไม่คิดเลยว่าจะเจอพี่ที่นี่” เธอทักทายอย่างเป็นมิตร
เอริคหันไปมองโซฟีแวบเดียว สีหน้าของเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม “โซฟี เธอมาทำอะไรที่นี่?” เขาถามเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความไม่สนใจ
โซฟียิ้มอ่อน ๆ “มานั่งเขียนนิยาย พี่เอริครู้ไหม ร้านนี้เงียบสงบดี แถมขนมอร่อยด้วยค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เอริคพยักหน้าเล็กน้อย แต่ท่าทางยังคงเย็นชา
“เธอนี่ดูมีความสุขดีนะ อยู่กับยัยเด็กนี่” คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและไม่พอใจ
เอวายื่นถุงใส่กาแฟและครัวซองต์ให้เอริคด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะคะพี่เอริค” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสุภาพ
เอริครับถุงจากมือของเธอ มองเธอด้วยสายตาเย้ยหยัน “เหมาะกับเธอดีแล้ว งานแบบนี้” คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่ง
เอวารับฟังด้วยความสงบนิ่ง แม้ในใจจะรู้สึกเจ็บแปลบจากคำพูดของเขา แต่เธอก็ยังคงยิ้มอย่างสดใส “ค่ะ เอวาชอบงานนี้มาก มันทำให้เอวาได้เจอผู้คน ได้ทำในสิ่งที่เอวารัก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและแฝงไปด้วยความจริงใจ
เอริคยิ้มเยาะเล็กน้อย “ถ้าชีวิตเธอพอใจแค่นี้ก็ดีแล้ว” เขาพูดอย่างเหยียดหยาม
เอวายังคงยิ้มอย่างนุ่มนวล “ใช่ค่ะ เอวาพอใจแล้วค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่มั่นคง
โซฟีที่นั่งฟังอยู่มองเอริคด้วยความสงสัย “พี่เอริค ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ? งานนี้ก็เป็นงานที่ดีนี่นา ทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย” เธอถามด้วยความเป็นห่วง
เอริคหันไปมองโซฟีอย่างไม่ใส่ใจ “เธอก็แค่พูดให้มันดูดี เธอไม่รู้อะไรหรอก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่สนใจ
โซฟียิ้มอย่างอบอุ่น “บางทีนะคะ ความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน งานนี้อาจจะดูธรรมดาในสายตาพี่ แต่สำหรับเอวามันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอก็ได้” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและเป็นมิตร
เอริคไม่ตอบอะไร เขายังมองเอวาด้วยสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจและความเยาะเย้ย เขาหันหลังเดินออกจากร้านไปโดยไม่หันกลับมามอง ทิ้งให้เอวายืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในใจ
หลังจากที่เอริคเดินออกจากร้านไปแล้ว บรรยากาศในร้านก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง โซฟีมองตามเอริคที่เดินออกไปจนกระทั่งเขาลับสายตา แล้วหันกลับมามองเอวาที่กำลังจัดขนมอยู่หลังเคาน์เตอร์
“เอวา แกโอเคไหม?” โซฟีถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
เอวาหันมายิ้มให้เธอ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้า “ฉันไม่เป็นไรหรอกโซฟี แค่รู้สึกเจ็บนิดหน่อย” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง
“ก็แหงล่ะสิ พี่เอริคเล่นพูดกับแกแบบนั้น”
โซฟีพูดพร้อมกับส่ายหัว “แกไม่คิดจะพูดอะไรกลับไปบ้างเหรอ?”
เอวาส่ายหัวเบา ๆ “ไม่เป็นไรหรอกโซฟี พี่เอริคเขาดูน่าสงสาร แถมฉันก็ไม่อยากทำให้เขาโกรธมากกว่านี้ด้วย” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ
โซฟียิ้มและเดินเข้ามาใกล้เพื่อน “แกนี่ยังมองโลกในแง่ดีเหมือนเดิมเลยนะ แกไม่เคยโกรธพี่เอริคจริง ๆ เลยใช่ไหม?”
เอวาหัวเราะเบา ๆ “ฉันไม่รู้จะโกรธทำไม... เขาไม่ได้ทำอะไรที่ต้องโกรธเลย” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและจริงใจ
โซฟียิ้มและจับมือเอวา “แกนี่น่าทึ่งจริง ๆ นะเอวา ฉันไม่รู้จะทำยังไงถ้าเป็นแก” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและความเห็นใจ
เอวายิ้มตอบ “ขอบใจนะโซฟี ฉันก็แค่พยายามทำดีที่สุดเท่าที่ฉันทำได้” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและเต็มไปด้วยความหวัง
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน บรรยากาศในร้านก็เริ่มกลับมาคึกคัก ลูกค้าคนใหม่เข้ามาในร้าน และเอวาก็หันไปทำงานต่อ โซฟีมองเพื่อนของเธอด้วยความชื่นชมและความเป็นห่วง แต่เธอก็รู้ว่าเอวาเป็นคนที่แข็งแกร่งมากกว่าที่ใคร ๆ คิด
ทางด้านนอก เอริคเดินกลับไปที่รถของเขา
ใจของเขายังคงปั่นป่วนจากการพบเจอกับเอวา แม้ว่าเขาจะไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดเจน แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกไม่พอใจที่เห็นเธอมีความสุข และการที่เธอยังคงยิ้มและปฏิบัติตัวดีต่อเขาเสมอ มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
“ทำไมเธอต้องทำตัวเหมือนว่าทุกอย่างมันดีไปหมด?” เอริคพึมพำกับตัวเองขณะเดินตรงไปที่บริษัท ความรู้สึกสับสนและความโกรธที่เขาพยายามเก็บกดไว้ตลอดกลับท่วมท้นในใจอีกครั้ง
เอริคเปิดประตูเข้ามาในสำนักงานของลูคัสด้วยท่าทีหงุดหงิด ใบหน้าของเขาบึ้งตึงจนเห็นได้ชัด เขาไม่พูดอะไรเลย ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงานของลูคัสอย่างแรงจนเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะกระจัดกระจาย
ลูคัสที่กำลังอ่านเอกสารอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเอริคด้วยความสงสัย ก่อนจะยิ้มกวน ๆ อย่างที่เคยทำเสมอเมื่อเห็นเพื่อนในอารมณ์เช่นนี้
“โห ไอ้เอริค เป็นอะไรมาอีกวะ ทำหน้าเหมือนหมาโดนรถชนมาอย่างนั้น” ลูคัสพูดติดตลก แต่น้ำเสียงของเขายังแฝงความเป็นห่วงลึก ๆ
เอริคส่ายหัว ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เสียงหายใจที่ดังฟังดูหนักแน่นแสดงถึงความหงุดหงิดที่สะสมไว้ในอก “กูไปเจอยัยเด็กนั่นที่ร้านเบเกอรี่…”
ลูคัสเลิกคิ้วขึ้นแล้วหัวเราะเบา ๆ ความตลกขบขันแฝงอยู่ในน้ำเสียง “อ๋อ เอวาน่ะเหรอ มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเธอเปิดร้านอยู่ใกล้ ๆ บริษัท? น่ารักดีออก มึงว่าไหม?”
เอริคทำหน้าบึ้งตึงใส่ทันที มองลูคัสด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขารู้สึกถึงความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านในใจเมื่อคิดถึงการพบเจอกับเอวา “กูไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำตัวแบบนั้น เหมือนอยากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกูและครอบครัว ทั้ง ๆ ที่เธอแค่ลูกบุญธรรม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกูเลย” น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ลูคัสยิ้มกวน ๆ เอนตัวพิงเก้าอี้ ราวกับต้องการจะยั่วโมโหเพื่อนมากขึ้น “ไอ้เอริค มึงนี่จริงจังกับชีวิตมากไปหรือเปล่าวะ? กูว่ามึงควรลองเปิดใจบ้างนะ มึงอาจจะเห็นอะไรที่แตกต่างก็ได้”
เอริคถอนหายใจหนัก ๆ ความหงุดหงิดยังคงปกคลุมจิตใจ “กูไม่ไว้ใจเธอเลย ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนกูก็ไม่เชื่อใจเธอ” เขาตอบอย่างเคร่งขรึม ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นชาและไม่ยอมประนีประนอม
ลูคัสหัวเราะเสียงดัง พยายามคลายความตึงเครียดในห้อง “โอ๊ย ไอ้นี่ เอวาเธอไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายเลยนะ มึงคิดมากไปเองหรือเปล่า คนเค้าแค่ทำในสิ่งที่ชอบ ใครเค้าจะมาอยากทำร้ายมึงวะ?”
เอริคมองหน้าลูคัสด้วยสายตาที่เย็นชา
“มึงไม่เข้าใจกูหรอก ลูคัส กูไม่ชอบที่เธอพยายามเข้ามายุ่งในชีวิตกู เธอทำเหมือนเธอมีสิทธิ์ในทุกอย่าง ทั้งที่ความจริงเธอไม่มีสิทธิ์อะไรเลย” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ลูคัสมองหน้าเอริคด้วยสายตาที่กวนตีน
ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ “มึงนี่มันคิดมากเกินไปจริง ๆ นะ กูไม่เคยเห็นใครเกลียดคนแบบไม่มีเหตุผลเท่ามึงเลย เอาเป็นว่า… มึงแน่ใจนะว่าแค่เกลียด?”
เอริคขมวดคิ้ว ตอบเสียงแข็ง ราวกับปิดประตูใส่ความคิดของลูคัส “แน่ใจ กูเกลียดเธอ! กูไม่ต้องการให้เธอเข้ามายุ่งกับชีวิตกู เข้าใจไหม?”
ลูคัสหัวเราะเบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปตบไหล่เอริค พยายามทำให้เขาผ่อนคลายขึ้น “เอริค มึงแน่ใจเหรอว่าไม่ชอบ? หรือจริง ๆ แล้วมึงแค่หวง? มึงคงไม่รู้ตัวว่าที่จริงแล้ว...”
เอริคขัดขึ้นทันทีด้วยความหงุดหงิด
“กูไม่หวงอะไรทั้งนั้น! ยัยเด็กนั่นจะไปทำอะไรก็เรื่องของเธอ แค่ไม่ต้องมาเกี่ยวกับกู” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรำคาญและโกรธ
ลูคัสส่ายหน้า ยิ้มมุมปาก “เออ ๆ มึงก็พูดไป แต่ถ้ามึงลองเปิดใจหน่อย มึงอาจจะเห็นอะไรที่แตกต่างก็ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหวังดี
เอริคหายใจเข้าออกลึก ๆ พยายามควบคุมความโกรธที่กำลังลุกโชนในใจ “กูไม่อยากเปิดใจให้ใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเธอ” น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกระด้าง
ลูคัสหัวเราะอีกครั้ง เสียงหัวเราะที่ฟังดูเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยความเข้าใจ “มึงน่าจะลองดูสักทีนะ มึงอาจจะเจออะไรที่น่าสนใจก็ได้ อย่างน้อย...ก็เพื่อพิสูจน์ว่ามึงคิดถูกไงล่ะ”
เอริคมองลูคัสด้วยสายตาเย็นชา “กูไม่ต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้น มึงก็รู้ว่ากูไม่เชื่อใจใครง่าย ๆ” เขาพูดอย่างหนักแน่น
ลูคัสยักไหล่ ยิ้มอย่างกวน ๆ “เออ ๆ มึงพูดอย่างนี้ทุกที แต่เอาจริง ๆ มึงไม่เบื่อบ้างเหรอวะ ที่ต้องแกล้งทำเป็นไม่สนใจเธอ ทั้งที่ในใจมึงอาจจะคิดอะไรอยู่?”
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความท้าทาย
เอริคถอนหายใจอีกครั้ง ยอมรับว่าเพื่อนของเขาอาจจะพูดถูกบ้างในบางเรื่อง “กูแค่ไม่อยากให้เธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตกู แค่นั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่เงียบขรึม
ลูคัสยิ้มให้เอริค พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“มึงก็ต้องลองให้โอกาสเธอดูบ้าง ทุกคนมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้ มึงก็เหมือนกัน...”
เอริคมองหน้าเพื่อนของเขาอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะพูดเบา ๆ “บางที…มึงอาจจะพูดผิดก็ได้” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความลังเล แต่ก็มีแววของความหวังริบหรี่
ลูคัสหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน ใครจะพูดถูกเหมือนมึง เอาล่ะ ถ้ามึงยังไม่พร้อม ก็ไม่ต้องฝืน แต่มึงต้องรู้ว่ามึงไม่จำเป็นต้องเกลียดใครไปตลอดชีวิต” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและให้กำลังใจ
เอริคเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“เงียบเถอะ ลูคัส” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้าใจก่อนที่เอริคจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ลูคัสนั่งมองตามหลังเพื่อนด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหวังดีและเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าเอริคยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกที่ซับซ้อนของตัวเองอีกมากมาย แต่เขาก็เชื่อว่าเพื่อนของเขาจะหาทางผ่านพ้นมันไปได้ในที่สุด