บทที่ 2 ผู้กล้าเอาชีวิต

1163 Words
จานเจิ้งนั่งอยู่อ่างอาบน้ำให้บ่าวรับใช้ที่ถูกฝึกมาอย่างดีช่วยสระผมและขัดเนื้อขัดตัวให้ แม้เขาจะเสเพลเพียงใดแต่ก็ยังรักความสะอาดและความสวยงามยิ่งนัก หลังจากเที่ยวจนดึกดื่นแล้ว เช้าวันต่อก็มาก็จะอาบน้ำสระผมพรมด้วยกลิ่นกุหลาบจนหอมกรุ่นไปทั้งตัว “เมื่อคืน แม่นางคนนั้นดูเหมือนจะคิดวางยาเจ้าหมายเอาชีวิตเลยนะ” เถียนฮุยนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืน เขาจำได้ว่าสตรีผู้นั้นแฝงกายเป็นหญิงคณิกาหน้าใหม่หมายจะวางยาพิษจานเจิ้ง ยามนั้นพวกเขาทั้งสามล้วนเมามายแล้ว จานเจิ้งไหวตัวทันจึงจับตัวนางไว้ บีบบังคับให้นางสารภาพว่าผู้ใดใช้ให้นางมา? ทว่าหญิงสาวกลับปากแข็ง “แล้วอย่างไร? นางก็ทำอันตรายข้าไม่ได้ ซ้ำยังต้องกลายเป็นเบี้ยล่างข้าบนเตียงอีก เออ...ว่าแต่ เหมือนนางจะยังเป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่นะ” “นี่เจ้าขืนใจนางอย่างนั้นหรือ?” เถียนฮุยตาโต แม้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุรุษที่หาความดีในตัวได้ยาก แต่สิ่งที่ไม่คิดจะทำคือการขืนใจสตรี! “จะบ้าหรือไร? ข้าจับนางเข้าไปเพื่อเค้นความจริง แต่พอกรอกสุราไปครึ่งกานางก็เมาแอ๋ แล้วหันมาลวนลามข้า สุดท้ายข้ากับนางก็พร้อมใจกันขึ้นเตียงอย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ” “อ๊ะ! ตอนที่พวกเจ้ากอดจูบลูบคลำกันที่โต๊ะ ข้าก็เห็นอยู่นะ” เหมาฮ่าวรีบเป็นพยานให้สหาย เพราะเถียนฮุยผู้เป็นบุรุษมากรักได้ชื่อว่าเกลียดการขืนใจสตรีเป็นที่สุด “เช่นนั้นก็แล้วไป หากว่านางสมยอมก็ถือว่าเป็นโชคของเจ้า” “นางร้อนแรงจนทีแรกข้ากลัวว่าจะเป็นแผนลอบฆ่าเชียวล่ะ ที่ไหนได้! นางกลับหลงใหลในตัวข้า ทั้งรอบสองรอบสามนางก็ยังยินดี” จานเจิ้งยิ้มกว้าง เอ่ยอวดโอ้สหายราวกับชนะศึกระหว่างแคว้นก็มิปาน “ตกลงว่าเจ้าไม่ได้ความจริงจากปากนางสินะ” เถียนฮุยถอนหายใจ “จะได้อย่างไรล่ะ? ทำอย่างอื่นแล้วสนุกกว่านี่” “เสี่ยวเจิ้ง เจ้าอย่าประมาทไป ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีศัตรูถึงขั้นคิดเอาชีวิตมาก่อน ครั้งนี้เจ้าไปล่วงเกินผู้ใดหนักหนาไว้หรือไม่?” “ไม่! ไม่!” คุณชายจานโบกมือไหวๆ “ข้าไปไหนก็ล้วนไปกับพวกเจ้า จะเอาเวลาใดไปล่วงเกินผู้อื่นเล่า?” เหมาฮ่าวส่ายหน้า “ข้านึกไม่ออกเลยว่า ในบรรดาคนที่เราเคยเหยียบเท้าและหาเรื่องพวกนั้น ผู้ใดจะกล้าคิดเอาชีวิตพวกเรา?” กัวเจียงเยว่ที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่มานั่งกำหมัดอยู่ในศาลา “หากว่าเขาไม่ใช้วิธีสกปรกกรอกสุราข้า ข้าก็คงไม่ต้องพลาดท่าเสียทีเจ้าคนชั่วช้าเช่นนั้น!” นางหมายจะวางยาพิษในจอกสุราของจานเจิ้ง มิคาดว่าชายหนุ่มสายตาไวมองเห็นเสียก่อน นอกจากจะจับนางเอามือไพล่หลังกดลงกับโต๊ะแล้ว เขายังลากนางเข้าไปในห้องข้างๆ กรอกสุราไปเสียครึ่งกาเพื่อหวังให้นางเมาจนยอมพูดความจริง แต่สิ่งที่จานเจิ้งไม่รู้ก็คือ กัวเจียงเยว่แพ้สุรา หากนางดื่มเข้าไปมาก นางจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงคนที่อยู่ใกล้ไม่ยอมปล่อย พอนางทำเช่นนั้น จานเจิ้งก็เข้าใจว่านางให้ท่าจึงได้กอดจูบนาง ส่วนนางที่ไร้สติก็จูบตอบและทำตามที่เขากระซิบบอกกระทั่งทั้งสองเปลือยกายพัวพันกันอยู่บนเตียง ยิ่งคิด หญิงสาวก็ยิ่งวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย นางพลาดท่าเสียทีให้กับชายโฉดด้วยความประมาทแท้ๆ หากว่าวางยาเขาอย่างรัดกุมกว่านั้นก็คงไม่ต้องมานั่งเจ็บใจเช่นนี้ “คุณหนูเจ้าค่ะ ต้องให้เขาชดใช้ความแค้นครั้งนี้ด้วยชีวิตเจ้าค่ะ” ทีแรกกัวเจียงเยว่คิดจะวางยาให้เขาต้องนอนนั่งอยู่บนรถเข็นทั้งชีวิต ไม่อาจจะไปรื่นเริงบันเทิงใจข้างนอกได้อีก ในฐานะบุตรชายคนโตของใต้เท้าจาน ขุนนางผู้นั้นจะได้ทุกข์ตรมหม่นไหม้ไม่เป็นอันทำงานทำการ จะได้ไม่ต้องคิดมาฟาดฟันกับบิดาของนางอีกต่อไป “เจ้าไปเตรียมยาเอาไว้ ครั้งหน้าข้าจะไม่ให้เขาได้แม้แต่อ้าปากถามสักคำ ลงปรโลกไปเสียทั้งๆ ที่ยังหลับนั่นล่ะ” นางกำหมัดแน่น สั่งให้ซูหลีเตรียมยาพิษอย่างใหม่เอาไว้ “คุณหนูเจ้าคะ คนผู้นี้เราประมาทไม่ได้เลย เขาหูว่องตาไว มองปราดเดียวก็รู้สึกถึงความผิดปกติ” ซูหลีได้แต่เจ็บใจที่นางช่วยเหลือคุณหนูไม่ได้ เพราะตอนที่จานเจิ้งจับได้ว่าคุณหนูจะวางยา เขาให้คนลากเอาซูหลีที่แต่งกายเป็นเสี่ยวเอ้อออกไปมัดไว้ข้างนอก กว่าซูหลีจะหลบหนีออกมาได้ก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่พอมาถึงห้องที่คาดว่าคุณหนูถูกจับไปขังไว้กลับกลายเป็นว่าคุณหนูต้องพลาดท่าให้กับคุณชายจานไปเสียแล้ว “ครั้งนี้ข้าไม่มีทางพลาดซ้ำสองอีกเด็ดขาด จานเจิ้งต้องหายไปจาก โลกนี้! ในเมื่อมีข้าต้องไม่มีเขา!” สาวใช้ที่เฝ้าอยู่เรือนใหญ่ของบิดาวิ่งเข้ามาตามนางให้รีบไปดูท่านพ่อที่ยังคงไอไม่หยุด กัวเจียงเยว่ผุดลุกแล้วสาวเท้าไปยังเรือนนอนของบิดาและมารดาด้วยความร้อนใจ ใต้เท้ากัวขุนนางขั้นห้ากรมพิธีการ นอนล้มป่วยอยู่นานนับเดือนหลังจากที่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใต้เท้าจานในห้องประชุมใหญ่ เจ้ากรมพิธีการเกิ่งรู้สึกปวดหัวกับความขัดแย้งของขุนนางทั้งสองยิ่งนัก สิบกว่าปีก่อนคนคู่นี้เคยสนิทสนมกันเป็นอย่างดีแต่หลังจากเกิดเรื่องในงานเลี้ยงที่จวนของใต้เท้าถังใน คืนนั้น คนทั้งคู่ก็ไม่คบค้าสมาคม ซ้ำยังหันมากลายเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผย ใต้เท้ากัวถูกลงโทษจึงไม่ได้เลื่อนขั้นมาหลายปี ทำให้ยังคงเป็นเพียงขุนนางขั้นห้าในขณะที่ใต้เท้าจานขยับขึ้นเป็นขุนนางขั้นสาม “ท่านพ่อ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” “ไม่เป็นไรหรอกลูก ท่านแม่ของเจ้าให้คนไปตามท่านหมอมาดูอาการพ่อแล้ว ก็แค่หายใจไม่ค่อยสะดวกและมีอาการไอไม่หยุด กินยาไปหน่อยเดี๋ยวก็หาย” บุตรสาวคนโตของใต้เท้ากัวเดินนำท่านหมอรูปงามผู้หนึ่งเข้ามาในเรือนแล้วรีบผายมือให้เข้าไปตรวจดูอาการบิดาที่นอนอยู่บนเตียง “ท่านหมอเวิง ช่วยดูอาการท่านพ่อของข้าที เป็นแบบนี้นับเดือนแล้ว” ***********************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD