มีภูติผี / โปรดใช้วิจารณญาณ
เมื่อปั่นจักรยานเข้ามาในบ้านหมอธรรมแล้ว ตาคู่สวยก็เห็นรุ่นน้องในหมู่บ้านนั่งคุยกันอยู่ที่แคร่ใต้ต้นมะขามก่อนที่ทั้งสามจะหันมามองเธอ
“เย็นนี้ทำอะไรกินพี่แก้วตา?”
“พี่ว่าจะทำผัดต้มนี่แหละ” เมื่อเอาขาตั้งจักรยานลงแล้วแก้วตาก็เอ่ยตอบก้านที่กำลังยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม
“อยากกินซอยจุ๊เนอะ”
“มึงอยากให้ผีปอบมานั่งกินด้วยไง” เพียงได้ยินคำพูดของไม้บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นอึมครึ้มทันที ก้านที่อยู่ใกล้ไม้สุดจึงตบปากเพื่อนไปหนึ่งทีชี้หน้าไม้แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ปากมึงเนี่ยนะทำบรรยากาศเสียหมดจริง ๆ ไอ้ไม้”
“จริง! ฉิบหายกูอุตส่าห์ไม่คิดเหี้ยอะไรแล้ว สงสัยวันนี้ต้องเปิดประตูอาบน้ำอีกแน่” แม้จะเจอผีมาเยอะแต่ผีปอบก็ยังเป็นผีที่น่ากลัวสำหรับทั้งสามอยู่ดี เพราะมันเปิดผีที่กินไม่เลือกหน้า
“เออ กูขอโทษ”
สิ้นเสียงไม้แก้วตาที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ก็ขมวดคิ้วเป็นปมเพราะไม่ว่ารู้ที่ทั้งสามคุยอะไนกัน ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างเปิดเผยด้วยสีหน้าสงสัย
“ผีปอบอะไร?” เมื่อได้ยินเสียงเล็กเอ่ยถามทั้งสามก็หันไปมองเป็นสายตาเดียว นะโมที่นั่งอยู่บนรถเวฟเดินมาจับแขนแก้วตาไปนั่งอยู่แคร่ไม้แล้วทั้งสี่ก็สุ่มหัวพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นยังหมู่บ้านข้าง ๆ
“เมื่อสองสามวันชาวบ้านลือกันว่าหมู่บ้านข้าง ๆ เรามีปอบออกอาละวาด กินชาวบ้านที่กำลังป่วยล้มตายกันหลายคนแล้วพี่แก้วตา”
“หมู่บ้านยายสาวเหรอ?” พอก้านพูดยาวเหยียดแก้วตาก็เอ่ยถามออกไป
“ใช่! แล้วคนที่กำลังสงสัยว่าเป็นปอบก็คือยายสาว”
“ยายสาวที่เป็นหมอผีเหรอ?”
“ใช่”
ขณะทั้งสี่นั่งคุยกันอยู่ใต้ร่มไม้จู่ ๆ กิ่งไม้เล็กก็ตกลงมาโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งสายลมยามเย็นพัดปลิวสั่นไหวจนใบมะขามร่วงหล่นลงมา ฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ก็บินแตกกระเจิง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาทั้งสี่คนพูดไม่ออกนั่งเงียบกันกริบอยู่แบบนั้น…
กระทั่งตาคู่สวยมองขึ้นไปบนบ้านเห็นร่างสูงยืนกอดอกมองมาที่แคร่ไม้ แก้วตาจึงลุกขึ้นส่งยิ้มให้เสด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ เมื่อกลัวเขาจะว่าเธออู้งานมานั่งเล่นกับรุ่นน้อง ขาเรียวเล็กจึงรีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำกับข้าวทันที...
หลังจากแก้วตาทำกับข้าวเสร็จนะโมก้านและไม้ก็ช่วยกันยกกับข้าวขึ้นไปนั่งบนเรือนจากนั้นก็นั่งล้อมวงกินข้าว
ส่วนแก้วตากลับบ้านไปแล้วเนื่องจากเสเห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้าจึงให้เธอกลับ ส่วนจานเดี๋ยวให้ลูกศิษย์เขาจัดการเอง
เมื่อแก้วตาปั่นจักรยานมาถึงบ้านก็เดินไปหายายแววที่บ้าน
“ยายแววหนูเอากับข้าวมาฝากจ้ะ”
“ขอบใจมากนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” เจ้าของใบหน้าสวยหวานตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อได้เป็นผู้ให้ถึงแม้มันจะเล็กน้อยก็ตามแต่ก็อิ่มอกอิ่มใจไม่น้อย ขณะคุยกับยายแววอยู่ใต้ถุนบ้านแก้วตาก็ได้ยินเสียงตาผวนไอค่อกแค่กดังมาจากบนบ้าน ตาคู่สวยจึงมองลอดพื้นไม้ขึ้นไปเห็นตาผวนนอนอยู่บนเสื่อก็นึกสงสารไม่น้อยแก้วตาจึงตะโกนพูดให้กำลังใจ
“หายไว ๆ นะจ๊ะตาผวน” ชายชราได้ยินแบบนั้นก็ขานตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เออ” ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินกลับไปบ้านของตนเพื่อไปหาอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแก้วตาก็ปิดบ้านให้มิดชิด
จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือคนเดียวเงียบ ๆ คนเดียวภายในบ้าน
ปกติทุกวันเธอจะนอนเร็วไม่เกินสองทุ่มก็หลับแล้ว แต่วันนี้แม้จะนั่งอ่านหนังสือนานแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกง่วง อาจเป็นเพราะอยู่บ้านคนเดียว...
ภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีไม่มีหลังคาเรือนนั้นแสนเงียบสงัดไม่มีแม้แต่ชาวบ้านออกมาเดินเพ่นพ่านในยามวิกาลเลยสักคน
รอบหมู่บ้านก็มืดสนิทเนื่องจากบ้านทุกหลังปิดไฟเข้านอนแต่หัววัน มีเพียงบ้านปูนหลังเดียวที่ยังคงเปิดไฟสว่างจ้า…
ภายในบ้านหลังนั้นมีร่างเล็กนั่งอ่านหนังสืออย่างตั้งใจกระทั่งได้ยินเสียง…
แก๊ก ๆ
คล้ายกับคนเดินย้ำเท้าอยู่บนถนน ตาคู่สวยจึงหยุดชะงักจากการลากมองตัวอักษรที่อยู่ปรากฏบนหนังสือ ก่อนจะหันมองไปยังประตูบ้านที่ปิดสนิทเมื่อได้ยินเสียงดังไม่ไกลจากหน้าบ้านของเธอ
แก้วตาพยายามตั้งใจฟังว่าเสียงนั้นคือเสียงอะไรขณะหัวใจนั้นเต้นสั่นระรัวหวาดกลัวไม่น้อย ยิ่งในหัวพลันนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินเมื่อช่วงเย็นก็แทบจิตแตกกระเจิง
แต่ก็พยายามไม่ฟุ้งซ่านคิดเสียว่าจิตปรุงแต่งคิดไปเองเท่านั้นทั้งที่นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้แล้ว
เสียงเดินย้ำเท้ายังคงดังไม่ว่างเว้น อีกทั้งสุนัขเลี้ยงของชาวบ้านยังพร้อมใจกันเห่าหอนเสียงดังระงมเหมือนว่าพวกมันกำลังเห็นอะไรอยู่
แก้วตานั่งเพ่งมองบานประตูไม้เก่า ๆ ไม่ละไปไหนก่อนที่เสียงนั้นจะค่อย ๆ ห่างไกลบ้านเธอไปทางบ้านยายแววและดังซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น
ด้วยความสงสัยว่ามันคือเสียงอะไรกันแน่ แก้วตาจึงลุกจากเก้าอี้เดินไปทางหน้าต่างไม้ที่อยู่ข้างบ้าน ซึ่งติดกับบ้านของยายแววกับตาผวนมีต้นเข็มเล็ก ๆ ปลูกกั้นเป็นรั้ว
จากนั้นก็ลากเก้าอี้ไปปีนดูข้างนอกผ่านช่องโหว่ระหว่างผนังปูนกับสังกะสีด้วยหัวใจที่เต้นสั่นระรัว
เมื่อใบหน้าสวยหวานโผล่พ้นช่องลมตากลมโตก็มองเห็นหญิงชราผมขาวทั้งหัวคนหนึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่ใต้ถุนบ้านยายแววด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
คิ้วเรียงสวยจึงขมวดขึ้นเป็นปมและได้แต่สงสัยว่าเขาเป็นใคร ทำไมมาเดินอยู่ข้างล่างในช่วงเวลานี้ แก้วตาพยายามเพ่งสายตามองว่าเป็นใครแต่ก็มองไม่ถนัดด้วยระยะและความมืด
...กระทั่งหญิงชราคนนั้นหันมามอง เธอจึงรีบหลบเพราะกลัวเขาจะจับได้ว่ากำลังแอบมองอยู่
มือเล็กยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจขณะหัวใจเต้นสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ จากนั้นก็พยายามตะแคงหูฟังเสียงเดินนั้นกระทั่งเสียงนั้นเงียบไป มือเล็กจึงเอื้อมไปจับขอบปูนแล้วค่อย ๆ ยกตัวขึ้นโผล่หน้าขึ้นดูหญิงชราคนนั้นอีกครั้ง...
เมื่อใบหน้าสวยโผล่พ้นขอบปูนสายตาก็มองไปยังใต้ถุนบ้านยายแววแต่ก็ไม่เห็นใครแล้ว แก้วตาจึงถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกจากนั้นก็เตรียมลงจากเก้าอี้
…แต่พอช้อนตาขึ้นมองไปยังหน้าบ้านยายแววที่เปิดโล่งอยู่ ทำเอาดวงตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า
หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นสั่นระรัวถี่ยิบหายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะจุกอยู่ในอก ยิ่งสายตาพลันสบกับยายสาวที่แววตาว่างเปล่า สวมใส่ผ้าซิ่นกับเสื้อคอกระเช้าสีดำนั่งยอง ๆ อยู่ขอบหน้าต่างชั้นสองของบ้านยายแวว ตัวแก้วตาก็สั่นระริกแข้งขาสั่นพั่บขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ก่อนจะกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินถอยหลังจนแผ่นหลังชิดกับผนังบ้านเหงื่อเม็ดเล็กผุดทั่วใบหน้าและลำตัว ขณะดวงตาจ้องมองหน้าต่างบ้านเธอไม่ละไปไหนส่วนในหัวก็ย้ำสิ่งที่เพิ่งรับรู้
...ยายสาวเป็น ปอบ จริง ๆ
กระทั่งไม่อาจทนกับความหวาดกลัวในภาพที่เห็นได้ แก้วตาจึงลากฝีเท้าที่หนักอึ้งวิ่งตรงไปยังประตูบ้าน ทั้งที่ภายในใจนั้นกระวนกระวายว้าวุ่นจวนจะคลั่ง
ก่อนจะผลักดันประตูออกไปจากนั้นก็วิ่งสุดชีวิตไปยังบ้านเรือนไทยหลังสุดท้ายของหมู่บ้านทันที...
สองขาเรียวเล็กวิ่งไม่คิดชีวิตสายตามองยังเบื้องหน้าโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองทางด้านหลัง ขณะน้ำสีใสไหลเอ่อไหลด้วยความหวาดกลัวจนจิตแทบแตกกระเจิง
แม้บรรยากาศรอบข้างนั้นจะวังเวงจนน่าขนลุก แต่ก็ไม่กลัวเท่ากับสิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่แล้ว สองขาเรียวเล็กยังคงวิ่งไม่คิดชีวิต กระทั่งใกล้ถึงบ้านเรือนไทยแก้วตาก็หันกลับไปมองทางด้านหลังเห็นเพียงถนนทอดยาวมีเพียงแสงไฟนีออนส่องให้เห็นทางเพียงรำไร
จากนั้นก็หันหน้ากลับมาเพื่อวิ่งเข้าไปในบ้านหมอธรรมทว่ากลับไม่ทันระวังเพราะมัวแต่ระแวงด้านหลัง กลัวผีปอบยายสาวจะตามควักไส้กินทำให้...
“โอ๊ย!” สะดุดขาตัวเองล้มอยู่หน้าบ้านหมอธรรมพอดีซึ่งอีกนิดก็จะถึงแล้ว เมื่อล้มหัวเข่ากระแทกพื้นจนถลอกเลือดไหลซิบรับรู้ถึงความเจ็บแสบ แก้วตาก็รีบพยุงตัวนั่งพอตั้งสติได้ก็รีบหันกลับไปมองทางด้านหลังแต่ก็ไม่เห็นใคร
ตาคู่สวยจึงมองลงที่หัวเข่ากับฝ่ามือที่มีหินเม็ดเล็กปักอยู่ แม้จะเจ็บไม่น้อยแต่ด้วยความกลัวมีมากกว่าสิ่งอื่นใดจึงเตรียมดันตัวลุกขึ้นจากพื้น
ทว่ากับได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากทางด้านหลังเสียก่อน ทำเอาหัวใจดวงน้อย ๆ เต้นถี่รัวขึ้นอีกครั้งนั่งตัวแข็งทื่อสั่นระริก เพราะเสียงมันคล้ายกับที่เดินอยู่หน้าบ้านยายแววก่อนเห็นผีปอบยายสาว
พอคิดได้แบบนั้นแก้วตาจึงตัดสิ้นใจหันไปมองเสียงนั้นแม้จะหวาดกลัวแค่ไหนก็ตาม...
ทำให้เห็นร่างสูงกำยำเดินฝ่าแสงสลัวตรงมาที่เธอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เพียงรู้ว่าเป็นใครน้ำสีใสก็หลั่งไหลพลั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ตามด้วยเสียงสะอื้นไห้เมื่อดีใจจนระบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ทางด้านเสเมื่อเดินออกมาจากบ้านกระทั่งถึงตัวแก้วตาที่นั่งอยู่กลางถนน ที่เขาเห็นเธอวิ่งล้มในตอนกำลังจะปิดหน้าต่างจึงรีบลงมาหา
จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงด้านหน้าเธอที่มีสีหน้าตื่นตระหนกดูหวาดกลัวเหมือนเพิ่งพบเจออะไรมา อีกทั้งหัวเข่าและฝ่ามือยังถลอกเลือดไหลซึมจึงเอ่ยถามออกไป
“ทำไมวิ่งมาที่นี่ดึก ๆ ดื่น ๆ”
“คืนนี้หนูขอนอนด้วยได้ไหมคะ?”