“องค์ชายเจ็ดกล่าวถ่อมตนเกินไปแล้ว หม่อมฉันเป็นเพียงพระชายาเอกเพิ่งแต่งเข้าราชวงศ์ หากองค์ชายเจ็ดมิยอมรับการคารวะของหม่อมฉัน อี้หลานฮวาผู้นี้คงลำบากใจแล้ว”
เด็กสาวโค้งกายลงอีกครั้งพร้อมเอ่ยคำแล้วไม่ยอมเงยหน้าขึ้นอีก รอจนกว่าองค์ชายเจ็ดหรือหยวนลี่หยางจะเอ่ยรับคำ ซึ่งแน่นอนว่าจื่อชิงเองก็กระทำตามผู้เป็นนายเช่นกัน
“โอ๊ะ! ขอพระชายาอี้ทรงละเว้นเปิ่นหวางเถิด เปิ่นหวางนั้นยังต้องการมีชีวิตต่อไป เชิญลุกขึ้นเถิด...ลุกขึ้นเถิด”
...บุรุษผู้นี้ช่างกวน...มิน่าจะรอดชีวิตมาถึงสิบเก้าปีเลย...
อี้หลานฮวานึกด่าทออีกฝ่ายอยู่ภายในใจ ทว่านางก็ยอมที่จะเลิกโค้งกายจนต่ำศีรษะแทบจรดพื้น มิใช่อันใด วันนี้นางกำลังอารมณ์ดีที่ ‘ฉีกกระชาก’ หน้าและผมทั้งศีรษะของทั้งฮ่องเต้และเฉิงกุ้ยเฟยได้สำเร็จ หลังจากที่เก็บความเจ็บแค้นภายในใจมาหลายวันนับจากที่นางทราบความจริง
...ก็บอกแล้วว่าคนสกุลอี้กินข้าวหอมอย่างดี มิได้กินหญ้าหรือฟางแห้ง...
จะได้โง่เขลาให้อีกฝ่ายตุ๋นคนเปื่อยเป็นเนื้อแพะแล้วยกซดกินโดยง่าย พวกนางมีอำนาจไม่เท่าฮ่องเต้ก็จริง แต่ ‘กำลังคน’ คนสกุลอี้นั้นมีไม่น้อยหน้าคนสกุลหยวนหรอก หากคิดไม่ซื่อจะยึดราชบัลลังก์ก็ง่ายดังพลิกฝ่ามือเท่านั้น เพียงแต่ท่านปู่จนมาถึงท่านพ่อกับเหล่าท่านอาล้วนไม่คิดชั่วช้าเช่นนั้น แต่หากฮ่องเต้และหยวนเยี่ยเจายังเป็นเช่นนี้ก็ไม่แน่หรอก ท่านปู่ของนางอาจจะทดลอง ‘พลิกฝ่ามือ’ เล่นก็เป็นไปได้
“องค์ชายเจ็ดกล่าวเกินไปแล้ว” สาวน้อยแย้มยิ้ม ‘การค้า’ ไปให้แก่ ‘น้องพระสวามี’ เพราะนางเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเขานั้นลึกล้ำเพียงใด เพราะหากจะนับตั้งแต่จำความได้ เขาคือคนแรกที่นางอ่านสิ่งใดจากสายตาคู่นั้นไม่ได้เลย ยิ่งใบหน้าหล่อเหลานั้นด้วยแล้วนางยิ่งจับอารมณ์และความรู้สึกของหยวนลี่หยางไม่ได้เลย
“มิบังอาจ เพราะเกรงว่าในต้าหยวนนี้ที่ ‘ปั่น’ พระเศียรของฮ่องเต้และเฉิงกุ้ยเฟยได้ เห็นจะมีเพียงพระชายาอี้แล้วที่องอาจหาญกล้าหึ...หึ...หึ...”
...เขาทราบได้อย่างไรกันว่านางไป ‘รังแก’ สองสามีภรรยาคู่นั้นมา?...
จากที่คิดจะเดินจากไปแล้วกลับไปเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่า และไปกอดท่านแม่ อี้หลานฮวาจึงเปลี่ยนความคิดทันใด เพราะหยวนลี่หยางหรือ ‘น้องพระสวามี’ ผู้นี้มิใช่ธรรมดาเสียแล้ว เขาเท่าทันนาง และมองนางทะลุปรุโปร่ง ทว่านางมองเขาไม่ออกสักเสี้ยวธุลี เช่นนี้มิได้การเสียแล้ว
“องค์ชายเจ็ดช่างชื่นชมหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ อี้หลานฮวาผู้นี้เป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่ง ไร้พิษภัยไฉนเลยจะบังอาจไป ‘ปั่น’ พระเศียรฮ่องเต้และเฉิงกุ้ยเฟยได้ หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีธรรมดายังอยากมีลมหายใจและหวาดกลัวโทษทัณฑ์ยิ่งนัก หากหาญกล้าเช่นนั้นคงยากจะออกมาพ้น ‘ถ้ำพยัคฆ์’ เช่นตำหนักจินหลงแล้วเพคะ”
นางเผลอกายเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วเพียรพยายามจะจับสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายให้จงได้ จนลืมไปว่านางมีฐานะ ‘พี่สะใภ้’ ของเขา การยืนใกล้ชิดบุรุษอื่นเกินไปไม่สมควรอย่างยิ่ง มุมปากแกร่งจึงยกยิ้มเล็กน้อยแล้วขยับกายเดินห่างออกไป พร้อมกับหันหน้าไปมองยังบึงน้ำกว้างใหญ่ซึ่งมีดอกบัวมากมายกำลังเบ่งบานส่งกลิ่นหอมกรุ่นกำจายจนอี้หลานฮวาเผลอสูดกลิ่นหอมนั้นเข้าไปเสียเต็มท้อง
“พระชายาอี้ ระหว่างเรา เปิ่นหวางเป็นเพียง ‘น้องพระสวามี’ ของพระองค์เพียงเท่านั้น และที่สำคัญเกินสิ่งใดเปิ่นหวางยังเป็นบุรุษอีกด้วย ทรงละเว้นเปิ่นหวางเถิด”
นั่นเองที่เด็กสาวจึงได้สติ บุรุษตรงหน้าของนางนั้นช่างมีพลังลึกลับดึงดูดให้นางเดินเข้ามาหาเขาได้เองโดยหลงลืมฐานะและความเหมาะสมไปชั่วครู่
“ขออภัยเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา”
นางเอ่ยขอตัวเพราะไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลย ความรู้สึกว่านางอยากเข้าใกล้เขาอีกนิด อยากรู้จักตัวตนของหยวนลี่หยางอีกสักหน่อย เขาช่างเหมือนศพที่นางอยากผ่าดูภายใน เหมือนพิษหายากที่ต้องการปรุงมันแล้วทดลอง ในชีวิตสิบห้าปีมานี้ยังไม่เคยมีผู้ใดเคยทำให้นางมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่หยวนเยี่ยเจา!
“เชิญ...ไม่ส่งนะ”
หยิ่งยโสมากเลยทีเดียว ต่อให้เขาเป็นเพียงองค์ชายเจ็ดที่รอวันจะถูกฮ่องเต้กับองค์ชายใหญ่หาโอกาสเหมาะๆ เด็ดชีพเขาและพระมารดา ทว่านางสัมผัสได้ชัดเจนว่าหยวนลี่หยางนั้นหยิ่งและทะนงตนมากมายอย่างยิ่ง ที่เขาเอ่ยปากทักทายและกิริยากับคำพูดเหล่านั้น ที่แท้ก็เพียงแค่ ‘งิ้ว’ หนึ่งบทที่เขาอยากแสดงเพียงเท่านั้น หากแต่ความเป็นจริงแล้ว หยวนลี่หยางหาใช่คน ‘ขี้เล่น’ และไร้แก่นสาร ทว่าเขาคือ ‘ตัวจริง’ ที่สมควรจะได้ตำแหน่งไท่จื่อ และสมควรได้เป็นฮ่องเต้ปกครองต้าหยวน
เพราะเขาแยกแยะเก่งกับฉลาดเหลียวมากกว่าพระสวามีของนางอาจเกินไปหลายสิบส่วน เพราะหากหยวนเยี่ยเจา ‘ฉลาด’ จะต้องเอาอกเอาใจนางที่เป็นบุตรสาวและหลานสาวคนเดียวที่คงทั้งสกุลอี้ถนอมราวกับไข่มุก ส่วนสตรีแซ่หลิงผู้นั้นเขารอเวลาอีกหน่อย เมื่อตนเองได้ขึ้นนั่งตำแหน่งไท่จื่อแล้วจะตบแต่งกัน นางย่อมยากจะไปขัดขวางได้ เพราะองค์ไท่จื่อแต่งพระชายารองได้ถึงสี่นาง ตำแหน่งก็เป็นรองนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าเขากลับเบาปัญญา ใช้เพียงอารมณ์พึงใจส่วนตัวตบแต่งสตรีแซ่หลิงผู้นั้นก่อนนาง ซึ่งหากจะนับกันตามเวลา นางคือ ‘ผู้มาทีหลัง’ หากเกิดอันใดขึ้น เพียงหยวนเยี่ยเจายกข้อนี้ขึ้นมากล่าวในภายหลังหวังลดฐานะนางไม่ให้ได้เป็นฮองเฮาล้วนทำได้โดยไร้ขุนนางใดจะไปโต้แย้ง นี่แหละที่นางคับแค้นแน่นในอกมาหลายวัน
นางรักและภักดีต่อเขาเสมอมานับจากทราบว่าตนเองมีคู่หมั้นคู่หมาย บุรุษหมื่นแสนล้วนมิเคยชายหางตาเหลือบแล ต่อให้คนผู้นั้นหล่อเหลา ร่ำรวย และดีต่อนางเพียงใด ทว่าที่ตอบแทนหยวนเยี่ยเจากลับทำกับนางเช่นนี้ อี้หลานฮวารู้สึกว่าตนเองถูกหักหลังอย่างไม่รู้ตัวจวบจนคนของพี่ชายของนางแจ้งข่าวมา และนางแจ้งแก่ท่านพ่อกับท่านปู่ไป ไม่ถึงเจ็ดวันหลังสมรสพระราชทานเสร็จสิ้นลง ความจริงทุกสิ่งที่ฮ่องเต้กับองค์ชายใหญ่กระทำต่อนางก็เปิดเผยได้แล้ว
“พระชายา...” เมื่อขึ้นมานั่งบนรถม้า อี้หลานฮวาก็หลับตาลงแล้วคราวนี้กลับเป็นน้ำตาที่นางเก็บมันมาหลายวันก็พรั่งพรูออกมาจากใจจริง นางคับแค้นใจจนร้องไห้ นางเป็นถึงไข่มุกที่ทุกคนในสกุลอี้ถนอมมานับตั้งแต่กำเนิดจนเติบโตแล้วแต่งงานออกมา แต่หยวนเยี่ยเจากลับตอบสนองนางด้วยการหลอกลวงและหักหลัง ความเจ็บปวดนี้มันแสนสาหัสสำหรับเด็กสาววัยสิบห้าปีเช่นนนางยิ่งนัก!
“นับจากนี้ให้เรียกข้าว่า ‘คุณหนู’ เช่นเดิม”
อี้หลานฮวาไม่ได้กล่าวว่าเหตุใดจึงออกคำสั่งนั้นออกไปแก่คนสนิท มีเพียงนางเท่านั้นที่ทราบดีเพียงคนเดียว นางเจ็บราวกับถูกใบมีดกรีดลงบนใบหน้า นางปวดร้าวดังถูกหยวนเยี่ยเจานั้นใช้มีดสั้นควักดวงตาทั้งคู่ออกไป ดังนั้นจะเอาใจไปผูกสมัครรักใคร่คนร้ายกาจเช่นนี้อีกต่อไปหรือ?...
...ไม่!!!...
คำตอบนี้ดังขึ้นภายในใจทันควันที่สิ้นคำถาม นางรักเขา แต่เขาไม่รักนางไม่พอยังทำร้ายและทำลายชื่อเสียงสกุลอี้ กับหักหลังและกรีดใบหน้าของนางราวกับนางคือสตรีไร้คุณค่า แล้วเช่นนี้นางยังให้คุณค่าเขา นางก็โง่งมกว่าลาตัวหนึ่งแล้ว นางเกิดเป็น ‘คน’ มิใช่กำเนิดออกมาจากท้องของลา
...ให้ดวงใจไปได้นางก็ดึงคืนกลับมารักตนเองได้เช่นกัน!!!...
“กลับสกุลอี้!” นางเป็นพวกไม่ยอมจมอยู่กับอดีตอันไร้คุณค่า ในเมื่อแต่งงานได้ นางก็หย่าขาดได้เช่นกัน ชีวิตของนางมิได้ขาดเขาแล้วจะขาดใจ แต่งงานมาเพื่อนอนกอดหนังสือสมรส นางจะทนไปไย อนาคตนางยังอีกยาวไกล ในเมื่อเขาเป็นฝ่าย ‘ผิดสัญญา’ ตบแต่งสตรีอื่นเข้าตำหนักก่อนนาง เช่นนี้สัญญาแต่บรรพกาลก็สิ้นสุดแล้ว
...จวนหลังสกุลอี้...
“เจ้าแน่ใจแล้วนะเสี่ยวหลาน” ท่านปู่คือผู้ที่เอ่ยปากสอบถามนางเป็นคนแรกเมื่ออี้หลานฮวากลับจวนแล้วเอ่ยปากว่าตนเองจะเดินทางไปแคว้นเหล่ยเพื่อไปหย่าขาดจากหยวนเยี่ยเจา เพราะทุกคนทราบดีว่าตลอดมาเด็กสาวพึงใจอีกฝ่ายมากเพียงใด
“นับจากเกิดมาจนถึงวันนี้ เสี่ยวหลานไม่เคยแน่ใจอันใดเท่านี้เจ้าค่ะ ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง ท่านอา”
แน่นอนเรื่องใหญ่เช่นนี้นางย่อมต้องเชิญทุกคนมาฟังให้พร้อมกัน นางจะตบแต่งอี้หลานฮวาก็ถือว่าตนเองยินยอมเปิดเผย แล้วในวันนี้คิดหย่าขาด นางก็สง่าผ่าเผยที่จะยอมรับว่าตนเองมองคนผิดไป เลือกสามีผิดแล้วอย่างไร นางเพียงสิบห้าร่างกายยังสะอาดบริสุทธิ์ ไยจะต้องกลัว เขาไม่รักไม่เคยใส่ใจ นางเห็นสภาพของฮองเฮาเป็นตัวอย่างแล้ว ย่อมไม่ดักดานหรือดื้อด้านทู่ซี้จะยืนหยัดต่อไปทั้งที่สิ้นไร้อนาคต
...ไม่สิ นางหาได้สิ้นไร้อนาคต หากแต่อนาคตของนางหากเลือกจะทนต่อไปย่อมน่าสมเพชเกินบรรยายต่างหาก...
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะออกเดินทางไปแคว้นเหล่ยยามใด”
ถึงคราวผู้เป็นบิดาบ้างแล้วที่เอ่ยสอบถาม เพราะเลี้ยงดูบุตรสาวคนนี้มาอย่างดี แน่นอนพอทราบความจริงที่หยวนเยี่ยเจากระทำ เขานั้นเดือดดาลแทบจะยกกองทัพไปถล่มวังหลวงให้ป่นเป็นผุยผง แต่เพราะบิดาเช่นเสนาบดีอี้ตักเตือนดึงสติของเขาเอาไว้ได้ทัน เลยยังคงปล่อยเวลาเนิ่นนานหวังให้เจ้า ‘บุตรเขย’ ตัวดีมันกลับใจ เร่งทอดทิ้งฝ่ายนั้นกลับเมืองหลวงมาหาบุตรสาวของตนเอง แต่ผ่านไปสิบแปดวันกลับไร้วี่แวว
การข่าวของสกุลอี้กลับรายงานว่าหยวนเยี่ยเจานั้นกำลังทะนุถนอมพระชายารอง คาดว่าคงอีกร่วมหนึ่งปีจึงค่อยกลับมา เพราะพระชายาหลิงกำลังตั้งครรภ์ได้ถึงสามเดือนแล้ว
...บัดซบมันเถอะ!!!...
นี่ก็แสดงชัดเจนแล้วว่าองค์ชายใหญ่ผิดสัญญามาเนิ่นนานแล้ว หาไม่เดินทางเพียงสิบเอ็ดวันก็ถึงแคว้นเหล่ยแต่พระชายารองกลับมีครรภ์ถึงสามเดือนได้อย่างไร ตบแต่งก็ก่อนอี้หลานฮวา นี่ยังมาตั้งครรภ์ก่อนอีก อนาคตของบุตรสาวเขาเล่าจะเป็นเช่นไรกันเล่า?
“ขอเป็นอีกสามวันเจ้าค่ะท่านพ่อ”
อี้หลานฮวาตอบแก่บิดาฉะฉานไร้ร่องรอยอาลัยอาวรณ์ ถึงดวงตายังแดงก่ำ แต่แววตาภายในกลับเด็ดเดี่ยวสมกับเป็นสกุลนักรบมาหลายชั่วอายุคน อี้หลานฮวานั้นเป็นสตรีเช่นนี้ ในยามรักนางให้ไปหมดใจ ทว่าในยามตัดนางก็สามารถสะบั้นจนขาดไร้ซึ่งเยื่อใยใด
...หรือบางที ที่ผ่านมาเด็กสาวอาจไม่เคยรักหยวนเยี่ยเจาเลยก็เป็นไปได้...
นางอาจแค่เพียงเคลิบเคลิ้มที่มารดาปลูกฝังมานับจากเยาว์ว่าตนเองจะต้องรักแต่เพียงองค์ชายใหญ่ เพราะคือคู่หมั้นคู่หมายต่อกัน แล้วเมื่อเด็กสาวเริ่มเข้าสู่วัยสาวก็มีเพียงหยวนเยี่ยเจาผู้เดียวที่เข้าใกล้เด็กสาวได้ ส่วนบุรุษอื่นถูกกีดกันออกไปจนหมด แต่บัดนี้พอนางจับได้ว่าถูก ‘หักหลัง’ จึงตัดขาดอีกฝ่ายง่ายดายราวกับตัดเส้นด้ายเส้นหนึ่ง มิใช่ตัดสายใยแห่งรักที่คล้ายบัวที่ตัดเช่นไรเยื่อใยก็ยังคงหลงเหลือให้กลับมาสานต่อกันได้เช่นคู่รักคู่อื่น
...แต่หย่าขาดก็ดีแล้ว แผ่นดินนี้มีเพ่ยฮองเฮาผู้เดียวย่อมพอแล้ว อย่าให้บุตรสาวของเขาต้องเดินตามรอยสตรีผู้นั้นเลย...