รักอันธพาล - Start
- มหาลัย -
“ สำหรับวันนี้ก็มีเท่านี้ อย่าลืมงานที่อาจารย์สั่งกันละ ”
“ ครับ / ค่ะ ”
“ งั้นก็เลิกคลาสจ้ะ ”
“ โอ้ยย งาน งาน งานอีกแล้ว จะเป็นลม ” หลังจากอาจารย์เดินออกไปได้ไม่นานคนข้างๆก็หันหน้ามาโอดครวญกับฉันทันที
“ ยิ้ม ยิ้มอะไร อิผัก งานจะทับตายอยู่ละ ” ก็จะไม่ให้ยิ้มได้ไง ก็มันน่าตลกนี่หนา
“ ก็ขำแกไง บ่นอยู่ได้ ” ไม่ว่าจะคลาสไหนน้ำหวานก็บ่นตลอด
“ จะไม่ให้บ่นได้ไง งานเก่าฉันยังทำไม่เสร็จงานใหม่ก็เข้ามาแล้ว ” จริงๆช่วงนี้งานก็เยอะมากนั้นแหละ ก็แหง่ละตอนนี้ พวกเราอยู่ปี 4 กันแล้วงานก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา
“ ว่าแต่แกเหอะ ทำเสร็จหมดยัง ” ฉันก็ส่ายหน้าแทนคำตอบกลับไป งานฉันก็ยังไม่เสร็จหรอกแต่ก็เกือบแล้ว
“ ถ้าฉันเป็นแกนะผักขม ฉันต้องตายแน่ ๆ ”
“ แกอึดชะมัด แบ่งเวลายังไงว่ะ เรียนก็ต้องเรียน งานก็ต้องทำ ” พูดถึงงาน วันนี้เวรฉันนี่หน่า
“ ฉันไปก่อนนะแก ”
“ เออๆ กลับดีๆ ” น้ำหวานก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมากเพราะเข้าใจว่าทำไมฉันถึงกลับก่อน
ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลยใช่ไหม ฉันชื่อ ผักขม ใช่ ผักขม นั้นแหละค่ะชื่อฉันแปลกดีไหมละ ฉันคิดว่ามันแปลกนะ ตอนนี้ฉันเรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์ ที่มหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง แต่ที่มาเรียนที่นี้ได้ก็เพราะได้รับทุน ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆฉันก็ทำงานส่งตัวเอง ฉันออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่อยู่ ม.4 แล้ว ตั้งแต่แม่ฉันเสีย บ้านที่เคยเป็นบ้านมันก็ไม่ใช่อีกต่อไป ฉันเลยตัดสินใจออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว แต่ชั่งเรื่องนั้นมันเถอะ
ตุบ !
“ อ๊ะ ! ” เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆเลยทำให้ฉันเดินชนกับใครเข้าก็ไม่รู้ ฉันยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ เจ็บชะมัดชนโดนตรงไหนเนี่ย
“ จิ๊ ” แต่เสียงต่อมาทำให้ฉันเลิกสนใจความเจ็บของตัวเอง แล้วรีบพูดออกไปทันที
“ ขะ ขอโทษนะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า ” ฉันพูดออกไปแล้วมองสำรวจตามเนื้อตัวของคนตรงหน้า ก่อนจะไปหยุดตรงใบหน้าที่ดูจะเหวี่ยงๆของเขา จมูกที่เป็นสันรับกับรูปหน้าของเขา ไหนจะผมสีดำที่เป็นสีเดียวกับดวงตานั้นอีก มันยิ่งทำให้ผิวของเขาที่ขาวอยู่แล้วดูขาวขึ้นไปอีก
“ มองไรหนักหนาวะ ” เป็นอีกครั้งที่ฉันได้สติจากคำพูดของคนตรงหน้า แต่น้ำเสียงเขาดูติดจะรำคาญฉันซะมากกว่า
“ เอ่อ...ขอโทษอีกครั้งนะ ” เขาน่าจะไม่เจ็บตรงไหนหรอก เพราะเขาตัวใหญ่กว่าฉันตั้งเยอะ ขนาดฉันเดินชนเขาฉันยังกระเด็นเลย
“ น่ารำคาญ หลบดิ๊ ” น่ารำคาญ ? เขาเป็นคนที่พูดจาแบบนี้กับคนที่ขอโทษรึไงกันนะ
“ ..... ” ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเขาก็เดินผ่านฉันไปเลย ผู้ชายคนนี้นิสัยชั่งขัดกับหน้าตาจริงๆ แต่มองดูดีๆเค้าก็ดูน่ากลัวอยู่นะ
“ หื้ม ? ” ฉันเลิกสนใจเรื่องของผู้ชายคนนั้น แล้วตั้งท่าจะเดินไปหน้ามหาลัย แต่ตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นว่ามีอะไรตกอยู่
“ เกียร์หรอ ” น่าจะใช่ละมั้ง ผู้ชายคนนั้นเรียนวิศวะหรอ ดูเท่ขึ้นมาอีกขั้นเลยแหะ แต่ผู้ชายแบบนั้นก็คงจะดูดีแค่ภายนอก ฉันยอมรับเลยนะว่าเขาดูดีเอามากๆเลย แต่ฉันไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยดีกว่า ส่วนเกียร์นี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะใช่ของเขาจริงๆไหม อาจจะเป็นของคนอื่นทำตกไว้ก่อนหน้านี้ก็ได้
“ ไว้ค่อยไปตามหาเจ้าของแล้วกัน ” ถ้าฉันยังมัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้คงจะได้ไปทำงานสายแน่ ๆ
.
.
.
‘ แน่น’ พูดได้คำเดียวเลย แต่มันก็คงไม่แปลกหรอกตอนนี้ก็เป็นเวลาเลิกเรียน และเลิกงานรถเมล์ที่ค่าโดยสารไม่แพงใครๆเค้าก็ขึ้นกัน ฉันค่อยๆกระเถิบไปทีละนิดเพื่อหาที่ว่าง ให้ตัวเองได้มีที่ยืน ถ้าไม่ไปคันนี้ก็คงไปทำงานไม่ทัน ทางเลือกฉันมีไม่เยอะ อะไรที่ทนได้ก็ต้องทนไปก่อน อย่างเช่นตอนนี้ที่ต้องมายืนอยู่กลางกลุ่มนักศึกษาต่างมหาลัยที่ดูน่ากลัวพอๆกับผู้ชายคนที่ฉันเจอก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้คงน่ากลัวกว่า
เอี๊ยดดด !!!
กริ้ง !!!
อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการขับรถเมล์มันเป็นแบบนี้จริงๆ เบรกกระทันหันจนฉันหน้าเกือบทิ่มดีนะที่เกาะราวจับได้ทัน ไม่งั้นคงลงไปกองกับพื้นแล้ว ละแล้วนั้นมันใช่เกียร์ที่ฉันเก็บได้รึเปล่านะ ที่อยู่ในมือของหนึ่งในนักศึกษากลุ่มนั้น
“ เอ่อ... เราขอคืนนะ ” เมื่อคิดว่าใช่แล้วจริงๆ ฉันเลยทำใจดีสู้เสือยื่นมือไปขอมันคืนมา ถึงมันจะไม่ใช่ของฉันจริงๆแต่ฉัน ก็ควรจะมีความรับผิดชอบโดยการเอาไปแจ้งคณะเพื่อตามหาเจ้าของต่อไป เพราะเท่าที่รู้มาเกียร์มันสำคัญกับเด็กวิศวะมาก
“ ของเธอ ? ” ผู้ชายคนนั้นถามย้ำฉันมา
“ อืม ของฉันเอง ขอบคุณนะ ” ฉันก็ได้แต่ตอบไปอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วยื่นมือไปหยิบเกียร์ในมือของผู้ชายคนนั้นแล้วรีบเดินไปตรงประตูทันที ดีหน่อยที่ป้ายหน้ามันถึงที่หมายของฉันพอดี
.
.
.
ทำไมนักศึกษากลุ่มนั้นถึงมองฉันแปลกๆ ตั้งแต่หยิบเกียร์นั้นขึ้นมาแล้วขนาดตอนนั้นที่ฉันลงมาจากรถเมล์แล้วนักศึกษากลุ่มนั้นก็ยังมองจนรถผ่านหน้าฉันไป
“ ผักขมจ้ะ ช่วยเอาไปเสิร์ฟโต๊ะ 5 หน่อยนะ ” ฉันหลุดออกจากภวังค์ที่กำลังใช้ความคิดหันมาสนใจกับขนมตรงหน้าที่พี่แก้มยื่นมาให้ ฉันทำงานที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง ที่นี้จะเปิดตั้งแต่หนึ่งทุ่มจนถึงตีสองและเปิดทุกวัน แต่พนักงานจะวนกันมาทำ ในหนึ่งวันก็จะมีพนักงานประมาณ 4-5 คน คาเฟ่ที่นี้จะกึ่งๆบาร์หน่อยจะมีดนตรีสดให้ฟัง มีอาหาร ค็อกเทล และเครื่องดื่มอีก บลาๆ งานมันก็ไม่ถึงกับหนักมากก็คงแล้วแต่วัน วันไหนคนเยอะก็จะหนักหน่อย วันไหนคนน้อยก็จะสบาย แต่ส่วนใหญ่ที่นี้ไม่มีคำว่าคนน้อยนะคะ อาจจะเป็นเพราะอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก เลยมักจะมีนักศึกษามากันเยอะอยู่เหมือนกัน การตกแต่งที่นี้ก็สวยมากๆ อาหาร เครื่องดื่ม ก็ดีด้วยเช่นกัน พนักงานที่นี้เขาก็คัดหน้าตากันนะคะ ฉันก็ไม่ได้หน้าตาดีอะไรหรอกอย่าพึ่งเข้าใจผิดกัน แต่เพราะฉันน่าสงสารมั้งพี่แก้มที่เป็นเจ้าของร้านเลยให้เข้ามาทำงาน
“ วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ คนเยอะเลย ” เสียงต้าร์ ต้าร์ก็เป็นพนักงานที่นี้เหมือนกันหมอนี้นะ เรียกลูกค้าดีมากๆเลยละ
“ อืม ” ฉันก็ตอบกลับไปสั้นๆ
“ เวรเธอทีไร คนเยอะทุกที ” เสียงต้าร์บ่นออกมาเบาๆ
“ ฉันก็คิดงั้น แต่เป็นเพราะนายมากกว่ามั้ง ” ก็อย่างที่บอกนั้นแหละ หมอนี้อ่ะตัวเรียกลูกค้า
“ มันก็ต้องเป็นงั้นอยู่แล้ว ฉันหล่อขนาดนี้ ” ต้าร์หล่ออันนี้ไม่เถียงค่ะ แต่ก็หลงตัวเองมากเหมือนกัน
“ ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงว่ะ ”ฉันได้แต่ส่ายหน้าให้กับความหลงตัวเองของต้าร์
“ ไปทำหน้าที่ของนายได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะฟ้องพี่แก้ม ”
“ ชิ๊ ขู่เก่งจริงๆ ”
.
.
.
เฮ้ออออ ฉันนอนถอนหายใจอยู่บนเตียงหลังจากกลับมาจากที่คาเฟ่ วันนี้คนเยอะมากจริงๆ สูบพลังงานฉันออกไปเยอะเลย ฉันหลับตาลงสักพักแล้วก็เหมือนจะนึกอะไรออกเลยลุกออกไปจากเตียง
“ มันใช่ของนายรึเปล่านะ ” เอาเป็นว่าเรื่องนี้ค่อยหาวิธีตามหาเจ้าของแล้วกัน แต่เกียร์นี้ดูแตกต่างจากเกียร์ทั่วๆไป มันดูแปลกตาไม่ใช่ว่าฉันจะเห็นเกียร์วิศวะบ่อยๆหรอกนะ แต่เกียร์อันนี้มันดูสะดุดตาและแปลกตามากจริงๆ
“ เฮ้อออ ” พอมองเกียร์แล้วสายตาแปลกๆของนักศึกษากลุ่มนั้นที่มองฉันก็ลอยมาอีกแล้ว นี้ทำไมฉันต้องมานั่งคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเกียร์แค่เส้นเดียวด้วยนะ หวังว่ามันคงไม่มีอะไรหรอกเนอะ
“ อดทนหน่อยนะผักขม ” มันมักจะเป็นคำพูดที่ฉันบอกตัวเองทุกครั้งเวลารู้สึกเหนื่อย
“ พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น ” ใช่ ! วันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่พรุ่งนี้มันจะดีขึ้น