จากบทสนทนาของสองแม่ลูกบวกกับอีกหนึ่งหนุ่มผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม ทำเอาชายหนุ่มอีกคนซึ่งพกพาเอาอารมณ์ขุ่นมัวกักเก็บไว้อย่างมากมายต้องรีบถลันร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นเดินตามทั้งสามคนออกมาอย่างกระชั้นชิด ก่อนชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามันใกล้จนเกินไปสักหน่อย
อสุเรศรู้สึกหัวร้อนเมื่อเขาไม่ได้ยินคำปฏิเสธสักคำออกจากปากแม่เมียทางพฤตินัย สังเกตจากสีหน้าของเจ้าหล่อน ดูเหมือนสิริสรเองคงพึงพอใจในตัวไอ้หมอนี่อยู่ไม่เบา ถึงจะดูสีหน้าเจ้าหล่อนไม่ค่อยยิ้มแย้มเท่าไหร่ ทว่าก็ไม่ทุกข์ร้อนเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งเลยนี่นา
แบบนี้มันแสดงให้เห็นชัดเจน สิริสรคงมีใจให้ไอ้หน้าจืดนั่นไม่เบา และใครเล่าจะยอม คนขี้หวงฉายแววตาวาวโรจน์ ชำเลืองมองหนุ่มสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกกรุ่นโกรธ...
แน่นอนทุกย่างก้าวของสิริสร ไม่เคยรอดพ้นจากสายตาเขาไปได้...
หลายครั้งเขาส่งคนตามประกบเจ้าหล่อนแล้วให้คอยโทรกลับมารายงานผลให้เขาทราบเป็นระยะ หากเขารู้สิริสรเกิดให้ความสนใจผู้ชายคนไหนมากเป็นพิเศษ ให้ถือว่าเป็นคราวซวยของไอ้หมอนั่นก็แล้วกัน เพราะเขาจะจัดการส่งคนลงมาตัดไฟเสียแต่ต้นลม โดยที่สิริสรไม่รู้ระแคะระคายเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย...
อสุเรศดึงหมวกแก๊ปออกมาสวมใส่เพื่อปิดบังอำพรางใบหน้าคมคาย ส่วนหูนั้นคอยตะแคงฟังบทสนทนาของทั้งสามด้วยความสนอกสนใจ เขาอยากรู้ทั้งสามคนกำลังเคลื่อนย้ายพากันไปที่ไหนต่อ เขานั้นจะได้ตามไปถูก
“รถของน้าจอดอยู่ตรงฝั่งนั้น แล้วของพ่อช้างล่ะจ๊ะจอดอยู่ตรงฝั่งไหน”
“คงฝั่งเดียวกันครับคุณน้า...” คชากำลังเดินตีคู่มากับสิริสรเอ่ยบอก เขาปรายตามองคนตัวเล็กด้วยสายตาชื่นชม พานทำเอาหัวใจว่างเปล่ามาเนิ่นนานมันรู้สึกพองโตอย่างไรบอกไม่ถูก
“แล้วน้ำผึ้งอยากไปเที่ยวไหนต่อหรือเปล่าครับ พี่จะได้ขออนุญาตคุณน้าไว้เลยทีเดียว”
สิริสรเงยหน้าขึ้นมองคนถาม ริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มพอให้ดูน่ารัก ก่อนเอ่ยปฏิเสธ
“ไม่ค่ะ...น้ำผึ้งอยากกลับบ้านมากกว่า...”
คำตอบของหญิงสาวพอทำให้คนเดินทอดน่องอยู่ไม่ห่างยิ้มออกมาได้บ้าง ก่อนเจ้าของร่างสูงเกินร้อยแปดสิบจะเลี้ยวเดินแยกมาอีกทางหนึ่ง ข้างหน้าเป็นทางแยกระหว่างลานจอดรถซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน เขาเดินเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งสู่มุมอับ ส่วนทั้งสามคนเลี้ยวออกมาทางด้านปีกซ้าย ซึ่งปรากฏลานขนาดกว้าง พื้นที่โดยส่วนมากถูกจับจองไว้ด้วยรถยนต์หลายสิบคัน บริเวณด้านนี้มีสวนกล้วยไม้นานับชนิด ถูกปลูกประดับเอาไว้ดูละลานตา คงเป็นอีกหนึ่งจุดขายของทางร้านอาหาร ที่มีชื่อว่า ร้านกล้วยไม้นั่นเอง...
ก่อนอสุเรศเข้ามานั่งในร้านอาหารกล้วยไม้ ชายหนุ่มออกคำสั่งให้คนสนิทขับรถยนต์คู่ใจมาแอบรอท่าไว้ตรงมุมอับสุดของร้านอาหาร เป็นการบดบังสายตาของแม่สาวหลายใจ สิริสรเคยเห็นรถของเขามาก่อน เพราะเคยบังคับให้เจ้าหล่อนนั่งมาครั้งหนึ่งตอนหญิงสาวมาทำงานกับหริลักษณ์ที่กรุงเทพฯ เขากลัวหญิงสาวจะรู้ตัวว่าถูกติดตาม พานทำให้แผนการทุกอย่างแตกเสียเปล่าๆ
พอว่างจากงานที่กรุงเทพฯปุ๊บ เขาต้องนั่งเครื่องขึ้นมาลำปางทุกสัปดาห์ เพื่อมาตามหาหัวใจที่มันโบยบินมาอยู่ที่นี่ ไม่มีวันไหนหลอกเขาจะหยุดเที่ยวพักผ่อนตามสถานที่บันเทิงต่างๆในกรุงเทพฯ เหตุผลหนึ่งเขาคิดถึงเจ้าสิริสรมาก และเหตุผลรองตามมาสองสามสีห้า มันยังคงเป็นเหตุผลเดิม นั่นคือ เขาคิดถึงเมีย...
“ออสติน!”
เจ้าของร่างสูงกำยำในชุดลำลองสบายๆ ที่กำลังนั่งส่งยิ้มเรี่ยราดให้บรรดาหญิงสาวซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าเขาไปมา มีอันต้องสะดุ้งสุดตัวตอนได้ยินเสียงเรียกลงน้ำหนักไม่เบาสักนิดของผู้เป็นเจ้านาย
“เอากุญแจส่งมาให้ฉัน แล้วนายก็นั่งเท็กซี่กลับที่พักไปได้เลย ไม่ต้องตามฉันมาอีก ฉันมีธุระส่วนตัวต้องไปทำต่อ ยังไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่”
คำสั่งลงน้ำหนักห้วนกระด้าง ทำเอาชายหนุ่มตาน้ำข้าวที่กำลังนั่งมองสาวไทยตาปรอยมีอันต้องรีบขยับตัวลุกขึ้นยืนกะทันหัน นึกเสียดายอาหารตาอยู่ไม่น้อย แล้วล้วงเอากุญแจรถสปอร์ตสีเงินโยนส่งให้เจ้านายด้วยสีหน้ามีแง่งอน จะมาก็ไม่ยอมให้สุ้มให้เสียงกันบ้างเลย ผู้ชายอกสามศอกมันก็ตกใจเป็นเหมือนกันนะ คนขี้ตกใจทำปากบ่นขมุบขมิบ วอนเบื้องล่างของคนอารมณ์ไม่ค่อยดี
อสุเรศตวัดสายตาขุ่น
“อ้อ...แล้วฝากบอกพี่ฟ้าด้วยวันนี้ฉันจะค้างที่คอนโด ไม่ต้องรอกินข้าวเย็น”
ทุกครั้งที่อสุเรศกลับมาลำปางเขามักต้องแวะมาทานข้าวที่บ้านของพี่สาวคนละแม่ทุกครั้ง หากวันนี้เขาคงกลับเข้ามาทานข้าวกับพี่สาวไม่ทัน เนื่องจากมีเรื่องร้อนใจต้องสะสางให้รู้ดำรู้แดง
“ครับนาย...”
ออสตินรับคำ พร้อมขยับถอยออกมายืนห่างตัวรถ หลีกทางให้คนตกอยู่ในห้วงอารมณ์โมโหหึงคว้าประตูแล้วกระชากเปิดออกรุนแรง พลางมุดร่างหนาเข้านั่งประจำที่ พร้อมเบี่ยงหัวรถคันหรูออกสู่ถนนใหญ่ด้วยความเร็วสูง
“จะรีบไปไหนของเขาวะนั่น...”
ปากบ่นพึมพำส่วนมือยกขึ้นเกาท้ายทอย พร้อมส่งสายตาสีฟ้าอมเทามองตามท้ายรถไปจนสุดทางถนน พอกำลังจะเดินข้ามฟากเพื่อมาโบกรถเท็กซี่แถวด้านหน้าร้านอาหาร พลันสายตาคมกริบเหลือบแลเห็นท้ายรถยนต์ของอีกคัน ซึ่งมีหญิงสาวใบหน้าสวยหวานนั่งเป็นตุ๊กตาอยู่ด้านหน้า ทำให้ออสตินคลายความสงสัยขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มจุปากแล้วส่ายหน้า...
“บอกให้ฉุดตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยแรกๆก็ไม่เชื่อ มัวแต่เล่นละครปลอมตัวอะไรก็ไม่รู้ นั่นปะไร เลยถูกหมามันคาบไปกินเสียฉิบ...”
ออสตินเป็นหนุ่มต่างชาติเต็มตัวแต่ก็พอพูดภาษาไทยได้คล่อง เนื่องจากเขาต้องทำงานกับคนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่เลยฟังออกเขียนได้อย่างสบาย มารดาเขาเป็นชาวอเมริกันผิวสีทองแดง ก่อนมาพบรักกับบิดาเขาซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองในประเทศอียิปต์ ส่งผลให้เขาซึ่งมีสายเลือดผสมระหว่างอียิปต์กับอเมริกันชน มีรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายจนดูน่าเกรงขามโดยปริยาย
ก่อนเขาจะก้าวเข้ามาทำงานเป็นเลขาพ่วงตำแหน่งบอดีการ์ดส่วนตัวให้คนในตระกูลอัครวนานนท์ เขาเคยเป็นตำรวจสากลในประเทศบ้านเกิดมาช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะถูกมารดาขอร้องปนบังคับให้ลาออก เพราะท่านไม่ต้องการให้เขาใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงจนเกินไปนัก ท่านให้เขาลาออกจากอาชีพตำรวจสากล เข้ามาทำงานในเครือโรงแรมอัครวนานนท์แทน เมื่อตัวท่านเองก็ทำงานอยู่ในนั้นเช่นกัน ในตำแหน่งหัวหน้าโปรแกรมเมอร์มือหนึ่งของเครืออัครวนานนท์นั่นเอง
ด้วยรูปร่างมาพร้อมกับสติปัญญา พ่วงท้ายด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทำให้เขาได้รับตำแหน่งเลขาของอสุเรศทันทีที่เขายื่นใบสมัคร เขาไม่ได้ใช้เส้นสายทางมารดาเป็นใบเบิกทาง ไม่ได้บอกใครว่าเขาคือบุตรชายของท่าน เขาอยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่าจะถูกตราหน้าภายหลัง เข้ามาทำงานแห่งนี้ได้เพราะมีมารดาคอยช่วยหนุนหลังให้อีกแรงหนึ่ง
เขาและเจ้านายหนุ่มเลยมีความสัมพันธ์อย่างสนิทสนมคุ้นเคยในระดับที่เรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันมาก่อน ทั้งเขาและอสุเรศต่างต้องเรียนรู้งานแผนกต่างๆในเครือโรงแรมอัครวนานนท์ไปพร้อมๆกัน กินนอนเที่ยวเล่นชนิดที่เรียกว่าหัวหกก้นขวิด สำหรับเรื่องหญิงสาวสวยคนนั้น อสุเรศก็เป็นคนเล่าให้เขาฟังอย่างหมดเปลือก เจ้าหล่อนเป็นลูกสาวอดีตเจ้านายที่อสุเรศเคยทำงานอยู่ในบ้านหลังนั้น ด้วยตำแหน่งคนขับรถธรรมดา ก่อนชะตาชีวิตจะพลิกผันได้กลายเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูง ในเครือโรงแรมยิ่งใหญ่แห่งนี้...
*********************