“สืบแน่ชัดแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นส่งคนของเราจับตาดูให้ดี” สั่งการไปแล้วคิ้วตาพลันหรี่ลง “ข่าวนี้เป็นแม่นางหรานส่งให้เจ้าหรือ”
“ขอรับ”
“นับว่านางยังมีความสามารถเช่นเดิม”
“เมื่อนางทำดีเช่นนี้ มิทราบว่านายน้อยจะ...”
ยังไม่ทันพูดจบ คนผู้นั้นพลันต้องกลืนคำพูดที่ติดอยู่ปลายลิ้นลงคอแล้วคุกเข่าลงทันที “ข้าน้อยผิดไปแล้ว นายน้อยโปรดอภัย”
สีหน้าของเยว่หมิงเซียนสงบยิ่ง แต่กลับมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวพร้อมกับออกคำสั่งด้วยแววตาดุดัน
“ไปเรือนลงทัณฑ์ รับโทษสิบจ้วงแทง”
โทษสิบจ้วงแทง หากเป็นคนธรรมดาไร้วรยุทธ์แล้วแน่นอนว่าย่อมไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าถึงจะมีวรยุทธ์ก็ยังต้องพักรักษาตัวเป็นเวลาสามวันอยู่ดี
จวนอื่นอาจลงทัณฑ์ด้วยการโบยจนเนื้อหนังขาด แต่จวนนี้กลับเหลาไม้ไผ่แหลมคมขนาดหนึ่งฉื่อจ้วงแทงเข้าไปในเนื้อหนังประมาณสิบชุ่น แช่ทิ้งไว้หนึ่งก้านธูปแล้วค่อยดึงออก
ยามที่สั่งลงทัณฑ์คนของตนนั้นสีหน้าแววตาของวั่งจื่อโม่ไม่แปรเปลี่ยนเลย แน่นอนว่าในยามที่ลงทัณฑ์ศัตรูด้วยหนึ่งร้อยจ้วงแทงย่อมไม่สามารถให้คนผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าเช่นกัน
ส่วนเยว่หมิงเซียนน่ะหรือ กำลังทอดสายตามองไปยังยอดปลายไผ่ที่ไหวเอนเพราะลมฤดูใบไม้ผลิ คล้ายกับว่าเรื่องผู้อื่นถูกลงทัณฑ์และสั่งลงทัณฑ์นั้นไม่เกี่ยวกับตนแม้แต่น้อย
ในเมื่อผู้อื่นสืบทราบฐานะที่แท้จริงของตน แล้วคนอยู่เบื้องหลังสำนักพิรุณโปรยปรายจะพลาดท่าเสียทีได้เช่นไร
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่ามีรายงานฉบับหนึ่งวางอยู่หรอกหรือ บัดนี้พออ่านแล้วก็โยนลงอ่างไฟ เผาทำลายจนเหลือเพียงขี้เถ้าขาวโพลน
หลังรายงานฉบับนั้นถูกทำลายไปแล้ว แววตานิ่งสงบราวกับธารน้ำใสของคุณชายชุดม่วงพลันเหลียวมองออกไปด้านนอก ในเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแต่เขายังคิดถึงหิมะที่เคยโปรยปรายก่อนหน้า เป็นเช่นนี้คงมีเพียงวิธีเดียวที่จะสามารถชมหิมะได้อีกครั้ง
พู่กันชั้นดีทำจากหางจิ้งจอกค่อยๆ จุ่มลงไปในน้ำหมึกสีดำ ขีดเขียนคำหนึ่งแล้วเสร็จจึงเป่าให้แห้ง พับก่อนจะมอบให้คนผู้หนึ่งที่ยังค้อมกายอยู่เบื้องหน้า
คนผู้นั้นคุกเข่าลงก่อนจะพลิ้วกายหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้มอบรายงานลับและก็ไม่ได้รับสารใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อคนผู้นั้นหายออกไปจากเรือนแล้ว เสียงพิณพลันแว่วออกมา ท่วงทำนองชวนให้ผู้คนหลงใหลยิ่ง โดยเฉพาะคนที่อยู่ในห้องหวานเย่าบนชั้นสามของหอคณิกาอวี้หลิงถึงกับมือไม้สั่นเทา
จังหวะดีดพิณเช่นนี้ ใต้หล้าคงมีเพียงคนผู้นั้นที่รังสรรค์ท่วงทำนองออกมาได้
คุณชายจื่อหาน แห่งเรือนชิงเทียน
สายลมพัดผ่านบางเบา โลมเล้าเหนือกายสตรีหมื่นพัน
หรานเจาเจาสูดหายใจเล็กน้อย ก่อนจะรั้งสายตากลับจากทิศทางที่ตั้งของเรือนชิงเทียนหลังนั้น ยังจำได้ดีว่าเมื่อหลายปีก่อน คุณชายจื่อหานปรากฏตัวพร้อมเสียงพิณที่ชวนให้ผู้คนคลั่งไคล้ เมื่อก่อนนางก็เคยเป็นหนึ่งในสตรีเหล่านั้น แต่น่าเสียดายคุณชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลากลับซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างไว้ชัดเจน ต่อให้ขุดลงไปหลายสิบจั้งก็ยังไม่รู้เลยว่ากำลังคิดการสิ่งใด
ในเมื่อเขาอันตรายร้ายกาจถึงเพียงนั้น การรักษาหัวใจของตนให้สงบนิ่งและจดจ่ออยู่กับคนผู้เดียวย่อมดีกว่า
แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ต่างกันก็ตาม แต่ความเกี่ยวพันกับคุณชายเยว่ ต่อให้ต้องตอบแทนด้วยชีวิตก็หาทดแทนได้หมดสิ้น
ทว่าน่าเสียดายตรงที่แม้นางมีใจก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ เพราะทุกครั้งที่ประตูห้องเปิดออกย่อมไม่มีวันรักษาอาภรณ์โปร่งบางให้ห่อหุ้มเรือนร่างอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะยามนี้แม้หูจะยังได้ยินเสียงพิณของคุณชายจื่อหาน ร่างกายในส่วนนั้นของนางก็กำลังถูกคนผู้หนึ่งจ้วงแทงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าท่วงทำนองดนตรีเป็นเช่นใด คนอยู่บนร่างก็ยิ่งกระทำเช่นนั้นไม่ต่างกัน
สิ่งที่หรานเจาเจาทำได้ มีเพียงปิดตาปิดหู ไม่รับรู้ไม่มองสิ่งใดๆ อีก
แม้แต่เสียงคำรามของคนที่ครอบครองร่างก็ยังทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ใช่ว่ายินยอมที่จะทำเช่นนี้ แต่เป็นเพราะไม่มีทางเลือก และไม่อาจเลือกได้ อีกอย่างถ้าหากการทำเช่นนี้สามารถช่วยเหลือคุณชายที่อยู่ในใจ มีหรือจะไม่ยินยอม
ดังนั้นเพียงถูกเจ้าของฝ่ามือแข็งแรงจับร่างกายพลิกขึ้นมาควบขี่ ก็ทำเพียงยิ้มหวานแล้วนั่งคร่อมอยู่กลางลำกายคนผู้นั้น มอบทั้งความร้อนเร่าและความเย้ายวนให้
ท่ามกลางสองเงาร่างที่ทาบทอกันเป็นจังหวะวาบหวาม มุมอับของห้องพลันปรากฏเงาร่างของคนผู้หนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง หนำซ้ำร่างกายของคนผู้นี้ยังมีเลือดไหลหลายจุด ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บหนักแต่ยังสามารถเฝ้าดูคนบนเตียงเนิ่นนานกระทั่งเห็นว่าบุรุษผู้นั้นจากไปแล้วจึงยอมเผยตัวให้เห็น
ดวงตาที่ยอดหญิงคณิกามองคนปรากฏตัวเบื้องหน้า มีทั้งเจ็บปวด ทั้งสงสาร และขื่นขม
พอคนผู้นั้นก้าวมาใกล้ๆ หรานเจาเจาพลันหยิบอาภรณ์โปร่งบางที่ถอดทิ้งไว้มาสวมใส่ ปากเอ่ยเรียก
“พี่ชาย”
แน่นอนว่าเพียงสบตากับพี่ชายแล้ว จึงทำให้รู้ว่าความรู้สึกที่มีในก่อนหน้านี้ล้วนเป็นตรงกันข้าม เพราะแท้จริงแล้วความภักดีที่นางกับพี่ชายมีต่อคุณชายเยว่หาได้เป็นเรื่องจริงไม่