ตอนที่ 3
“อาว่าทุกคนแยกย้ายกันไปพักดีกว่านี่ก็เดินทางมาเหนื่อย ๆ ยังไม่พักกันเลยนิ” ยุทธนาร้องเรียกบุตรสาวเมื่อเห็นว่าอรปรียาทำท่าจะตามภีมภวัตไป
“พ่ออยากคุยกับลูกหน่อย มากับพ่อ ปล่อยพี่เขาไปพักดีกว่านะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” อรปรียาส่งสายตาขัดใจให้ผู้เป็นพ่อแต่ก็ยอมตามยุทธนาไปแต่โดยดี เธอไม่อยากทำตัวเป็นนางร้ายต่อหน้าภีมภวัตเช่นกัน ในขณะที่วิศรุตก็แยกตัวเข้าห้องพักรับรองที่ถูกจัดไว้ให้
โรสสิรินเปิดและปิดประตูเข้าห้องนอนเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย เธอทิ้งตัวลงในอ่างน้ำก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตานึกถึงแววตาที่เย็นชาและเยือกเย็นของภีมภวัต แล้วพึมพำกับตัวเองในห้องน้ำ
“บ้า ไอ้พี่ภีมบ้า คนเขาอุตส่าห์แต่งตัวสวยตั้งนาน ไม่ชมยังไม่ว่า เชอะ. ใช่สิ เราไม่ได้สวยเลิศเลอเหมือนคุณอรปรียานิ” เธอระบายลมหายใจออกมาเบาๆ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นเขา ทำไมเธอต้องรู้สึกเจ็บด้วย เธอคงไม่ดัหลงรักพี่ชายตัวเองใช่ไหม
“ไม่ได้นะ เธอจะรู้สึกแบบนั้นกับพี่ชายตัวเองไม่ได้นะ” ไม่ว่าเธอจะอยู่ในฐานะน้องสาวหรือฐานะอื่น เธอคงเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับเขาอยู่ดี เพราะในใจเขามีเพียงอรปรียาคนเดียวเท่านั้น
แต่เธอก็อดที่จะหวังใจว่าสักวันพี่ภีมจะหันมาสนใจเธอบ้างใน ฐานะไหนก็ได้ น้ำตาใสๆ ไหลรินในขณะที่เจ้าตัวยังคงปิดเปลือกตาอย่างรู้สึกเจ็บลึก ๆ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเศษร่างระหงก็คว้าชุดคลุมอาบน้ำผูกหลวมๆ เดินฮัมเพลงเบา ๆ ออกมาจากหน้าห้องน้ำ ใบหน้างามเต็มไป ด้วยหยดน้ำเกาะพราว เส้นผมยาวดำแนบไปกับใบหนารูปไข่ ริมฝีปากซีดสั่นน้อยๆ และทันใดนั้น
“กรี๊ด!!!” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ มือเรียวเล็กรีบจัดชุดคลุมให้มิดชิด เมื่อเธอมองเห็นภีมภวัตกาลังจ้องร่างบางของเธอผ่านกระจกโดยที่ไม่ได้หันไปมอง ในขณะที่มือยังคงจับคอเสื้อไว้แนน
ภีมภวัตกำลังนั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่ตรงมุมโซฟาสีขาว เขาสวมเพียงเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มมองมาทางเธออย่างสบาย แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจว่าเขาจะหล่อขนาดไหน เพราะเธออายที่เขาเข้ามาในห้องเธอโดยพลกาล
“ทำไมอาบน้ำนานจัง พี่นั่งรอโรสตั้งนานแล้วนะ มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้ม แววตาสีดำเข้มเปล่งประกายอย่างยากจะเดาความรู้สึกในขณะสายตาคมยังไม่ยอมละจากร่างบางระหง
“พี่ภีมออกไปก่อนนะคะ โรสแต่งตัวเสร็จแล้วจะไปเรียกค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าพูดเสียงสั่น
“จะอายอะไร ทำอย่างกับพี่ไม่เคยเข้าห้องโรสอย่างนั้นแหละ”
“พี่ภีมแต่นี่ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้วนะคะ”
“ทำไม!!.. จะบอกว่าตัวเองเป็นสาวแล้วใช่มั้ย” คำพูดที่ชายหนุ่มถามทำให้โรสสิรินอายหน้าแดงรู้สึกร้อนไปทั้งตัวทั้ง ๆ ที่อากาศแสนจะเย็น เนื่องจากไม่เคยอยู่สองต่อสองในห้องนอนกับชายใดมาก่อน ยกเว้นภีมภวัต แต่นั่นก็ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กแล้ว แถมยังอยู่ในสภาพเสื้อคลุมตัวเดียวอีกด้วย หัวใจเริ่มเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวเห็นว่าบรรยากาศเงียบผิดปกติจึงเงยหน้าขึ้นมองและก็ต้องตกใจกว่าเก่า ภีมภวัตได้มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
“พี่ภีมจะทำอะไรคะ” ดวงตากลมโตจ้องมองเขาอย่างตระหนก ทั้งเขินทั้งอายเขาไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้ร่างสองร่างห่างกันไม่ถึงคืบด้วยซ้ำเมื่อชายหนุ่มก้มใบหนาลงมาเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“พี่ก็แค่จะขอดูว่าโรสเป็นสาวอย่างพูดจริงหรือเปล่า” มือหนาเชยคางหญิงสาวให้มองสบตาร่างบาง ระหงสูงระดับอกของเขาเท่านั้น ตอนนี้ดวงตาสีทองเปล่งประกายหวาน โรสสิรินมองอย่างไม่เชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น ใช่เธอต้องฝันแน่ ๆ
หากแต่เมื่อภีมภวัตใช้มือหนากดรั้งท้ายทอยเธอพร้อมก้มลงจุมพต หน้าผากเท่านั้นแหละ เธอถึงตื่นจากภวังค์ที่ภีมภวัตค่อยๆ ใช้จมูกและริมฝีปากเรื่อยลงมาผ่านจมูกเชิดรั้นจนมาหยุดตรงริมฝีปากอิ่มชมพู ระเรื่อร่างทั้งสองรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกันและกัน โรสสิรินยืนตัวแข็งเบิกตากลมโตทันทีที่ภีมภวัตประกบจูบที่ริมฝีปากบนก่อนจะเลื่อนลงมาริมฝีปากล่างจมูกโด่งชนกันเบา ๆ เธอเผยอปากตอบรับสัมผัสนั้นด้วยสัญชาตญาณ สัมผัสที่อ่อนหวานนั้นสร้างความวาบหวามให้กับทั้งคู่ช่างเป็นจูบแรกที่แสนหวานและอ่อนโยนยิ่งนัก แถมจูบนั้นยังเป็นของคนที่เธอรัก รัก..ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รักทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีวันที่จะกลายเป็นความจริง
ภีมภวัตถึงกับครางในลำคอเมื่อเห็นร่างบางตอบสนองสัมผัส แสนหวานที่เขากำลังมอบ ให้ด้วยความเต็มใจ ตากลมโตหลับพริ้ม เมื่อริมฝีปากหนาเลื่อนขึ้นมาประทับจูบที่เปลือกตาเธอเบาๆ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าจิตวิญญาณล่องลอยไปบนฟากฟ้า เหมือนว่าบนโลกนี้มี เพียงแค่เขากับเธอ อยากให้โลกหยุดหมุนเพื่อที่เธอจะได้อยู่อย่างนี้กับเขาตลอดไป
“ใจคอเธอจะยืนอยู่อย่างนี้ถึงเช้าหรือไง ฉันให้เวลาแต่งตัวห้านาที” หญิงสาวที่กำลังเคลิบเคลิ้มต้องสะดุ้ง พอลืมตาก็พบว่าภีมภวัต ปิดประตูแล้วออกไปรอที่ห้องของตัวเองแล้ว
“คนบ้า จะเข้าก็เข้า จะไปก็ไปเอาดื้อๆ” มือบางหยิกแก้มใสเบาๆ “โอ๊ย นี่มันเป็นความจริงหนิ นี่เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหมโรส” หญิงสาวตะโกนพูดกับตัวเองหน้ากระจก