ตอนที่ 9 เรื่องคืนนั้น

2234 Words
จิดาภาตื่นแต่เช้า สิ่งแรกที่ทำคือหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดดูรูปของเขาที่เธอถ่ายเอาไว้หลายรูป เธอมองรูปเหล่านั้นอยู่นาน ก่อนวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว แล้วนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คนเดียวอยู่บนเตียง นับวันเธอยิ่งหลงรักเขามากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าบางครั้งเธอจะรู้สึกถึงกำแพงบางอย่างที่เขาสร้างขึ้นมาและมันสูงจนเธอข้ามเข้าไปไม่ได้ก็ตามที อยู่ๆใบหน้าสวยที่นอนยิ้มหวานก็แปลเปลี่ยนเป็นเครียดขึ้งขึ้นมาทันที เมื่อเธอกระหวัดถึงเรื่องราวคืนนั้นระหว่างเธอกับเขาอีกครั้ง ตลอดเวลาเขาเหมือนพยายามห้ามตัวเองไม่ให้แตะต้องเธอ ไม่รู้ทำไม ซึ่งในคืนนั้นที่เขาควบคุมสติไม่ได้เพราะความเมามายเกือบที่จะทำอะไรๆเธอแล้ว แต่เขาดันหลุดปากเรียกชื่อผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ริสา ชื่อนี้มันคงติดอยู่ในใจของเขาสินะ หล่อนอาจเป็นคนรักเก่าของเขา หรืออาจเป็นคนที่เขาอาจจะยังคั่วอยู่ด้วยอีกคนก็ได้ ไม่ได้การแล้ว เธอคงต้องทำอะไรสักอย่างให้เรื่องของเธอกับเขามันชัดเจนกว่านี้ เธอจะต้องได้เป็นเจ้าของเขาอย่างถูกต้องแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ร่างงามลุกขึ้นออกจากห้องของตัวเอง ตรงดิ่งเข้าไปหาแม่ของเธอที่อยู่อีกห้องทันที “แม่คะ จีด้ามีเรื่องอยากปรึกษาค่ะ” “ว่าไงลูก มีอะไรหรือจ๊ะ” “จีด้าอยากหมั้นกับพี่ปัถย์ค่ะ คุณแม่จัดการให้จีด้าได้ไหมคะ” “พี่เขามีท่าทีแบบไหนกับลูกของแม่” “เขาบอกว่าเขาก็ชอบจีด้าเหมือนกัน แต่จีด้ารู้สึกว่าพี่เขาเหมือนมีกำแพงอะไรสักอย่างมากั้นระหว่างเรา แล้วคืนก่อน พี่เขาก็หลุดเรียกชื่อจีด้าว่า ริสา ค่ะ จีด้าไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร จีด้าต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมแล้วค่ะ เพราะจีด้ารักพี่ปัถย์มากเลย ไม่อยากเสียเขาไปให้ใครทั้งนั้น” “คืนก่อน หมายความว่าไงลูก อย่าบอกแม่นะ ว่าที่จีด้าบอกแม่ว่าไปเที่ยวกับเพื่อน จีด้าไปหาพี่เขา” “จีด้าขอโทษค่ะ ถ้าบอกความจริง คุณแม่ก็ไม่ให้ไปสิคะ” “งามหน้าจริงลูกสาวฉัน ลูกไม่ได้เพลี่ยงพล้ำเสียตัวให้พี่เขาใช่ไหม” “โถ แม่คะ สมัยนี้แล้ว คุณแม่อย่าคิดมากสิคะ แต่จีด้ากับพี่ปัถย์ก็ยังไม่ได้มีอะไรกันหรอกค่ะ ก็แค่เกือบๆ แต่อย่างที่บอก เราจะช้าไม่ได้ จีด้ามีคู่แข่งที่มองไม่เห็นอยู่” “เอาล่ะ เดี๋ยวแม่จะรีบไปพูดกับดาให้วันนี้เลย แต่ก็ไม่รู้ว่ารายนั้นเขาจะบังคับลูกชายเขาได้หรือเปล่านะ ได้ข่าวว่าแต่ละคนร้ายพอตัวเลย” “แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะคุณแม่ ขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวกอดและหอมแก้มมารดาอย่างเอาใจ เหมือนทุกครั้งที่เธอได้ของถูกใจจากคนเป็นแม่ “อะไรนะเธอพูดใหม่สิ” ญาดาตกใจจนหูอื้อ พ่อลูกชายตัวดีดันหื่นไม่เลือกที่ จะเล่นงานว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอเสียแล้วหรือ มันน่าหยิกให้เนื้อเขียวจริงๆ “ฉันบอกว่า มีคนเห็นตาปัถย์พายายจีด้าของฉัน หายเข้าไปกันในห้องของโรงแรมที่กระบี่ ตอนนี้เอาไปเม้ากันจนกระจายไปทั่วแล้ว ฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วดา” จันทร์จิราตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ใส่สีตีไข่นิดหน่อยเพื่อให้เรื่องมันดูรุนแรง มีน้ำหนักมากพอที่จะมัดมือชกฝ่ายชายให้รับผิดชอบลูกสาวของเธอได้ “ตายแล้ว ตาปัถย์ มันน่าตีให้ตายนัก ทำอะไรไม่ให้เกียรติหนูจีด้าเลย เธอจะว่าอะไรไหมจันทร์ ถ้าฉันจะขอหมั้นหมายหนูจีด้าให้ตาปัถย์ไว้ก่อน รอให้โรงแรมใหม่ลงตัวอีกนิด ค่อยจัดงานแต่ง” “จะว่าอะไรได้ ที่ฉันมาก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละดา พูดตรงๆ ก็เด็กมันรักมันชอบกัน ยิ่งเด็กสมัยนี้ ราจะไปห้ามอะไรได้ แต่ดันมามีเรื่องเสื่อมเสียเสียก่อน คงต้องเอาตามที่เธอว่านั่นแหละ” “ขอโทษแทนตาปัถย์ด้วยนะจันทร์ ที่ชิงสุกก่อนห่าม ฉันต้องต่อว่าเสียหน่อยแล้ว” “อย่าไปว่าอะไรลูกมากเลย เดี๋ยวจะพาลมาโกรธให้ยายจีด้าแล้วความสัมพันธ์ของเด็กๆ มันจะระหองระแหงเพราะคนโบราณคร่ำครึอย่างพวกเราเสียเปล่าๆ” “เห้อ งั้นก็เอาตามนั้น เดี๋ยวฉันต้องคุยกับพ่อตัวดีให้รู้เรื่อง ฤกษ์หมั้นและการจัดงาน เธอจัดการได้เลยนะจันทร์ เอาที่หนูจีด้าต้องการเลย งบเท่าไหร่ฉันไม่อั้น” “จ้ะ ขอบใจมากนะดา ที่ไม่รังเกียจลูกสาวของฉัน” “เธอก็รู้ ว่าฉันชอบหนูจีด้ามาก ไม่งั้นจะวางแผนให้สองคนนั้นเจอกันจนได้คบหากันจนถึงวันนี้หรอ” ช่วงสายของวัน หนุ่มสาวที่กรำศึกสวาทมาทั้งคืนก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น “นี่ค่าเหนื่อยของเธอ หวังว่าคงพอใจ” “ขอบคุณค่ะคุณปัถย์” หญิงสาวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยอารยธรรม ยื่นมือไปรับเช็คจากเขา แล้วก็ต้องตาโตเพราะจำนวนเงินที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง “เธอกลับไปได้แล้ว ฉันจะอาบน้ำไปทำงาน” เธอลุกขึ้นแต่งตัวอย่างไม่มีอิดออด แม้ช่องทางรักของเธอจะยังคงบวมแดงและระบมไม่น้อย แต่เมื่อได้ค่าเหนื่อยแล้ว ก็มีแรงลุกขึ้นสู้ ตั้งแต่รับงานแบบนี้มา เธอไม่เคยได้เงินเยอะขนาดนี้มาก่อน แต่ก็แหงล่ะ เขาใช้งานเธอซะคุ้มขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเรียกมาใช้บริการ หรือเรียกมารองรับอารมณ์โกรธแค้นจากคนที่ชื่อ ริสา คนนั้นกันแน่ เขาในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวพันกายท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ ยังมีแก่ใจเดินออกมาส่งเธอที่หน้าประตู “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ คุณปัถย์” สาวสวยที่สภาพบอบช้ำแทบดูไม่ได้ หันมาส่งยิ้มหวานให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินอย่างยากลำบากเข้าลิฟต์ไป เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เขาเปิดประตูออกมาด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว แล้วตามมาด้วยสาวสวยที่สภาพยับเยินนิดๆ อยู่ในสายตาของอริสาทั้งหมด เพราะเธอกำลังเปิดประตูเข้าห้องหลังจากไปนั่งทำงานได้สักพักแล้วนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่ห้อง ในขณะที่เขากำลังจะปิดประตู ก็หันไปสบประสานสายตาเข้ากับเธอพอดี เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเธอมารับรู้เรื่องที่เขาเอาผู้หญิงคนอื่นมานอน แถมเธอคนนั้นยังกลับไปในสภาพยับเยินขนาดนั้น ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องแคร์อะไรเธอ จึงยกยิ้มมุมปาก ก่อนหมุนตัวเข้าห้องไปด้วยใบหน้าที่เฉยเมยเหมือนกับเธอเป็นอากาศธาตุ สร้างความรู้สึกปวดหน่วงในอกให้กับอริสาเป็นอย่างมาก ปึง เขาปิดประตูกลับเข้าไปในห้องแล้ว มีแต่เธอที่ยังยืนแตะคีย์การ์ดอยู่ที่หน้าห้อง ไม่ขยับกายไปไหน แถมใบหน้ายังหันไปมองทางห้องของเขาอยู่ตลอดเวลาอีกต่างหาก ก่อนที่เธอจะพยายามดึงสติกลับเข้าร่างแล้วก้าวเข้าห้องไปนั่งสงบจิตสงบใจอยู่เป็นนาน “ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ เธอเป็นคนทิ้งเขาไปเองริสา จะกลับไปรู้สึกอะไรกับเขาอีกไม่ได้ เธอไม่มีสิทธิ์หึงหวงเขา จำเอาไว้” ร่างบางเอนกายพิงพนักโซฟาตัวใหญ่กลางห้อง ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมา เหมือนว่าต้องการใช้น้ำตานั้นชโลมจิตใจตัวเองเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับตัวเองอีกนิด เมื่อทำใจให้กลับมาเป็นปกติได้ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถอนหายใจออกมายาวๆ หลายครั้ง จึงกลั้นใจลุกขึ้นสู้กับความเป็นจริงอีกครั้ง ร่างบางเดินเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่เธอลืมเอาไว้ แล้วเดินออกมาจากห้องด้วยความรวดเร็ว แต่เหมือนความบังเอิญมันจะเกิดขึ้นกับเธอบ่อยเกินไป เมื่อทั้งเธอและเขา ต่างก็เปิดประตูห้องออกมาพร้อมๆกัน ทั้งคู่ชะงักเล็กน้อยก่อนทำทุกอย่างให้เป็นปกติ หนุ่มสาวเดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน ทั้งคู่ยืนอยู่นิ่งๆ มุมใครมุมมันโดยไม่มีใครยอมปริปากพูดอะไรออกมาก่อน แต่ในขณะที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวลงมา อยู่ๆ มันก็กระตุกเบาๆสองสามครั้ง ก่อนหยุดลง แล้วไฟข้างในก็ดับพรึบทันที “ว๊ายยย” หญิงสาวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอยืนตัวสั่นชิดมุมหนึ่งของลิฟต์ เพราะเธอกลัวทั้งที่แคบและความมืด เหตุการณ์แบบนี้มันน่ากลัวและน่าตกใจไม่น้อย จนเธอควบคุมสติตัวเองไม่อยู่ “ริสา” เขาก้าวเท้าเข้าประชิดตัวเธอแล้วกอดกระชับเธอเอาไว้แนบอกทันที เพราะเขาจำได้เสมอ ว่าริสาของเขานั้น กลัวที่แคบและความมืดขนาดไหน เมื่อก่อนเธอแทบไม่เคยปิดไฟนอนด้วยซ้ำ ในห้องต้องมีแสงสว่างจากโคมไฟหัวเตียงหรืออะไรสักอย่างให้เธอมองเห็นของในห้องรางๆ เธอถึงจะสามารถหลับลงได้ จนเธอมีเขา เขาค่อยๆฝึกให้เธอหลับโดยไม่ต้องเปิดไฟในห้องสักดวง โดยที่มีเขาคอยนอนกกกอดเธอเอาไว้แนบอกตลอดทั้งคืน และเธอก็ทำมันได้ เธอสามารถนอนในที่มืดได้ โดยที่ต้องมีเขาให้นอนกอดเท่านั้น “ปัถย์ ริสากลัว” “ไม่ต้องกลัวที่รัก ผมอยู่นี่แล้ว” เขากอดกระชับร่างเธอแน่นขึ้นไปอีก มือใหญ่ลูบศีรษะทุยของเธอเบาๆเพื่อปลอบประโลมให้หายจากความตื่นกลัว ส่วนเธอก็กอดกระชับร่างแกร่งของเขาเอาไว้แน่นเหมือนกัน เขาที่ยังสติดีกว่าเธอ กดสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที แล้วก็พาเธอลงนั่งลงที่พื้นโดยมีเขานั่งกอดกระชับเธอเอาไว้แน่นเหมือนเดิม คนตัวบางของเขาสั่นน้อยๆ เธอเริ่มหายใจหอบถี่เพราะความกลัวทำให้ใจเธอเต้นแรง จนเกือบจะขาดอากาศหายใจ “ริสา หายใจช้าๆครับ ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่นี่ที่รัก อย่ากลัว” สองร่างนั่งกอดกันแน่นอยู่ที่พื้นอยู่นาน ในที่สุด ประตูลิฟต์ก็เปิดออกเพราะระบบได้รับการซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ไฟข้างในก็ติดขึ้น สองร่างที่ยังไม่ทันจะผละออกห่างจากกัน อยู่ในสายตาของเลขาสาวทั้งสอง ผู้ช่วยของเขา และช่างซ่อมบำรุงที่ยืนรออยู่หน้าประตูลิฟต์ หลายชีวิตยืนอึ้งกับภาพที่เห็นเมื่อผู้บริหารสูงสุดทั้งสอง นั่งกอดกันกลมอยู่ที่พื้น “คุณริสา เป็นอย่างไรบ้างคะ” เลขาสาวของเธอที่สติดีกว่าใคร รีบตรงเข้ามาช่วยประคองเจ้านายให้ลุกขึ้นยืนทันที “พี่ไม่เป็นไร พาพี่ไปที่ห้องทำงานหน่อยฉัตร” ณฉัตร เลขาสาวรีบพยุงเจ้านายของเธอออกไปจากไทยมุงตรงนี้ทันที “ท่านประธานคะ เป็นอะไรไหมคะ” นุดี เลขาสาวของท่านประธานรีบตรงเข้าประคองเจ้านายให้ลุกขึ้นทันทีที่เธอตั้งสติได้ แต่เขาก็ลุกขึ้นได้เองเหมือนไม่ได้มีอาการตกใจกลัวใดๆเลยสักนิด “ผมไม่เป็นไร” ปากตอบเลขาสาวไป แต่ดวงตาคมกริบยังคงจ้องมองร่างบางที่ถูกเลขาโอบประคองเดินห่างออกไป จนเธอสองคนหายไปจากสายตาแล้วนั่นแหละ เขาถึงยอมหันกลับมามองหน้าทุกคนตรงนี้ “ขอบใจมากที่เป็นห่วง ไปทำงานเถอะ “ ร่างสูงใหญ่ เดินออกจากลิฟต์ไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เลขาสาว กับผู้ช่วยคนสนิทของเขา ยืนมองหน้ากันอย่างงงๆ “พี่ภพ พี่ว่าเจ้านายเราแปลกๆไหม” “แปลกยังไง” “ก็แค่ลิฟต์ค้าง ทำไมไปนั่งกอดกันกลมกับคุณริสาแบบนั้นล่ะ ทำเหมือนกับเป็นคนสนิทคุ้นเคยกันซะอย่างนั้น ถ้าเป็นคนอื่น เราคงนั่งอยู่ในมุมเงียบๆตัวใครตัวมัน ใครจะขยับมานั่งกอดปลอบใจกัน ถูกไหม” ก็จริง ถ้าเป็นเขาติดอยู่ในลิฟต์กับอริสา เขาคงไม่กล้าไปกอดปลอบใจเธอแน่ แม้ว่าเธอคนนั้นอาจจะร้องห่มร้องไห้ก็ตามที เขาคงแค่นั่งข้างๆ มากสุดคงแตะแขนเธอเพื่อให้รู้ว่ายังมีเขานั่งอยู่ตรงนี้ “บ้า เป็นใครก็ต้องทำแบบนี้แหละ คุณริสาเธอดูตื่นกลัวขนาดนั้น เราน่ะคิดมากนะยัยนุดี” เขาเอ่ยออกมาเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมงานคิดอะไรฟุ้งซ่านไปไกลกว่านั้น ก่อนเดินตามเจ้านายเข้าห้องทำงานไปทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD