ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอบุหลันอยู่ภายในส่วนทางห้องรับแขกของบ้าน พร้อม ๆ กับที่ตรงหน้าของฉันมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งเป็นของฉันเองอยู่ใบหนึ่งตั้งอยู่ ฉันเงยหน้าสบมองนาฬิกาบนผนังก่อนที่จะหันไปตรงทางขึ้นบันไดซึ่งมันเป็นทางไปยังชั้นสองของบ้าน เพื่อรอใครอีกคนที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาให้ฉันนั้นได้พบเห็น
ร่างบอบบางของผู้เป็นเจ้าของหัวใจเดินอย่างทะมัดทะแมงพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ ฉันจึงรีบวิ่งปรี่เข้าไปหาเธอและฉวยโอกาสคว้ากระเป๋าจากมือของคนร่างบอบบางเอามาถือไว้กับตัวแทน เพราะกลัวว่าเธอจะหนัก
“ติ...มันหนัก” เธอรีบเอ่ยท้วงออกมาเมื่อฉันกระทำแบบนั้น ซึ่งฉันก็หันหน้าไปหาเธอและยกยิ้มออกมาจาง ๆ ให้อย่างไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“เราบอกแล้วไง...เราจะดูแลคุณเอง” ฉันทิ้งท้ายประโยคไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะเดินลงมาอย่างง่ายดายผิดกับเธอเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
โดยที่เจ้าตัวหาได้รู้เลย...ว่าคำพูดประโยคนั้นของตัวเองเพียงแค่ประโยคเดียว กลับทำให้ใครอีกคนได้แต่หัวใจสั่นไหว เพราะเธอเองก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน...ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้รับการใส่ใจจากแฟนหนุ่ม มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรมาแล้ว
เราสองคนนั่งรถบริการจากแอพพลิเคชันหนึ่งเพื่อเดินทางไปที่สนามบิน ซึ่งฉันก็ได้แต่แอบมองปฏิกิริยาของคนข้างกายตลอดว่าเธอเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าบุหลันเองก็ยังคงมีแต่ความเศร้าหมองจนฉันต้องเอื้อมมือไปบีบมือของเธออยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเจ้าหล่อนเองก็หันมายกยิ้มให้กันทุกครั้งอยู่เสมอ ก่อนจะกลับไปพิงหน้าต่างและเหม่อลอยเหมือนดังเดิมให้ฉันได้แต่มองด้วยความเศร้าโศก
ฉันรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับการตัดใจ แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจที่จะลองดูสักตั้งแล้ว...ฉันก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้มันหลุดลอยไปอย่างเด็ดขาด
ในเวลาเพียงไม่นานเราทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงสนามบินเพื่อที่จะมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือของประเทศไทย โดยที่ไอเดียนี้ฉันเป็นคนเสนอขึ้นมาเพื่อให้เธอได้ไปพักผ่อน...อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวฉันเองด้วยที่จะได้รีบทำคะแนนในตอนนี้ที่เธอยังให้โอกาส
งานของฉันทั้งหมดก็ถูกส่งต่อไปให้น้องชายซึ่งเขาก็เต็มใจที่จะทำแทนกันทั้งหมด เหตุผลเพราะไม่ว่าจะเทศกาลไหนฉันก็ไม่เคยได้หยุดพักเหมือนคนอื่นเลย น้องชายของฉันรวมไปถึงคนในครอบครัวทั้งหมดจึงค่อนข้างที่จะเห็นด้วย...แถมยังให้เวลาฉันได้ไปพักผ่อนนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม
ส่วนบุหลันเองเธอได้บอกก่อนหน้าแล้วว่าไม่ได้รับงานอะไรไว้เป็นการเร่งด่วน เธอจึงยอมตกลงที่จะมาด้วยกันอย่างง่ายดายเพราะแต่ก่อนเราก็มักจะไปไหนมาไหนสองต่อสองด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง แต่มาในฐานะของเพื่อน...ไม่ได้มาในฐานะของฉันซึ่งกำลังเป็นคนที่กำลังขอโอกาสจากเธออยู่
เครื่องบินมุ่งหน้าและใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเศษเราก็มาถึงยังที่หมาย คนที่ดูเหม่อลอยเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ กายแม้ว่าเธอจะไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก และมันสร้างรอยยิ้มเอ็นดูให้กับฉันได้อยู่เสมอ
“ติจองโรงแรมเอาไว้แล้ว...แต่ว่ามันต้องขึ้นดอยไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลย” ฉันบอกกับเธอที่ยืนอยู่ข้างกัน
ฉันเลือกจะจองที่พักที่ห่างไกลจากตัวเมืองเพราะฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าอยากจะให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พอดีกับที่ฉันไปเจอที่ ๆ หนึ่งซึ่งมันสวยมากและใกล้ชิดกับธรรมชาติ ฉันจึงไม่ลังเลเลยที่จะเลือกที่นั่นแต่ปัญหาตอนนี้มันก็มีอยู่เพราะคนบนนั้นไม่สามารถลงมารับเราได้
เนื่องจากบนนั้นเป็นคนชาวเขาชาวดอยเสียส่วนใหญ่ และเนื่องจากว่าพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลพวกเขาจึงลงมารับคนที่สนามบินเพียงแค่วันละหนึ่งครั้งเท่านั้น แล้วก็เพราะว่าเรากะทันหันมากเกินไปในการมาที่นี่ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงไม่สามารถลงมารับพวกเราได้และเราจะต้องหาทางไปเองหรือไม่เช่นนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องหาที่พักในเมืองเป็นการชั่วคราวไปก่อน
“คุณอยากจะไปเลยหรือว่าจะรอพรุ่งนี้ดีล่ะ คือเรามาสายเกินไปและเขาพึ่งออกไปเมื่อชั่วโมงก่อนนี้เอง” ฉันหันหน้าถามคนข้าง ๆ ที่กำลังรอฟังว่าฉันกำลังจะพูดอะไรต่อ “แต่ที่นั่นตอนกลางคืนอากาศดีมากเลยนะ เราอ่านและหารีวิวอยู่ตั้งนานกว่าจะเจอ”
“ตินี่...น่ารักจังเลยนะ”
ตึกตัก ตึกตัก
ฉันหันไปสบมองใบหน้าของเธอทันใดเพราะอยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็เอ่ยชมฉันขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย และมันกำลังทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวเพราะรอยยิ้มน้อย ๆ ของเธอที่ส่งมอบมาให้นั้นบอกกับฉันว่าเธอไม่ได้โกหก
“เมื่อก่อนเราจะไปไหนมาไหนสักที่...เราต้องเป็นคนจัดสรรและเตรียมการเองทั้งหมดเลยน่ะ” อยู่ ๆ เธอก็กลับไปเศร้าหมองลงอีกครั้ง และมันทำให้ฉันเข้าใจในทันทีเลยว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร “การเป็นคนที่ถูกโดนเอาใจใส่...มันรู้สึกดีแบบนี้เองสินะ” และเธอก็พูดเพ้อขึ้นมาบางเบาแต่ฉันกลับได้ยินมัน
ฉันยกยิ้มให้กับเธอก่อนที่จะเอื้อมมือไปเกาะกุมมือของเธอเอาไว้ ก่อนจะบีบบางเบาอย่างปลอบประโลมเธอ และบอกให้กับเธอได้รับรู้ผ่านการกระทำของฉัน...ว่าฉันอยู่เคียงข้างของเธอเสมอ
“ไม่ว่าจะนานกว่านี้ไปอีกกี่สิบปี...เราก็จะคอยเอาใจใส่คุณแบบนี้อยู่ดีนั่นแหละ” ฉันยกยิ้มให้กับเธอด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข “เพราะฉะนั้นก็รีบ ๆ ชินมันซะนะ” ก่อนที่เธอจะยกยิ้มให้กันบางเบาและฉันสัมผัสมันได้เลยว่ามันเป็นรอยยิ้มแรกที่เธอไม่ได้ฝืน
“อื้ม...เราจะรีบชินนะ”
และท้ายที่สุดเราก็ได้ข้อสรุปกันแล้วว่าจะนอนกันในเมืองก่อน ก่อนที่พรุ่งนี้เราจะกลับมาที่สนามบินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรอไปกับรถของทางโรงแรมพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่กำลังจะไปพักที่นั่นเหมือนกัน
“ขอโทษทีนะคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พอจะมีห้องพักว่างสักสองห้องไหมคะ?” ฉันเดินไปถามประชาสัมพันธ์ซึ่งบุหลันเองก็ยืนอยู่ข้าง ๆ กันและมองหน้าของฉันอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
ที่ฉันไม่เลือกให้เรานอนห้องเดียวกัน ส่วนหนึ่งฉันเข้าใจว่าเธอเองก็คงจะต้องการความเป็นส่วนตัว อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญเลยก็คือ...ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าฉันรู้สึกกับเธออย่างไร สถานะของเราตอนนี้มันคงจะไม่เหมาะสมหรอกหากจะนอนร่วมเตียงเคียงกันน่ะ
“เช็คให้สักครู่นะคะ” ฉันยกยิ้มให้กับประชาสัมพันธ์ก่อนจะหันหน้าไปสบมองกับบุหลันที่ยังจ้องมองกันอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าหลัน?”
“ทำไมไม่นอนด้วยกันล่ะ?” และเธอก็ถามกลับมาให้ฉันได้แต่หน้าตาเลิ่กลั่ก
จริง ๆ แล้วฉันกลัวเธอจะว่ามากกว่าว่าถ้าฉันจองแค่ห้องเดียวจะกลายเป็นคนที่ดูฉวยโอกาสในสายตาของเธอ ฉันจึงเลือกทางนี้เพื่ออย่างน้อยก็ให้เธอได้รับรู้เอาไว้ว่าฉันบริสุทธิ์ใจกับเธอในการมาเที่ยวด้วยกันครั้งนี้
“มีสองห้องค่ะ แต่มันอยู่กันคนละชั้น ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสะดวกหรือเปล่าคะ?”
“อ๋อ ได้เลย...”
“งั้นเอาแค่ห้องเดียวก็พอแล้วค่ะ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” และพนักงานก็ก้มหน้าลงไปคีย์ข้อมูลต่อ
“นอนด้วยกันมาก็บ่อยแล้ว...แค่นี้จะสิ้นเปลืองทำไม!” เสียงดุ ๆ กับใบหน้าง้องอนของเธอทำเอาฉันยกยิ้มออกมาอย่างหลงลืมตัว
อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รังเกียจฉันที่อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอ แบบนี้ถือว่าฉันเอง...ก็อาจจะยังพอมีความหวังกับเรื่องของเราอยู่ ใช่ไหม?