CHAPTER 7

1515 Words
CHAPTER 7 สองวันผ่านไปทุกอย่างระหว่างฉันกับเร็นก็ยังเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรดีขึ้นหรือแย่ลง เรื่อยๆ คำนี้ควรอยู่กับเราจนถึงวันแยกจากมั้งไม่รู้สิฉันคิดว่ามันควรมากเลยแหละเพราะสองวันมานี้ฉันไม่เคยได้เห็นเร็นไม่เห็นใบหน้าหล่อ ไม่ได้สัมผัสร่างกาย ไม่ได้กลิ่นน้ำหอมและก็ไม่ได้พูดคุย เหมือนอยู่กันคนละโลก สายตาสีน้ำตาลมองเหม่อไปยังแก้วน้ำเปล่าตรงหน้าจากนั้นไม่นานเธอก็จัดการเอื้อมเหยือกแก้วใบหรูมาอยู่ในมือและก็ค่อยๆ เทน้ำเย็นจัดลงในแก้วไม่นานไอน้ำก็เกิดขึ้นรอบขอบแก้วตรงหน้า ฉันคงเหมือนกับแก้วใบนี้สินะอยู่นิ่งๆอย่างไร้จุดมุ่งหมายในชีวิตถึงจะเทน้ำเติมให้เต็มเท่าไหร่มันก็พ้นออกจากแก้วเท่านั้นชีวิตของฉันก็เช่นกันถึงจะพยายามยิ้มเติมความสดใสเท่าไหร่สุดท้ายก็ขับไล่ความเจ็บปวดออกไปไม่ได้ เคร้ง! สุดท้ายเหยือกใบดังกล่าวก็ถูกวางด้วยความรุนแรงในระดับหนึ่งจากนั้นร่างเล็กก็ลุกเดินจากโซฟาคว้ากระเป๋าใบเล็กมาสะพายอย่างลวกๆ ฉันไม่ได้ไปไหนไกลหรอกแค่อยากออกมาสูดอากาศข้างนอกห้องบ้างในรอบหลายวันที่ผ่านมาตัวเองแทบไม่ได้สัมผัสกับมวลอากาศภายนอกไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันด้วยซ้ำและที่ที่เลือกไว้ก็คือร้านค้าด้านล่างคอนโด พอดีพวกของสด นม น้ำผลไม้ในตู้มันหมดซึ่งฉันก็อยากมาซื้อเติมไว้ไม่นานก็เลือกของได้เต็มตะกร้าก็เลยเดินไปยังจุดจ่ายเงิน “ซื้อของเยอะเลยนะรุ้ง” มีเหรอที่ได้ยินเสียงแล้วฉันจะไม่หันใบหน้าไปดูก็พบว่าเป็นผู้ชายผิวขาวตัวสูงส่งยิ้มด้วยความเป็นมิตรให้กับตัวเอง หล่อนะในความคิดฉันแต่บุคลิกต่างจากเร็นมากเรียกได้ว่าต่างกับแบบสุดขั้วเลยต่างหาก “อือ” “จำเราได้ไหมเนี้ย?” คนตรงหน้ายังพูดต่อพร้อมกับจ้องลุ้นคำตอบจากฉัน “ทิมใช่ไหม?” “ใช่เราเอง ไม่เจอกันนานเลย เราไม่รู้เลยนะว่ารุ้งกลับมาจาก LA เมื่อไหร่” “…” ฉันยิ้มให้ทิมและก็ไม่ได้ตอบอะไรเพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเท่าไหร่ ทิมเป็นญาติห่างๆ ของฉันเองซึ่งบางครั้งเท่านั้นที่ฉันจะเห็นเขาทีหนึ่ง “เราแทบจำรุ้งไม่ได้แหนะ” “เหรอ? ตะ...” แต่ในตอนที่ฉันกำลังจะพูดต่อก็ฉุกคิดได้ว่าต้องจ่ายเงินแล้วก็เลยหันกลับมายื่นบัตรให้พนักงานจึงไม่ได้ตอบหรือพูดต่อกับทิม “รุ้งเราขอ...” “ขอตัวก่อนนะ” ฉันเดินออกมาจากตรงนั้นทั้งที่ยังฟังประโยคจากทิมที่ยังพูดไม่จบส่วนฉันก็พูดไม่จบก่อนหน้าเหมือนกันแค่จะบอกว่า แต่ทิมเองก็เปลี่ยนจนแทบจำไม่ได้ ก็เท่านั้นเองทว่ามันคงไม่จำเป็นอะไรจึงเลือกที่จะไม่พูดมันออกมาอีกอย่างก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากเท่าไหร่ด้วยแต่แล้วเสียงเท้าใหญ่ก็วิ่งตามมาด้านหลังแป๊บเดียวก็ขวางหน้าฉัน “รุ้งพักคอนโดนี้เหรอ?” ทิมไม่รอให้ฉันพูดเขาก็พูดขึ้นมาก่อนความใกล้ระหว่างเขากับฉันจึงทำให้ฉันเป็นคนถอยเท้าไปด้านหลัง ทำไมประโยคอื่นมีเยอะแยะไม่ถามทำไมต้องถามว่าพักที่นี่ถ้าเป็นคอนโดของตัวเองฉันจะไม่กังวลขนาดนี้แต่ประเด็นก็คือมันไม่ใช่ไง มันเป็นของเร็น “ใช่ อยู่มาสักพักล่ะ” ฉันเลือกพูดออกไปแบบนั้นก่อนที่จะถือถุงของมาไว้ด้านหน้าเพื่อสื่อให้ทิมรู้ว่าหนัก “เราก็พักที่นี่ บังเอิญจังนะเนี้ย” “งั้นขอตัวก่อนนะ” รู้ไหมว่าญาติของฉันคนนี้คิดไม่ซื่อ ข้อนี่ฉันรับรู้มานานมากแล้วจึงอยากรักษาระยะห่างเอาไว้เพื่ออะไรก็อย่าไปรู้เลย รู้แค่เพียงว่าตอนนี้ฉันไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ตัวเองนัก ระวังไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน ประโยคนี้ไม่มีทางใช้ได้กับทิมแน่นอนเพราะสายตาของเขาไม่มีทางยอมง่ายในขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กแค่เพียงทิมดูหัวอ่อนดื้อดึงบ้างในบางครั้งจึงเปลี่ยนยาก “ไม่เจอกันนานนั่งคุยกันก่อนสิรุ้ง ร้านกาแฟตรงนี้ก็ได้” นี่ไงคิดไม่ทันจบความตื้อความดื้อดึงมันเป็นสิ่งน่ารำคาญมากกว่าน่าทำให้สนใจและมันก็ไม่ได้เรียกรอยยิ้มจากฉันได้การปฏิเสธจึงถูกนำมาใช้ “พอดีมีธุระต่ออ่ะทิมไว้โอกาสหน้าไหม?” “งั้นเหรอ เราก็นึกว่ารุ้งว่างเพราะเห็นมาช้อป” พูดแบบนี้แสดงว่าไม่เชื่อหาว่าฉันโกหกใช่ไหมทว่าความรู้สึกทุกอย่างมันก็พังทลายลงเมื่อด้านหลังทิมมีนัยน์ตาสีดำอันแสนคุ้นเคยแต่ถ้าเขามองด้วยความเฉียบขาดแบบนี้มันก็ไม่ชินเหมือนกัน จู่ๆ ร่างกายก็รู้สึกขนลุกแบบแปลกๆ เร็นมองมายังฉันแว๊บเดียวเท่านั้นก่อนที่จะเข้าลิฟต์ไปและฉันก็รู้ว่าเวลาตัวเองได้หมดลงเมื่อลูกน้องเขาได้เดินตรงมายังฉัน “ไม่หรอกแค่แวะซื้อของมีธุระต่ออ่ะทิม” “ไปกันไหมครับคุณรุ้ง” และแล้วบุคคลที่สามก็เข้ามาสู่วงสนทนาพร้อมทั้งเข้ามาขออนุญาตคว้าถุงไปถือ มันทำให้สีหน้าทิมแปลกใจเล็กน้อยแต่เขาก็ระงับสีหน้าท่าทางเอาไว้ทัน “ลูกน้องรุ้งเหรอ?” “ใช่” “ถ้าเราเห็นที่อื่นนึกว่าเป็นพวกมาเฟียเลยนะเนี่ย” “ในสายตาคนอื่นคงงั้นมั้ง” ถึงการโกหกจะสร้างความแปลกใจให้กับคู่สนทนาแบบทิมมากเท่าไหร่ด้วยการที่ไม่ได้ปฏิเสธทว่านาทีนี้ฉันก็ไม่ควรสนใจถูกไหมล่ะ ควรคิดหาทางเอาตัวเองให้รอดจากคนที่เป็นเจ้าของสายตาสีดำคู่นั้นยังดีกว่ามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องไกลตัวถึงแม้การเจอทิมในครั้งนี้อาจทำให้ครอบครัวตัวเองรับรู้ก็ตาม จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ยังไงดี เอาเป็นว่าเรื่องที่ตัวเองมาอยู่คอนโดนี้ยังไม่ไปถึงหูของพ่อแม่หรือแม้กระทั่งพี่ชายฉันยังไม่ได้บอกจริงๆ จังๆ แม้แต่คนเดียวเพียงแค่อยากตัดสินใจโดยเอาตัวเองเป็นหลักบ้างไม่ใช่แค่ฟังการตัดสินใจของคนอื่นและในบางเรื่องฉันก็อยากเก็บมันเหยียบเอาไว้ที่ตัวแต่ในขณะนี้คงไม่ใช่แล้วแหละ ทิมรู้โลกรู้ฉะนั้นควรหาข้อแก้ตัวไว้ดีๆ “เฮียรูธสั่งเฝ้าล่ะสิ น้องสาวสวยขณะนี้” ทิมเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็วแต่มันก็ไม่พ้นสายตาของฉันเมื่อดวงตาของคู่สนทนาแสดงเหมือนจะต้องการรู้เรื่องอะไรมากกว่านี้ เขาอยากรู้ว่าใช่ลูกน้องฉันจริงหรือเปล่า “เราไม่เจอเฮียรูธนานเลยอยู่ไทยใช่เปล่ารุ้ง” จะไปถามเฮียล่ะสิ ความจริงเมื่อครั้งยังไม่เห็นและได้ยินประโยคพวกนี้ของทิมฉันคิดว่าตัวเองคงกังวลมากจนเกินไปแต่ตอนนี้ทุกอย่างที่ฉันคิดมันกับถูกต้องที่สุดสัญชาตญาณคอยย้ำเตือนให้ระวังทิม “ไม่รู้สิเฮียรูธเดินทางบ่อยจะตาย วันนี้อาจอยู่ไทยพรุ่งนี้อาจอยู่ต่างประเทศก็มี” “แล้วรุ้งกลับบ้านหรือเปล่า?” ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงบ้านแตกพ่อติดเหล้างอมแงมส่วนแม่ก็ติดการพนันเหมือนในนิยายในทางกลับกันทุกคนในครอบครัวต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกันดียิ่งกว่าอะไร การอยู่ครบทั้งพ่อแม่และพี่ชายส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากวันสำคัญๆ เท่านั้น ทุกคนในบ้านต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองส่วนใหญ่พ่อกับแม่ก็จะสั่งสอนทั้งฉันและพี่ชายไว้หมดไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตามอยู่ที่ลูกเท่านั้นที่จะเป็นคนนำคำสอนเข้ามาใช้มาปฏิบัติหรือเปล่าพูดง่ายๆ ก็คือปล่อยลูกให้ได้เลือกทางเดินเป็นของตัวเองเพียงแค่จะมีสายตาของพวกท่านมองดูอยู่เสมอ ในเรื่องฐานะทางการเงินรวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ต่างก็มีมากโขแค่เพียงไม่มีใครอยู่บ้านหลังใหญ่เหมือนเมื่อก่อน พ่อแม่อยู่ต่างประเทศเป็นหลัก พี่ชายวันๆ ซุกหัวอยู่แต่สนามแข่งรถไม่ก็โรงพยาบาล ส่วนฉันซุกหัวอยู่คอนโดกับเร็น “กลับบางครั้ง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD