บทที่ 1 หัวอกคนเป็นแม่
เวลา 23.00 น.
ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงบ มีหญิงสาวคนหนึ่ง ชื่อว่า รมิดา ก้าวเดินเป็นจังหวะช้า ๆ อย่างคนหมดอาลัย
มือเล็กกำลังกำเสื้อคลุมแน่นห่อเข้าหาตัวเพื่อผ่อนคลายความหนาว
“หนาวจัง” ปากเล็กพึมพำเบา ๆ จากนั้นยกมือบางขึ้นมาถูกันไปมาอีกครั้ง
อากาศที่หนาวขนาดนี้แต่เธอต้องออกมาเดินข้างนอกคนเดียว นั่นเป็นเพราะว่า ‘เลโอ’ชายหนุ่มดีกรีนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง แถมมีธุรกิจสีเทาคือคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ อีกทั้งตระกูลของเขาเป็นมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลรองจากตระกูลลี่
รมิดาเป็นคนรักของเลโอ หญิงสาวได้แต่งงานกับเขา เดิมทีคิดว่าชีวิตต่อจากนี้จะได้มีความสุขเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไปแล้ว
ทว่าการได้เป็นภรรยาของเลโอนั้นก็ไม่ได้ราบรื่นนัก เพราะการที่
รมิดาเข้าไปอยู่ในตระกูลของชายหนุ่มมีฐานะเป็นเพียงภรรยาน้อย ส่วนภรรยาหลวงต้องเป็นผู้หญิงตระกูลดังแน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเหมาะสมและคู่ควรกัน
อย่างที่เขาว่าไว้ ‘คนที่ต้องการอำนาจ ย่อมไม่เห็นแก่ตัณหาเรื่องผู้หญิง’ เพราะการที่เธอกลัวว่าเลโอจะลำบากใจ ด้วยความรัก หญิงสาวจึงยอมทิ้งศักด์ศรีของผู้หญิงเป็นภรรยาน้อยของเลโอ ทั้ง ๆ ที่รักกับเขามาก่อนแท้ ๆ นั่นเป็นความคิดที่โง่เขลาเสียจริง
แม้จะได้ครองใจของเลโอเอาไว้ แต่การที่เธอใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านหลังนั้น มันเหมือนนรกสำหรับรมิดา ทุก ๆ วัน คนตัวเล็กจะถูกภรรยาหลวงของเขากลั่นแกล้งสารพัด จนวันนี้เธอทนไม่ไหวตอบโต้กลับไปบ้าง แต่กลับถูกลงโทษโดนไล่ออกจากบ้านตระกูลเล
ตอนนี้คนตัวเล็กได้แต่ทอดสายตามองไปข้างหน้า นัยน์ตาสีน้ำผึ้งหุบต่ำลง ทอประกายความเศร้าอย่างเข้มข้น เพราะเธอเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีที่ไป
เลโอ เป็นรักแรกและรักสุดท้ายสำหรับเธอ นั่นเป็นสิ่งที่รมิดาทนมาจนถึงทุกวันนี้ แต่วันนี้เป็นวันที่เธออยากจบชีวิตลง เพราะเขาเป็นคนที่ไล่เธอออกมาจากบ้าน ทันทีที่ความคิดฆ่าตัวตายได้แล่นเข้ามาในหัว เพียงชั่วพริบตาสิ่งมีชีวิตอีกคนที่อยู่ภายในท้องกลับดิ้นขึ้นมา
ใช่….นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผล…ที่เธอยอมทน….เพราะตอนนี้ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว คงจะเดินไปไหนได้ไม่ไกลเท่าไหร่ โชคดีที่หญิงสาวเก็บเงินติดตัวเอาไว้ จึงเพียงพอที่จะเช่าโรงแรมนอนได้หนึ่งคืน หากผ่านไปหนึ่งคืน เวลานั้น เลโอคงจะหายโกรธ มารับเธอกลับบ้านไป
เดินมาเพียงไม่นานก็มาถึงถนนกว้าง รอบข้างรายล้อมไปด้วยตึกสูง สายตากลมโตกวาดมองไปรอบ ๆ พร้อมกับอ่านป้ายด้านหน้าของตึกไปด้วย
เพียงชั่วพริบตา….. รมิดาเห็นร่างหนึ่งกำลังร่วงหล่นมาจากด้านบน
ตุบ!
เสียงร่วงหล่นบางอย่าง หล่นลงมาทับร่างของรมิดา พอดี มันไม่ใช่สิ่งของแต่อย่างใด แต่มันคือร่างของมนุษย์
“กรี๊ดด!!” เสียงกรีดร้องของผู้คนที่อยู่แถวนั้นดังระงม
ต่างจากรมิดาที่ได้แต่นอนแน่นิ่ง ไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมา ได้แต่พยายามเอามือเรียวเล็กคลื่อนไปกุมท้องเอาไว้ สิ่งที่นึกได้ตอนนี้คือเป็นห่วงลูกในท้อง
ใบหน้าสวยค่อย ๆ ปรือตามอง ว่าเขาคือใครที่ตัดสินใจจบชีวิตลง โดยการที่พ่วงเอาชีวิตของหญิงสาวและลูกไปแบบนี้ ในช่วงเวลาหนึ่งรมิดาได้แต่เห็นใบหน้าของเด็กสาวคนหนึ่งอย่างเลือนลาง เรียวปากสีหวานค่อย ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลง ลมหายใจค่อย ๆ ขาดห้วง
“ชะ…ช่วย…ลูก…ของฉัน…ที” น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงหล่นไหลออกมาราวกับสายน้ำ เพราะตอนนี้รมิดารู้ดีว่า ตัวเองคงไม่รอด ดวงตาคู่สวยค่อย ๆ ปิดลงพร้อมกับสติที่ดับวูบไป
ส่วนเด็กสาวอีกคนได้แต่มองหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายนิ่ง ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำใด ๆ ออกมา ดวงตากลมโตก็ปิดลงไปเช่นกัน
“โทรเรียกรถพยาบาลเร็ว” เสียงของหญิงวัยกลางคนที่อยู่แถวนั้นเอ่ยบอกผู้เป็นสามีให้โทรเรียกรถพยาบาล พร้อม ๆ กับผู้คนมากมายหลายตา ต่างเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“น่าสงสารจัง ผู้หญิงท้องแก่คนนั้นเดินมาดี ๆ แท้ ๆ กลับถูกเด็กที่คิดจะฆ่าตัวตายร่วงใส่ซะงั้น” เสียงหญิงผู้มุงดูเหตุการณ์พูดกับคนที่อยู่ด้านข้าง
“นั่นสิ ฉันล่ะสงสาร เป็นแม่คนแล้ว ไม่รู้จะได้มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกตัวเองไหม ฉันภาวนาให้รอดมาดูหน้าลูกแล้วกัน ”
“แต่เด็กสาวคนนั้น เป็นอะไรทำไมถึงได้จบชีวิตลง ยังเป็นนักเรียนอยู่แท้ๆ เชียว”
เวลาผ่านไปไม่นาน รถพยาบาลก็ได้มายังสถานที่เกิดเหตุ
ร่างเล็กของรมิดาและเด็กสาวอายุเพียง 17 ปี ถูกนำขึ้นรถพร้อม ๆ กัน รมิดาค่อย ๆ กลับมามีสติอีกครั้ง ทว่าความรู้สึกเจ็บหน่วงบริเวณท้อง ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
‘อย่าพึ่งจากแม่ไปไหนนะลูก’ หญิงสาวได้แต่พูดในใจ เอื้อมมือเล็กมากุมบริเวณท้องอย่างยากลำบาก
ในช่วงเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงพูดว่า
“เวลาเสียชีวิต 00.00 น.”
แสดงว่าเด็กสาวที่กระโดดตึกลงมานั้นได้เสียชีวิตแล้ว
อึก! ช่วงเวลาหายใจขาดเป็นห้วง ๆ กลับมาอีกครั้ง ภายในรถเริ่มมีเสียงดังเอะอะโวยวายอย่างต่อเนื่อง รมิดาที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงที่จะเอ่ย แต่เธอก็พยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังที่สุด เคลื่อนมือจากบริเวณท้อง แล้วจับแขนคนข้าง ๆ เอาไว้แน่น
“หะ…หาก…ฉันเป็นอะไร…ให้ช่วยลูกของฉัน…ก่อน”
“เข้มแข็งเอาไว้คุณแม่ ใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว” พยาบาลได้แต่มองใบหน้าที่มีคราบเลือดเกาะอย่างสงสารจับใจ พร้อมกับบีบมือรมิดาเพื่อส่งกำลังใจ ไม่ให้ยอมแพ้
ณ โรงพยาบาล
คนตัวเล็กถูกพาตัวมายังห้องฉุกเฉิน และเข้าห้องผ่าตัดโดยเร็วที่สุด อาการของเธอค่อนข้างแย่ลงเรื่อย ๆ
ทันทีที่ได้ถูกนำตัวเข้ามา สายยางออกซิเจนถูกสวมเข้ามาใบหน้าสวย พร้อมกับสายยางช่วยชีวิตห้อยเต็มไปหมด
“ญาติคนไข้อยู่ไหน” เสียงแพทย์เฉพาะทางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“กำลังพยายามติดต่ออยู่ค่ะ แต่ยังไม่มีใครรับสาย เท่าที่ดูจากโทรศัพท์ในมือถือ คนไข้มีแค่เบอร์เดียวที่ได้เมมเอาไว้ค่ะ”
“หากช้าจะไม่ทันแล้วนะ ต้องเลือกว่าจะรักษาแม่ หรือลูกเอาไว้ คนไข้ตรงหน้าจะไม่ไหวแล้ว”
รมิดามีสติเลือนรางได้ยินอยู่บ้าง นี่เธอจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าลูกจริง ๆ หรือ ถึงอย่างไร คนเป็นแม่ก็ต้องเลือกชีวิตของลูกมาก่อนอยู่แล้ว
ในช่วงเวลาที่ร่างกายเจ็บปวด ยังไม่เท่ากับใจตอนนี้ มันเบาหวิวไปหมด
เลโอไม่อยากรับสายเธองั้นเหรอ….คุณมันใจร้ายเกินไปแล้ว เลโอ
“ชะ…ช่วย…ลูกฉันค่ะ…”
คนตัวเล็กพยายามเปล่งเสียงออกมา เพื่อเร่งการรักษา การตัดสินใจที่เลือกในครั้งนี้ ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย
หากชาติหน้ามีจริง….ขอให้เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย มีพ่อแม่และครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนคนอื่นเขา มีคนรัก…ที่รักเธอแค่คนเดียว และมีโอกาสเจอหน้าลูก ได้มีโอกาสจับฝ่ามือเล็ก ๆ ตอนเกิดมา ได้มีโอกาสเฝ้ามองดูลูกเติบโตโดยมีชีวิตที่ดี…….
เลโอ….ดาล่วงหน้าไปก่อนนะคะ….สิ่งเดียวที่ดาจะเหลือไว้ให้คือลูกของคุณค่ะ
เสียงร้องขออยู่ภายในใจ ทว่าไม่มีใครได้ยิน…
หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับมือเล็กที่ร่วงหล่นอยู่บนเตียง ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ ชีพจรก็แน่นิ่งไปแล้ว นั่นหมายความว่า
รมิดา ได้เสียชีวิตลง…..
ทว่า….
เฮือก! เสียงสูดลมหายใจเข้าของรมิดากลับมาอีกครั้ง…
นี่เธอยังไม่ตายหรอกหรือ….
“ริสา ลูกรักของแม่ ฮือ…” เสียงร้องไห้โฮของหญิงอายุประมาณ 45 ปีดังก้องอยู่ใกล้ ๆ ใบหูของเธอ พร้อม ๆ กับมือของคนด้านข้าง กุมมือรมิดาเอาไว้แน่น
คนตัวเล็กได้แต่งุนงง เธอมีแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน….
แม้อยากจะลืมตาขึ้นเพื่อดูเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่กลับทำไม่ได้ คงเป็นเพราะร่างกายที่เสียเลือดมากและเหนื่อยจนเกินไป เธอจึงได้นอนอย่าง เงียบ ๆ เพื่อพักผ่อน ก่อนที่จะนอนพัก ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นพูดว่า
“คุณหมอคะ ลูกของฉันยังไม่ตาย มือยังอุ่นอยู่ ชีพจรกลับมาแล้วค่ะ”