เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้โฉมงามไม่สามารถควบคุมสติของตนได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ในระหว่างก่อไฟต้มน้ำเสวียนซือชิงตรองดูอย่างละเอียดว่าเรื่องที่บุรุษผู้นั้นกล่าวมาเป็นความจริงหรือความเท็จ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ตวนอ๋องเกลียดชังครอบครัวของนางมากไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หลังจากผ่านไปสามปีแล้วค่อยส่งคนมาหมิ่นเกียรติกัน นั่นออกจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากสักหน่อย
นางยกน้ำถังแล้วถังเล่าไปเติมอย่างยากลำบาก กว่าจะทำให้ถังไม้มีน้ำอุ่นมากพอสำหรับชำระล้างร่างกาย เวลาก็ผ่านไปเกือบสองเค่อ[1] เสวียนซือชิงเดิน อย่างประหม่ากลับไปยังห้องนอนที่มีบุรุษแปลกหน้าเปลือยท่อนบนรออยู่ เขาจุดตะเกียงแล้ว ห้องจึงสว่างไสวขึ้นมาบ้าง
“น้ำร้อนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ลมหายใจของเสวียนซือชิงติดขัด บุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เนื้อดีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก ลักษณะของเขาสอดคล้องกับน้ำเสียงทุกประการ ไม่ผ่อนปรนหรือปรานีให้กับผู้ใด
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางแทบกลั้นลมหายใจคือความงามดั่งเทพเซียนของเขาต่างหากเล่า
ใบหน้าคมคร้ามและผิวขาวจัดยิ่งกว่าสตรี ทำให้นางไม่อาจจ้องมองได้นานนัก กลัวว่าจะควบคุมสติไม่อยู่เพราะความตื่นเต้น ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างสูงโปร่งทำให้นางรู้สึกหนาวสุดขั้วหัวใจ ถึงแม้จะก้มหน้ามองต่ำอย่างมีมารยาทแล้ว แต่ดวงตาสีดำสนิทราวกับหุบเหวลึก รวมถึงจมูกโด่งเป็นสันยังคงชัดเจนอยู่ในสมองน้อย ๆ ของเสวียนซือชิง ยังมีริมฝีปากหยักสวยและมัดกล้ามที่สมบูรณ์นั่นอีก
บุรุษผู้นี้งดงามมากจริง ๆ
“ข้าจะอาบน้ำ” เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อพบว่าไหสุราว่างเปล่า ก่อนเดินไปยังห้องเก็บสุราที่อยู่ไม่ไกล พลางออกคำสั่งให้นางนำเสื้อผ้าตามมายังห้องอาบน้ำเพื่อให้เขาได้ผลัดเปลี่ยน
“ทุกอย่างในห้องนี้ล้วนเป็นของตวนอ๋อง ท่านหาได้มีสิทธิ์แตะต้องสิ่งใดไม่ สุราไหนั้นก็เช่นกัน” เสวียนซือชิงแปลกใจไม่น้อยที่เขาหากุญแจห้องเก็บสุราที่ซ่อนอยู่จนเจอ นางอยู่ตำหนักร้างนานเกือบสามปี กว่าจะพบก็เข้าปีที่สอง แต่พบแล้วอย่างไร เป็นของของผู้อื่น หาแตะต้องได้ไม่
“ยามนี้ทุกอย่างล้วนเป็นของข้า เสื้อผ้า ตำหนักเยว่ฉี ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน”
เขาเดินผ่านไปโดยไม่เสียเวลามอง ท่าทางหยิ่งยโสและมั่นใจเกินกว่าชายใดที่เสวียนซือชิงเคยพบทำให้นางต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปักใจเชื่อไปถึงแปดส่วนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงดั่งคำที่เขากล่าวอ้าง แต่ถึงเขาได้รับอนุญาตจริง ๆ นางจะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อยู่หรือ
เสวียนซือชิงสูงแค่อกของชายผู้นั้น ไร้หนทางต่อสู้ด้วยร่างกาย นางจึงต้องใช้ปัญญาให้มาก ข่มความกลัวเอาไว้ให้ลึกที่สุด มือบอบบางหยิบเสื้อผ้าตัวในของบุรุษ รวมถึงผ้าผืนเล็กอีกสองผืนเดินนำเข้าไปในห้องอาบน้ำ วางมันลงอย่างรวดเร็ว ก่อนย้ายร่างไปยังหลังฉากกั้นก่อนที่บุรุษผู้นั้นจะเปลือยท่อนล่าง
“มาอาบน้ำให้ข้า” เขาออกคำสั่งขณะหย่อนตัวลงไปในถังไม้
“ข้าไม่ทำ อยากอาบก็อาบเอง!”
“นี่เจ้า!”
เสียงผุดลุกจากถังไม้จนน้ำกระฉอกดังขึ้น ทว่าเสวียนซือชิงไม่สนใจ นางรอจังหวะที่เขาเปลือยกาย หมายวิ่งหนีออกจากบ้านไปขอความช่วยเหลือ เดาไปเองว่าอีกฝ่ายคงอับอายจนไม่กล้าวิ่งติดตาม
เสียงฟ้าร้องทำให้หัวใจของเสวียนซือชิงเต้นรัว หวาดกลัวว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยตายไปเพราะพายุโหมกระหน่ำหรือถูกฟ้าผ่าก็ยังดีกว่าถูกหยามเกียรติให้ต้องอับอาย นางจึงมุ่งมั่นยิ่งนักว่าจะไปให้ถึงประตู ทว่ายังไม่ทันทำได้ดั่งหวัง แขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากอย่างแรง เท้าสองข้างลอยละลิ่ว
“เจ้าปล่อยข้า!” แต่ไม่ว่าจะดิ้นแรงเพียงใด เสวียนซือชิงก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความแข็งแรงของบุรุษแปลกหน้าได้เลย
“เหตุใดจึงต้องปล่อย เจ้าเป็นของข้า!”
กลิ่นสุราหอมน่าเวียนหัว กอปรกับเรือนร่างร้อนจัดราวกับเตาอุ่นมือที่นางเคยใช้เมื่อหลายปีก่อน ทำให้เสวียนซือชิงต้องตั้งสมาธิอย่างมาก นางหลับตาและสูดลมหายใจจนเต็มปอด กัดลำคอขาวเต็มแรง
เขาสบถอย่างหงุดหงิดมากกว่าเจ็บ ปล่อยนางตกลงบนพื้นห้องอย่างไม่ทะนุถนอม เมื่อสัมผัสได้ว่ามีเลือดซึมจึงคำรามอย่างมีโทสะ สายตาคมกริบจ้องมองอย่างเอาเรื่อง ยามนั้นข้อมือข้างซ้ายของเสวียนซือชิงเจ็บยิ่งนัก แต่ช่วงเวลาอันตรายถึงชีวิต นางหาได้มีเวลาใส่ใจไม่
ในเมื่อประตูถูกเขายืนขวางทั้ง ๆ ที่ยังเปลือยเปล่า เสวียนซือชิงจึงไม่อาจเอาตัวรอดด้วยการหนีออกจากบ้านได้อีก เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะรักษาเกียรติของตนได้
นางวิ่งกลับเข้าไปในครัว กว่าเขาจะตามเข้ามาทัน ในมือเล็ก ๆ ของนางก็ถือมีดเล่มหนึ่ง ดูแล้วคมมากเลยทีเดียว
“เจ้านี่ตลกเสียจริง คิดว่ามีดเล่มแค่นั้นจะทำอันใดข้าได้หรือ”
หากเป็นช่วงเวลาปกติ เสียงหัวเราะของเขาคงน่าฟังอย่างมาก แต่สถานการณ์เช่นนี้ เสวียนซือชิงชื่นชมใครไม่ได้จริง ๆ
“ย่อมทำอันใดต่อท่านไม่ได้” นางหันปลายมีดแหลมคมไปยังลำคอของตัวเอง “แต่มีดเล่มนี้ทำให้ข้ากลายเป็นศพได้ ถึงเวลานั้นหากท่านยังต้องการร่างกายข้าอยู่ก็เชิญตามสบาย ข้าจะไม่ดิ้นเลยสักนิดเดียว”
ตายแล้วจะขยับเขยื้อนได้อย่างไรเล่า
“เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก เจ้าควรยินดีที่ได้ดูแลข้า ตอบแทนบุญคุณตวนอ๋องที่อุตส่าห์ยอมแต่งกับเจ้าไม่ใช่หรือ”
“หากเป็นคำสั่งของท่านอ๋องจริง ข้าจะไม่เอ่ยขัดเลยแม้เพียงครึ่งคำ แต่นี่ท่านเล่นบุกรุกเข้ามา คิดบังคับขืนใจข้า โดยไม่มีหลักฐานอันใดพิสูจน์ได้เลยว่าทุกอย่างที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องจริง”
“ที่แท้เจ้าต้องการหลักฐาน เรื่องนั้นจัดการได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องขืนใจเจ้า...เสวียนซือชิง เจ้าคิดว่าบุรุษรูปงามเช่นข้า จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับจิตใจสตรีใดให้ยินยอมด้วยหรือ”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังลั่นตำหนักเยว่ฉี เสวียนซือชิงไม่แน่ใจว่าเขาเมาสุราหรือขบขันที่ถูกนางกล่าวหาว่าคิดขืนใจ
“แต่ท่านบังคับให้ข้าอาบน้ำให้”
“เพราะข้าเหนื่อยเกินกว่าจะอาบน้ำด้วยตนเอง เอาเถิด ในเมื่อไม่เชื่อว่าเรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริง คิดว่าอ้างเอาชื่อของตวนอ๋องมาข่มขู่กัน ข้าก็จะให้เจ้าครองตำแหน่งเจ้าของบ้านไปก่อน มีหลักฐานวันใดค่อยมาตกลงกันอีกที และหากเจ้าไม่อยากดูแลแขกเอง ก็จงไปเรียกสาวใช้มาปรนนิบัติ เติมน้ำให้ร้อนกว่านี้สักหน่อยก็ยังดี” เขาตำหนิเสียงแข็ง ก่อนเดินจากไปโดยมิสนใจมีดที่จ่ออยู่บนคอนางเลยสักนิด
เสวียนซือชิงทิ้งมีดทำครัว ความมืดมิดทำให้นางมองเห็นอันใดไม่ชัดนัก แต่พอแสงสว่างจากท้องฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง นางก็พลันกรีดร้องออกมาเบา ๆ
ไม่แน่ใจว่านางตื่นตระหนกเพราะเสียงและแสงที่เกิดจากภัยธรรมชาติ หรือเพราะช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นได้เห็นบั้นท้ายของบุรุษที่เดินกลับไปยังห้องอาบน้ำอย่างหน้าไม่อายที่สุด
เขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงหยิ่งยโสยิ่งนัก!
ปลายยามซื่อ[1] แล้ว ร่างสูงใหญ่จึงได้ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน คืนที่ผ่านมาเขาแวะทำธุระสำคัญระหว่างเดินทางกลับไปยังค่ายทหาร นึกไม่ถึงว่าจะเกิดพายุใหญ่จนเดินทางต่อไปได้ลำบาก ความจริงก็อยากจะแวะเข้าไปในเมือง หาที่พักสะอาดสะอ้านนอนพักจนกว่าพายุจะสงบ นึกไม่ถึงว่าจะอากาศจะย่ำแย่จนม้าตื่นกลัว รู้ตัวอีกทีก็ถูกทิ้งไว้หน้าตำหนักเยว่ฉีเสียแล้ว
เฉินฟาหยาง ลืมเสียสนิทว่ามีใครอยู่ที่นี่ จนกระทั่งได้เห็นดวงหน้าคุ้นตาที่คล้ายบิดาของนางอยู่หลายส่วน ความโกรธแค้นในใจก็พลันพลุ่งพล่าน อยากกลั่นแกล้งเลือดเนื้อเชื้อไขของบุรุษที่ทำให้เขาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมาทันที
ยากจะเดาได้ว่าปีศาจตนใดยุยงให้เฉินฟาหยางกล่าวความเท็จ ว่าตวนอ๋องยกทุกอย่างที่นี่รวมถึงตัวนางให้เขาแล้ว แต่จะว่าเป็นความเท็จทั้งสิบส่วนก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะตัวเขาและตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์คือคนคนเดียวกัน ทว่าเสวียนซือชิงหาได้ทราบเรื่องนั้นแต่อย่างใดไม่
ในวันที่แต่งนางเข้าตำหนักร้างเมื่อสามปีก่อน เขาสำเริงสำราญอยู่กับอนุภรรยาในจวน หลับนอนกับพวกนางอย่างบ้าคลั่ง ถึงเสวียนซือชิงจะไม่ทราบเรื่อง แต่เขาก็สาแก่ใจอย่างมาก ยิ่งได้ข่าวจากคนรู้จักว่านางรออยู่ในรถม้านานเกือบสองชั่วยาม เฉินฟาหยางก็ยิ่งมีความสุขจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด
ความจริงอยากจะกลั่นแกล้งให้มากกว่านี้สักหลายเท่า แต่พอเห็นนางอีกครั้งภายใต้แสงตะเกียงที่ส่องสว่าง เฉินฟาหยางก็จำต้องแสร้งทำสีหน้าดุดันกว่าปกติ ทั้งยังไม่ยอมสบตา ด้วยเกรงว่าจะใจอ่อนให้กับความงามของนาง
ดวงตากลมโตหวานซึ้งมีหยาดน้ำสีใสคลออยู่ มองดูแล้วน่าสงสารจนอยากจะเข้าไปกอดปลอบ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผา[2] แต่พอเห็นความตื่นกลัวบนใบหน้านางกลับไม่รู้สึกอยากขู่ตะคอกให้เสียน้ำใจ จากที่ตวาดแทบทุกคำจึงยอมลดเสียงลงบ้าง ยิ่งนึกไม่ถึงว่านางจะหวงของ ปกป้องทุกอย่างที่เป็นของตวนอ๋องทั้ง ๆ ที่กลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
เฉินฟาหยางเห็นว่านางปกป้องผลประโยชน์ให้ตนเช่นนั้นก็ลดความเกลียดชังลงสองส่วน ตั้งใจว่าอาบน้ำแล้วจะเข้านอน เมตตากอดนางให้ความอบอุ่นสักหน่อย นึกไม่ถึงว่านางรั้งรอให้เขาเปลือยเปล่า เพื่อที่จะหนีออกจากตำหนักท่ามกลางพายุใหญ่ โชคยังดีที่เขาคว้าเรือนร่างนุ่มนิ่มนั้นไว้ได้ทัน
แต่กระนั้นนางก็ยังขู่กันด้วยมีด...
แววตาเด็ดเดี่ยวของนางเหมือนกับบิดาไม่ผิดเพี้ยน มองดูแล้วเป็นคนพูดจริงทำจริง ดื้อด้านเป็นที่สุด หากเขาข่มขู่หรือกดดันนางมากไป ตำหนักเยว่ฉีคงได้กลายเป็นตำหนักร้างจริง ๆ แล้ว
“เหตุใดจึงเงียบเหงายิ่งนัก”
เฉินฟาหยางลุกออกจากเตียงอย่างเกียจคร้าน พลางเดินสำรวจทั่วตำหนักที่เขาไม่ได้มานานเกือบยี่สิบปี มันเล็กเสียจนไม่ควรถูกเรียกว่าตำหนัก เรียกว่าบ้านคงจะเหมาะสมกว่า
แต่ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือที่ประทับชั่วคราวของเสด็จพ่อเมื่อครั้งแวะเวียนมายังค่ายทหารนอกเมือง พบท่านแม่ของเขาเป็นครั้งแรก จากบ้านธรรมดาจึงถูกเปลี่ยนชื่อให้ดูหรูหราสมกับเป็นเรือนหอ ก่อนพานางกลับเข้าวังหลวงในภายหลัง
มารดาของเขามิได้เต็มใจแต่งกับฮ่องเต้ นางจึงไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดนัก กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างเฉินฟาหยางลืมตาดูโลกยังถูกละเลย เรียกได้ว่าเติบโตมาโดยสาวใช้ก็มิผิด หลังจากการศึกทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว องค์ฮ่องเต้จึงออกคำสั่งให้พาตัวพระสนมและองค์ชายน้อยกลับเข้าวังหลวงไป
ตำหนักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอจึงถูกปล่อยร้างนับจากนั้นเป็นต้นมา
เฉินฟาหยางใช้สกุลของมารดา เพราะนางไม่มั่นใจว่าบุรุษรูปงามผู้นั้นจะกลับมาหรือไม่ แต่พอเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้ว นางกลับเบื่อหน่ายการแก่งแย่งชิงดี ทนรั้งตำแหน่งพระสนมกุ้ยเฟยได้เพียงสิบปีก็สิ้นลมหายใจ ทิ้งไว้เพียงคำเล่าลือว่าอ้ายเฟย[3]ของฮ่องเต้เย็นชาอย่างมาก และความเย็นชาได้ส่งต่อผ่านทางสายเลือดให้กับตวนอ๋องเฉินฟาหยางอย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
หลังจากเดินจนทั่วแล้ว เขาก็อ้อมมายังด้านหลังตำหนัก อันเป็นบริเวณห้องครัวและพื้นที่สำหรับซักล้างทำความสะอาด พบร่างเล็กคุ้นตาสวมเสื้อผ้าเก่าแทบขาดกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง เฉินฟาหยางขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะอุทานอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“นั่นเจ้าทำอะไร!”
เขาทราบดีว่าเสวียนซือชิงกำลังความสะอาดผ้าสกปรก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่านางต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง แล้วสาวใช้ในบ้านไปอยู่ที่ใดกันหมดเล่า
“คุณชายโปรดเข้าไปรอด้านในสักครู่ ข้าทำความสะอาดเสร็จแล้วจะรีบนำน้ำชาไปให้เจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงต้องทำเรื่องพวกนี้เอง สาวใช้ของเจ้าไปอยู่ที่ใดกัน”
“ที่นี่ไม่มีสาวใช้เจ้าค่ะ มีข้าเพียงแค่คนเดียว” นางก้มหน้าขณะตอบ ทว่าใบหูแดงจัดทำให้เฉินฟาหยางทราบได้ว่านางกำลังอับอาย
ที่แท้เมื่อคืนยามนางปฏิเสธว่าไม่มีใครอยู่ช่วยเขาอาบน้ำได้ โดยอ้างว่าที่นี่ไม่มีสาวใช้ เสวียนซือชิงไม่ได้คิดท้าทายกัน นางอยู่ที่ตำหนักร้างตามลำพังจริง ๆ แต่ในเมื่อนางเป็นถึงบุตรสาวคนโปรดของรองแม่ทัพเสวียนซือเหยา นางก็ควรจะมีสาวใช้ หรือทรัพย์สินเงินทองติดตัวมาบ้างมิใช่หรือ
‘ละเว้นโทษประหารคนสกุลเสวียน ทว่ายึดทรัพย์ให้หมดสิ้น’
เฉินฟาหยางตระหนักได้ในทันทีว่าที่ผ่านมา เสวียนซือชิงมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก มิได้สมตำแหน่งฐานะพระชายาของตวนอ๋องเลยแม้แต่น้อย
แต่บิดาของนางชั่วร้าย เขาจะต้องนึกสงสารนางไปเพื่ออะไรกัน
[1] เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๐.๕๙ น.
[2] อ่อนโยนต่อสตรี
[3] สนมรัก
[1] ๑ เค่อ = ๑๕ นาที