ผู้คนในใต้หล้าที่พบหน้าตวนอ๋องเฉินฟาหยางล้วนทราบดีว่า บุรุษผู้นี้มีความมั่นใจอย่างมาก ความสามารถทางทหารโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง มีเพลี่ยงพล้ำสูญเสียไปบ้าง แต่ก็กอบกู้คืนได้ในที่สุด
ส่วนอีกเรื่องที่น่าภาคภูมิใจคือความหล่อเหลา หาบุรุษใดเทียบเคียงได้ยาก แม้ยามถูกสตรีตอแยชอบทำหน้าคล้ายรำคาญ แต่ลึก ๆ กลับกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
ทว่าคำพูดหยอกเย้าของหลี่จินหมิง ศิษย์น้องที่เขาโปรดปรานน้อยลงทุกครั้งที่พบหน้า กลับทำให้ความมั่นใจลดลงถึงแปดส่วน ยิ่งเห็นว่าคนงามที่เขาพยายามเอาชนะใจ ชักชวนคุณชายหลี่ให้ร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน เฉินฟาหยางก็ถึงกับพูดไม่ออก ยังดีที่ทางนั้นปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาจึงหายใจสะดวกขึ้นมาบ้าง แต่กระนั้นก็ยังอารมณ์ไม่ปกติ ถึงขั้นไม่อยากเจอหน้าผู้ใดอีก
เสวียนซือชิงเห็นเขาเป็นเช่นนั้น มีหรือจะทนได้
เมื่อวานยามอยู่โรงเตี๊ยมเขากินดื่มเพียงน้อยนิด กระทั่งปลาเปรี้ยวหวานของโปรดก็กินแค่สองคำ หลังกลับถึงบ้านก็เก็บตัวเงียบไม่พูดจา รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเข้านอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าต้องให้นางเข้าไปอ่านหนังสือให้ฟังจนกว่าจะพอใจ
เสวียนซือชิงใช้เวลาทบทวนดูว่าตนทำเรื่องอันใดผิดพลาดไป แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะไขความข้องใจให้กระจ่างได้ นั่นคือสนทนากับคุณชายเฉินหยางให้รู้เรื่อง
นางรอจนถึงต้นยามซวี[1]ของอีกวัน ทว่าคุณชายเฉินหยางก็ยังมิยอมให้พบ มีเปิดประตูเพียงแค่สามครั้งเพื่อรับอาหารจากสาวใช้ เสวียนซือชิงจึงมั่นใจแล้วว่าคนที่ทำให้คุณชายอารมณ์ไม่ปกติก็คือนาง และเรื่องสำคัญเช่นนี้ย่อมต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
“ท่านพี่เจ้าคะ” นางเอ่ยเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบได้ ทว่าอีกฝ่ายยังตอบกลับด้วยความเงียบ ต่างจากยามที่สองสาวใช้นำอาหารและสุรามาให้ในช่วงเย็นโดยสิ้นเชิง
“ท่านพี่เจ้าคะ คืนนี้เสี่ยวผิงกับเสี่ยวอันย้ายมานอนที่นี่แล้ว หากท่านพี่ไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไป เกรงว่าเรื่องนี้คงถึงหูคุณชายหลี่ ท่านอ๋องอาจทราบเรื่องและเกลียดชังข้าหนักหนาเสียยิ่งกว่าเดิม” คล้ายกับว่าเหตุผลข้อนี้ของนางจะฟังขึ้น คุณชายเฉินหยางจึงยอมลุกมาเปิดประตูให้ แต่ก็ยังมิยอมสนทนาด้วยคำหวาน ทิ้งตัวลงบนเตียง นอนหันหลังโดยไม่สนใจอะไรอีก
เสวียนซือชิงเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งปวดใจ ไม่รู้ว่าตนทำผิดอันใด บุรุษผู้เดียวที่เอาใจใส่นางจึงเมินเฉยเย็นชา ก่อความรู้สึกอ้างว้างในหัวใจได้มากถึงเพียงนี้
“ท่านพี่เจ้าคะ ซือชิงมิแน่ใจว่าตนเองทำผิดอะไรไป หากท่านพี่เมตตาบอกกล่าวให้รู้ตัว ซือชิงสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกเจ้าค่ะ” ทว่าเขายังคงนอนหันหลัง นางจึงจำต้องขยับเข้าไปใกล้ สุดท้ายก็วางมือลงบนต้นแขน พร้อมทั้งยิ้มหวานเอ่ยเรียกว่าท่านพี่เบา ๆ
การกระทำเช่นนั้นได้ผลดีอย่างยิ่ง เพราะคุณชายเฉินหยางรีบพลิกตัวนั่งและเริ่มต้นสนทนากับนางทันที
“เหตุใดจึงต้องชวนผู้อื่นไปกินข้าวด้วยเล่า” เสวียนซือชิงตระหนักได้ทันทีว่าเขากำลังไม่พอใจเรื่องอะไรอยู่
คุณชายเฉินหยางกำลังหึงหวงนางกับชายอื่น
“ซือชิงชวนไปตามมารยาทเจ้าค่ะ อย่างไรคุณชายหลี่ก็เป็นถึงศิษย์ร่วมอาจารย์ของท่านอ๋อง หากทราบเรื่องที่ข้ามิได้ดูแลท่านพี่ในทุก ๆ ด้านก็เกรงว่าจะเกิดปัญหา ยิ่งเห็นว่าเขาตั้งใจจับผิดด้วยการส่งสาวใช้มาประจำอยู่ที่นี่ ซือชิงจึงคิดว่าผูกมิตรเอาไว้ดีกว่าสร้างศัตรูเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจหลี่จินหมิง ตวนอ๋องก็เช่นกัน หากผู้ใดมีปัญหาก็ให้มาคุยกับข้า!”
“ซือชิงไม่ต้องการสร้างปัญหาจึงตั้งใจประนีประนอมให้มาก แต่ฟังจากคำพูดเมื่อครู่นี้ กลับให้ความรู้สึกว่าทั้งท่านอ๋องและคุณชายหลี่ยังต้องเกรงใจท่านพี่อยู่หลายส่วน” เสวียนซือชิงนิ่วหน้า นึกสงสัยมานานแล้วว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงตามใจบุรุษผู้นี้นัก นอกจากจะยกนางและตำหนักให้แล้ว คุณชายหลี่ยังต้องเคารพดูแลอีกด้วย
“ย่อมต้องเกรงใจ ความจริงเรื่องนี้ข้าไม่ควรพูดเพราะอาจทำให้เจ้าเป็นอันตราย แต่หากไม่พูดกันให้เข้าใจ เจ้าคงนึกกังขาในตัวข้า...ซือชิง นอกจากจะเป็นญาติห่าง ๆ แล้ว ข้ายังเป็นที่ปรึกษาลับของตวนอ๋องเฉินฟาหยางอีกด้วย มีคนไม่มากที่ทราบเรื่อง แทบเรียกได้ว่าข้านั้นไร้ตัวตน แต่นั่นก็เพื่อความปลอดภัย” น้ำเสียงของคุณชายเฉินหยางอ่อนลงมาก เสวียนซือชิงก็สบายใจขึ้นมากเช่นกัน
“ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้ หากข้าทราบแต่แรกก็คงมิต้องกังวลว่าคุณชายหลี่จะทำให้ท่านต้องลำบากใจ เป็นซือชิงที่คิดมากในเรื่องที่ไม่ควรคิด คิดน้อยในเรื่องที่ควรคิดให้มาก ท่านพี่ไม่พอใจนับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว”
เสวียนซือชิงไม่เซ้าซี้ให้มากความอีก ในเมื่อเขาหึงหวงไม่พอใจที่นางพูดกับชายอื่น หลังจากนี้นางก็จะปิดปากเงียบ ดั่งเช่นสามปีที่ผ่านมา ทำเพียงเท่านั้นก็สามารถจัดการปัญหาได้แล้ว
“นั่นเจ้าจะทำอันใด” คุณชายเฉินหยางถามเมื่อเห็นว่านางผละออกจากเตียง หยิบจับของบนชั้นเก็บเครื่องนอนไปตามเรื่อง
“ท่านอ๋องกับคุณชายหลี่อาจเกรงใจท่านพี่ แต่กับซือชิงยังคงเหมือนเดิม หากสาวใช้เห็นว่าข้าเดินออกจากห้องในยามวิกาล เกรงว่าชีวิตซือชิงหลังจากท่านพี่จากไปคงลำบาก ดังนั้นต่อให้ท่านพี่ยังขุ่นเคือง ข้าก็ยังต้องหน้าด้านขอนอนร่วมห้องด้วยอยู่ดี”
เสวียนซือชิงหยิบผ้าห่มสำรองมาปูพื้น เตรียมพักผ่อนนอนหลับอย่างที่ตั้งใจไว้ในทันที
หากมีผู้ใดได้เห็นสีหน้าของตวนอ๋องเฉินฟาหยางในยามนี้ก็คงมิอยากเชื่อ ทีแรกก็โกรธเคืองเนื่องจากสาวงามในบ้านชวนบุรุษอื่นให้ร่วมรับประทานอาหารต่อหน้า แม้เจตนาบริสุทธิ์ของนางจะคลายความมิพอใจลงไปได้บ้าง แต่พอเห็นมือเรียวบางจัดวางที่นอนลงบนพื้นห้อง จากที่โกรธเคืองก็เปลี่ยนไปเป็นน้อยใจอย่างน่าประหลาด
“เหตุใดจึงนอนที่พื้น เตียงข้าออกจะกว้าง รับเจ้าได้อีกคนไม่ลำบาก”
เป็นเฉินฟาหยางที่วางแผนการเอาไว้แต่แรก หากสองสาวใช้อยู่ประจำที่นี่แล้ว นางคงหาข้ออ้างไม่นอนร่วมเตียงกันไม่ได้แน่ นึกไม่ถึงว่าเสวียนซือชิงจะยอมลำบากนอนพื้นห้องเย็นเฉียบ
“อย่างไรท่านพี่ก็เป็นบุรุษ หากซือชิงนอนเตียงด้วย เกรงว่าท่านพี่จะลำบากใจเจ้าค่ะ”
“ที่แท้เจ้ากลัวถูกข้าปลุกปล้ำ ดูท่าซือชิงคงมิเคยไว้ใจท่านพี่คนนี้ หากเลือกได้เจ้าคงเลือกคุณชายหลี่ เพราะเขาคอยดูแลเจ้าในช่วงลำบากนานถึงสามปี ซือชิง หากตวนอ๋องยกเจ้าให้เขาแทน เจ้าคงจะมีความสุขมากกว่าการทนอยู่ดูแลข้า ใช่หรือไม่” เฉินฟาหยางมิเข้าใจว่าเหตุใดหัวใจจึงรู้สึกคล้ายถูกบีบแรง ๆ เขามิเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนจึงหงุดหงิด จนต้องทิ้งร่างลงนอนตะแคงเพื่อหนีหน้าเสวียนซือชิงอีกครั้ง
“ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ”
“นอนเถิด ไม่กวนใจเจ้าแล้ว ไว้พรุ่งนี้จะหาเตียงเล็กมาวางริมหน้าต่างให้ หากพวกสาวใช้สงสัยก็จงบอกไปว่าข้าอยากเอนหลังอ่านหนังสือยามบ่าย มิใช่ว่าเจ้ารังเกียจจนมิยอมร่วมเตียงด้วย”
ตวนอ๋องกล่าวออกไปเช่นนั้นแล้วก็ตระหนักได้ว่าตนมิใช่แค่บุรุษปากร้ายยามนิ่งเฉย ป้อนคำหวานเก่งยามหลอกล่อ ทว่ายังตัดพ้อต่อว่าเก่งเสียยิ่งกว่าสตรี แต่ก็เพราะเสวียนซือชิงที่ทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
ยังมิทันสรุปได้ว่าเหตุใดตนจึงกลับกลายเป็นคนเช่นนี้ วงแขนเล็กพลันสอดกอดเอวของเขาอย่างหลวม ๆ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางตัวนิ่งแข็งไปชั่วขณะ พอปรับลมหายใจได้แล้วจึงรีบหันกลับไปมองดวงหน้าหวานที่กำลังแดงจัดราวกับผลไม้ป่าประเภทหนึ่ง
“ซือชิงไม่เข้าใจ เหตุใดท่านพี่จึงต้องกังวลเรื่องคุณชายหลี่นักล่ะเจ้าคะ”
เสวียนซือชิงถามอย่างกังวล มิรู้ตัวเลยว่าความใสซื่อได้ทำให้อีกฝ่ายยอมเผยเรื่องกวนใจออกมาจนหมดเปลือก
“ไม่ให้กังวลได้อย่างไร จินหมิงเพิ่งจะอายุสิบเก้า เจ้าเองก็แค่สิบแปด นับได้ว่าเป็นคนรุ่นเดียวกัน ย่อมพูดจาเข้าใจกันมากกว่า ส่วนข้าปีนี้สามสิบสามแล้ว อีกไม่นานผมคงขาวโพลน หมดสิ้นความงาม ถึงเวลานั้นเจ้าคงไม่ใส่ใจ ไม่ยินยอมนอนกอดข้า หันไปชื่นชอบบุรุษรุ่นราวคราวเดียวกันแทนกระมัง”
เมื่อเห็นว่านางเงียบไปไม่ตอบโต้ ทั้งยังคลายอ้อมกอดอย่างละมุนละม่อม เฉินฟาหยางก็ยิ่งปวดใจ เชื่อไปแล้วว่านางคงคิดเช่นเดียวกับหลี่จินหมิง ว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เขาคงไร้เสน่ห์ หมดสิ้นความงาม สู้ผู้ใดไม่ได้แล้วจริง ๆ
“ที่เจ้าเงียบไป เพราะคิดว่าข้าแก่จริง ๆ ใช่หรือไม่ เพราะเจ้า...คิดชอบผู้อื่นใช่หรือไม่”
“เปล่านะเจ้าคะ” เสวียนซือชิงส่ายหน้า “ซือชิงเพียงไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านพี่จึงคิดไปไกลนัก วาสนาของเราสองยาวนานที่สุดก็แค่หกเดือน หลังจากนั้นก็ต้องลาจาก และอีกอย่าง หากข้าจะมีใจให้ใครบ้าง บุรุษผู้นั้นย่อมต้องเป็นท่านพี่ที่ใจดีกับข้าอย่างที่สุดแล้ว และต่อให้ท่านพี่แก่ชราผมขาวโพลน ซือชิงก็คงจะยังรู้สึกดีกับท่านพี่ไม่แปรเปลี่ยน ส่วนคุณชายหลี่ ซือชิงนับถือเป็นพี่ชายเท่านั้นเจ้าค่ะ”
คำหวานของเสวียนซือชิงเปรียบได้ดั่งน้ำผึ้งป่า ฟังแล้วคอที่แห้งผากนานหลายชั่วยามพลันชุ่มฉ่ำ กระทั่งเบื้องล่างก็ตื่นตัวขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ แข็งขืนยิ่งกว่ายามเห็นสตรีแก้ผ้ายั่วยวนตรงหน้าเสียอีก
เฉินฟาหยางคิดคำนวณเวลาที่เหลืออย่างรวดเร็ว หากนับดูให้ดีแล้ว เขาพลาดโอกาสในการนอนกอดเสวียนซือชิงมานานนับสิบวัน คืนนี้นางเป็นฝ่ายออดอ้อนเอาใจ หากโปรยเสน่ห์อีกสักหน่อย ไม่แน่ว่านางอาจใจอ่อน ยอมร่วมเตียงกอดก่ายให้เขาคลายความรุ่มร้อนไปได้บ้าง
“หากไม่คิดอันใดกับจินหมิง เจ้าก็จงจูบเอาใจข้า หาไม่แล้วข้าคงมิอาจเชื่อใจเจ้าได้”
“ท่านพี่...” เสวียนซือชิงชะงักไปครู่หนึ่ง เม้มกลีบปากสีหวานแน่น แต่สุดท้ายกลับค่อย ๆ ทาบจูบเอาใจคุณชายเฉินหยาง ไม่เอ่ยขัดเมื่อเขาพลิกตัวคร่อมทับและใช้ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าหยอกเย้าอย่างชำนาญ สร้างความปั่นป่วนหวามไหวให้กับหัวใจของนางอย่างที่สุด
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางเห็นว่านางไม่ขัดข้องก็ยิ่งรุกหนัก มือใหญ่สอดเข้าใต้เสื้อตัวบาง พบว่าด้านในว่างเปล่า มีเพียงความอ่อนนุ่มชูชันเพราะถูกกระตุ้นอย่างอ่อนโยน เขาคลึงเคล้นดอกบัวคู่งามอย่างทะนุถนอม จำได้ว่าคราวก่อนได้ช่วงชิมความหอมหวานแล้วแทบอดใจไม่ไหว ทว่าหลายวันมานี้นางไม่ได้ผอมบางดังเดิม จากที่เต็มมืออยู่ก่อนหน้า ยามนี้จึงล้นหลามไปมาก
เสวียนซือชิง...เสวียนซือชิง
“ท่านพี่บอกว่าแค่จูบเอาใจมิใช่หรือเจ้าคะ”
เสวียนซือชิงกล่าวทันทีที่ริมฝีปากได้รับอิสระ นางนอนตัวสั่นสะท้าน ไม่กล้าขัดใจบุรุษตรงหน้า ทำได้เพียงถามเพื่อเรียกสติ เผื่อว่าเขาจะเมตตา ไม่บีบบังคับนางเกินกว่าจะทนไหว
“ได้กอดเจ้าแล้วก็อยากจะกอดให้แน่นยิ่งขึ้น ได้จูบปากนุ่มของเจ้าแล้ว ก็อยากจะจูบให้ทั่วทั้งตัว ซือชิง ท่านพี่ของเจ้าขอทำมากกว่านี้ได้หรือไม่”
เสียงของเขาแหบพร่า ทำหัวใจดวงน้อยสั่นไหว เกือบจะใจอ่อนให้กับบุรุษที่รู้จักกันได้เพียงมิกี่วัน
“ร่างกายของซือชิงเป็นของท่านพี่แล้ว แม้ใจยังไม่พร้อม แต่คงขัดขืนอันใดมิได้ มีเรื่องเดียวที่ทำให้ยังไม่สบายใจอยู่บ้าง”
“ซือชิง...” เฉินฟาหยางผละออกตั้งแต่นางบอกว่าใจยังมิพร้อมแล้ว
“ที่ผ่านมาข้าคิดตลอดว่าตนคงมิใช่สตรีที่ดี แต่งให้กับตวนอ๋องก็มิได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่ อยู่กับท่านพี่แล้วก็ยังไม่พร้อมเอาอกเอาใจ ซ้ำในสายตาของท่านพี่ ข้ายังเป็นสตรีที่ใช้ไม่ได้ แอบชอบคุณชายหลี่ด้วยอีกคน ยามนี้คงทำได้เพียงร่วมหลับนอนกับท่านพี่ เพื่อพิสูจน์ว่าใจของข้ามิได้แอบมีผู้ใดซ่อนอยู่แล้ว”
เสวียนซือชิงฝืนยิ้มหวาน วางมือเล็กลงบนไหล่หนา เลื่อนไล้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่าย ทว่ายังมิทันได้ทำดั่งที่คิด เสียงนุ่มทุ้มแหบพร่าก็หยุดความตั้งใจของนางเอาไว้เสียก่อน
“น่ารักขนาดนี้ ข้าจะฝืนใจเจ้าได้อย่างไรไหว” คุณชายเฉินหยางห่อตัวสาวงามด้วยผ้าห่ม ฝังจมูกลงบนแก้มนุ่มแรง ๆ และกอดก่ายนางไปจนถึงเช้า โดยมิทำอันใดที่มากกว่านั้นอีก
เสวียนซือชิงเกิดมาเพื่อทดสอบความอดทนของเขาโดยแท้
[1] เวลา ๑๙.๐๐ – ๒๐.๕๙ น.