บทที่ 9 ความเห็นแก่ตัวหรือความรัก
บรรยากาศในห้องทำงานกดดันไม่น้อย ชายวัยกลางคนถึงกับเหงื่อตก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามทำตัวสุขุมเป็นปกติ ทั้งที่ความจริงกำลังวิตกกังวลสุดขีด
"บริษัทของเรามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาหลายปี คุณกองทัพบอกผมได้ไหมครับว่าผมเผลอทำอะไรให้คุณโกรธเคืองหรือเปล่า"
อาร์เคเอ่ยขึ้น การเจรจาครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางว่าตระกูลจะอยู่รอดหรือล่มสลาย เขาจำได้ว่าตัวเองไม่เคยทำเรื่องผิดใจ หรือขัดแข้งขัดขากองทัพ เขาไม่รู้จริง ๆ ว่ามีสาเหตุอะไรถึงได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้
"คุณไม่ได้ทำอะไร แต่ลูกเขยของคุณทำให้คนของผมไม่พอใจ"
กองทัพเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ นั่นยิ่งทำให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าเหงื่อตก ถึงเขาจะไม่รู้ว่าดินแดนไปทำอะไรให้คุณกองทัพโกรธเคือง แต่เขาก็จำเป็นต้องรักษาวงศ์ตระกูลไว้
"ผมจะจัดการให้ครับ"
"คุณน่าจะรู้ว่าควรทำยังไง ผมมีงานต่อ เชิญครับ"
กองทัพผายมือไปทางประตู แม้ชายวัยกลางคนจะยิ้มสุภาพให้ แต่ภายในใจเขากำลังเดือด
พออาร์เคขึ้นมาบนรถได้ ก็สบถด้วยความโมโห
"แก! ไอ้เด็กเวร! ขึ้นมายืนสง่าได้แค่ไม่กี่ปีก็ทำตัวเหิมเกริม"
เขาทุบพวงมาลัยเสียงดัง แม้จะเจ็บมือ แต่มันก็ไม่เท่ากับความเจ็บใจ เขาโมโหทั้งไอ้เด็กกองทัพและดินแดน
"คุณกองทัพปล่อยไปแบบนั้นจะดีเหรอครับ"
สิบถามหลังจากที่ชายวัยกลางคนออกไป เขาไม่คิดว่าผู้เป็นนายจะยอมรามือง่ายดายขนาดนี้
"นั่นสินะ หึหึ"
สายตาของกองทัพฉายแววเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังนึกอะไรสนุกๆ ออก ทำให้สิบนึกเสียวสันหลังแทน เพราะไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังคิดพิเรนทร์อะไร แต่มันคงเป็นเรื่องน่ากลัวไม่น้อย
เอกกับดินแดนมาที่บ้านใหญ่ เพราะถูกผู้เป็นพ่อออกคำสั่งให้มาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พอเดินเข้ามาภายในห้องก็พบกับพ่อที่นั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่
"คุณพ่อครับเกิดอะไรขึ้น"
ดินแดนทักด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเดินไปใกล้กลับถูกพ่อตาต่อยจนเลือดกบปาก ขณะที่ดินแดนกำลังมึนงง เอกก็กรีดร้องออกมาพลางวิ่งเข้าไปหาคนรักด้วยท่าทีร้อนรน
"คุณพ่อทำอะไรครับเนี่ย!"
"ฉันต้องถามแกมากกว่าว่าแกไปทำอะไรให้คุณกองทัพโกรธเคือง แกรู้สถานการณ์ในตระกูลตอนนี้ไหม! ไสหัวไป หลังจากนี้แกไม่ใช่ลูกเขยของตระกูลนี้อีกแล้ว!"
ดินแดนกัดฟันกรอด ภายในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
กองทัพ!? ถ้าจำไม่ผิด มันคือเสี่ยคนใหม่ที่ไส้เทียนควง
"เดี๋ยวก่อนสิครับ" ดินแดนพูดด้วยท่าทีร้อนรน
"ไปกันเถอะ เขาไล่ขนาดนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องง้อเลย!"
เอกเอ่ยขึ้น เขาเป็นลูกชายคนเดียว และถูกตามใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาเชื่อว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพ่อก็ต้องอยู่ข้างเขาอยู่แล้ว
เหมือนที่ผ่านมา...!
"เอก ถ้าแกกล้าออกจากบ้านนี้แม้แต่ก้าวเดียว แกจะไม่ใช่ลูกของฉันอีก"
น้ำเสียงเด็ดขาดของผู้เป็นพ่อทำให้เอกเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำแบบนี้
ตรงหน้าคือผู้ชายคนที่เขารักมากที่สุด ส่วนอีกทางก็คือครอบครัว ถ้าหากว่าตระกูลดินแดนไม่ได้มีพ่อของเขาคอยซัพพอร์ตก็คงไม่สามารถกลับมาร่ำรวยได้ ดีไม่ดีอาจจะล้มละลายเลยก็ได้ นั่นหมายความว่าถ้าเขาตัดสินใจไปกับดินแดน เขาก็จะมีชีวิตที่แย่ และกลายเป็นคนจน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากที่สุดสำหรับเขา
"เอก..."
ดินแดนเบิกตากว้างเมื่อคนรักผลักตัวเองออก แล้วเดินไปหาผู้เป็นพ่อ บ่งบอกว่าเขาตัดสินใจเลือกความร่ำรวย ดีกว่าตัดสินใจไปกับตนเองที่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะไปทางไหน
"ดี! ดีมากเอก"
ดินแดนกำหมัดแน่น ก่อนจะหันหลังเดินออกจากคฤหาสน์ไปด้วยท่าทีคับแค้น แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาไม่ปล่อยให้เรื่องจบไปแบบนี้แน่!
"ทำไมข่าวไม่ถูกลบ หรือว่าถอดใจยอมรับความจริงแล้ว"
ไส้เทียนนอนเล่นอยู่ที่โซฟาพลางเลื่อนอ่านข่าวทางอินเทอร์เน็ตไปด้วย ข่าวของเอกยังคงเป็นกระแสอยู่ แถมทางต้นสังกัดก็ออกมาประกาศแล้วว่าตอนนี้เอกไม่ใช่ดาราในสังกัดของตัวเองแล้ว แถมผู้จัดการก็ออกมาบอกเหมือนกันว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้จัดการของเอก ดูเหมือนว่าตอนนี้เอกจะถูกลอยแพอย่างสมบูรณ์
พอนึกถึงใบหน้าอันบิดเบี้ยวเขาก็รู้สึกสะใจขึ้นมา ป่านนี้เอกคงกรีดร้องลั่นบ้าน เผยนิสัยที่ไม่มีใครเคยเห็น
ผู้ติดตามของเอกทุกช่องทางลดลงอย่างรวดเร็ว แฟนคลับต่างก็คอมเมนต์แสดงความเสียใจ บางคนก็ด่าแบบไม่สนใจ
ระหว่างที่กำลังเลื่อนอ่านข่าวอย่างสนุก เขาก็เลื่อนเจอเพจแฉแหลกที่เขาเคยส่งหลักฐานทุกอย่างไปให้ ข่าวที่ลงในครั้งนี้ไม่ได้เป็นข่าวเกี่ยวกับเอก แต่เป็นเกี่ยวกับตัวไส้เทียนเอง
ไหน ๆ ใครเคยบอกว่าน้องไส้เทียนเกาะดินแดนรวยต้องมาอ่านโพสต์นี้จ้าาา แอดไปได้ข้อมูลเด็ด ๆ มา เด็ดกว่านี้ก็ต้องไปที่ต้นแล้วละ!! หุหุ สำหรับสาว ๆ อย่างเราคงไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทมาเรียจิวเอลรี บริษัทเครื่องประดับยักษ์ใหญ่ รวยไหมถามใจดูจ้าาา
ถูกใจ 200k คอมเมนต์ 2k
ไส้เทียนเลิกคิ้ว ไม่รู้ว่าแอดมินรู้ได้ยังไง แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันทำให้เรื่องราวดำเนินได้ง่ายกว่าเดิม
ไส้เทียนมีชื่อจริงก่อนเปลี่ยนนามสกุลว่า นายอาภาภัทร อธิษฐ์โภคิน
ตั้งแต่ไส้เทียนออกจากบ้านเขาก็เปลี่ยนนามสกุล ในปัจจุบันการเปลี่ยนนามสกุลเป็นเรื่องง่ายมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นนามสกุลที่มีที่มา บางคนยังเปลี่ยนนามสกุลตามคำทำนายของหมอดู ไส้เทียนเองก็เช่นกัน เขาแค่สุ่มเลือกนามสกุลดี ๆ มาสักชื่อแล้วก็จัดการเปลี่ยน
ตอนที่ตัดสินใจเปลี่ยนไส้เทียนเด็ดขาด และถือทิฐิอย่างมาก เขาไม่คิดจะใช้นามสกุลของพ่ออีกเลย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครรู้
ข้อมูลของตระกูลอธิษฐ์โภคินในเว็บจะไม่มีรูปของไส้เทียน หากหาข้อมูลจะเจอเพียงชื่อ ทำให้ไม่มีใครรู้จัก ที่ปรากฏอยู่ก็มีแค่รูปพ่อกับพี่ชายที่เป็นนักธุรกิจเวลาออกงานต่าง ๆ เท่านั้น
พอเขาตัดสินใจมาอยู่บ้าน พี่ชายสุดหล่ออย่างกัปตันก็อาสาพาเขาไปเปลี่ยนนามสกุลกลับ
วงการบันเทิงดับแล้วไม่มีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาได้ใหม่ ยิ่งดับเพราะข่าวฉาวแบบนี้ก็ไม่มีเจ้าของผลิตภัณฑ์คนไหนอยากได้ดาราที่เป็นกระแสด้านลบมาโพรโมตหนัง หรือสินค้าของตัวเอง
อ่านข่าวเช้าจนพอใจแล้วไส้เทียนก็เปลี่ยนไปอ่านข่าวเกี่ยวกับธุรกิจ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าบริษัทของครอบครัวเอกกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต หุ้นกำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังถูกแบนจากเครืออีซี่
ร่างบางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะอ่านข้อมูลอย่างจริงจัง เครืออีซี่เป็นธุรกิจของกองทัพ
แล้วทำไมถึงได้แบน แถมยังถอนหุ้นธุรกิจของครอบครัวเอกด้วยล่ะ?
เขาอาจจะหลงตัวเองก็ได้ที่รู้สึกว่าตอนนี้กองทัพทำเพื่อเขาอยู่ พอคิดได้แบบนั้น จู่ ๆ ภายในหัวก็เกิดความมึนงงราวกับสมองฝั่งดี และฝั่งร้ายกำลังสู้รบกันอยู่
"มันแค่บังเอิญหรือเปล่า"
เสียงหวานเอ่ยด้วยท่าทีไม่มั่นใจ แต่ทำไมมันถึงได้ประจวบเหมาะแบบพอดี บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ข่าวของเอกไม่ได้ถูกลบ คงเป็นเพราะพ่อของเอกกำลังเคร่งเครียดอยู่กับธุรกิจ เลยไม่ได้สนใจเรื่องข่าวฉาวในโลกออนไลน์
เขายอมรับว่าตั้งแต่มาที่นี่ก็อคติกับกองทัพตั้งแต่ครั้งแรกที่ลืมตาเห็น แม้ว่าอีกฝ่ายจะช่วยเขา แต่ความอคติก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจจากเรื่องราวในนิยายที่ได้อ่านมา
ขนาดไส้เทียนยังเปลี่ยนแปลงได้ กองทัพเองก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน บางทีเขาคงต้องลดอคติกับกองทัพ และมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยสายตาปกติเหมือนมองผู้ชายทั่วไป
ไส้เทียนกระตุกยิ้มก่อนจะกดเบอร์ของกองทัพ เบอร์นี้ได้มาตอนเกิดเรื่องแฟนคลับหัวรุนแรง เขาไม่คิดว่าจะได้ใช้มันมาก่อน แต่ดูเหมือนตอนนี้จะได้ใช้แล้ว
รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ
(โทรมาหาเสี่ยแบบนี้ หนูคิดถึงเสี่ยเหรอครับ)
ไส้เทียนเบะปากเมื่อได้ยินคำทักแรก ไม่รู้ว่ากองทัพเป็นโรคอะไรกับคำว่าเสี่ยถึงได้ชอบมันนักชอบมันหนา
"ผมไม่ใช่เด็กคุณ เลิกแทนตัวเองว่าเสี่ยได้แล้วครับ คุณไม่อายเหรอ"ไส้เทียนพ่นลมหายใจออกจากจมูก ก่อนจะพิงกับพนักโซฟา
(หนูโทรมามีอะไรครับ อยากจะบอกว่าเสี่ยก็คิดถึงหนูเหมือนกัน)
คนปลายสายยังไม่ยอมเลิกรา ไส้เทียนถอนหายใจ ก่อนตัดสินใจเมินมัน ถ้ามัวแต่เถียงวันนี้คงไม่ได้คุยกันแบบคนปกติ
"คุณมีเวลาว่างไหมวันเสาร์นี้ ผมอยากจะเลี้ยงข้าวขอบคุณ"
(สำหรับหนู เสี่ยว่างตลอดอยู่แล้ว)
"คุณกองทัพ!"
(โบราณว่าคนด่าแปลว่ารัก หนูกำลังบอกรักเสี่ยสินะ)
สิบเปิดประตูเข้ามาก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าตอนนี้ผู้เป็นนายสีหน้ามีความสุขขนาดไหน อีกทั้งคำพูดคำจาราวกับไม่ใช่เจ้านายที่สุขุมคนเดิม แต่เป็นเสี่ยจอมวิตถารที่ชอบลวนลามเด็กน้อยตามผับ
เจ้านายของเขาเปลี่ยนไปแล้ว...บางทีในชีวิตนี้เขาอาจจะไม่ได้เห็นเจ้านายผู้สุขุมกับทุกเรื่องเหมือนเดิม
ไส้เทียนทําหน้าเหยเกเมื่อได้ยินคำหวานเลี่ยนจากปลายสาย
"ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินคำนั้นเลยล่ะครับ อ๋อ บางทีผมอาจจะเกิดไม่ทัน คุณกองทัพเองก็อายุเยอะแล้ว ไม่แปลกที่จะจำคำสอนโบราณพวกนั้นได้"
คำพูดบาดใจของไส้เทียนทำให้กองทัพถึงกับสำลัก ไม่เคยมีใครบอกว่าเขาแก่มาก่อน ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็วิ่งเข้ามาเสนอตัวแทบจะปีนขึ้นเตียง
(สงสัยหนูไม่เคยได้ยินคำว่ายิ่งแก่ยิ่งเด็ด)
ไส้เทียนเหยียดยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามของปลายสาย
"พอเลยครับ สรุปว่างใช่ไหมครับ"
ถ้ายังคุยต่อนานกว่านี้ มีหวังได้คุยเรื่องใต้สะดือแน่นอน นอกจากแก่แล้วยังหื่นอีก ไม่ดูสังขารของตัวเองเลย!
(แน่นอนครับ เดี๋ยวเสี่ยไปรับถึงบ้านเลย)
"ไม่เป็นไรครับ ยังไงตอน 9:00 น เจอกันที่ห้าง A เดี๋ยวผมไปนั่งรอที่ร้านคาเฟ่ชั้น 3 แล้วเจอกันนะครับ"
(ครับ เสี่ยจะรอถึงวันนั้น)
กองทัพเอ่ย ไส้เทียนรอให้อีกฝ่ายวางสายก่อน แต่ผ่านไปประมาณ 30 วินาทีกองทัพก็ยังคาสายไว้เหมือนเดิม สุดท้ายเขาก็ต้องเป็นคนตัดสายเอง มันเป็นนิสัยส่วนตัวที่เขาไม่ค่อยชอบตัดสายใส่คนอื่น นอกจากพวกไม่ดีอะนะ
หวังว่าเขาจะตัดสินใจถูกที่เลิกอคติใส่กองทัพ