บทที่ 1 จุดเริ่มต้น
บทที่1
จุดเริ่มต้น..
"คุณหนูเป็นอย่างบ้างเจ้าค่ะ?"
"อืมปวดหัวจัง... ใครมาส่งเสียงดังที่นี้กันนะ"
ร่างบางเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย
ปวดหัว... ปวดหัวยิ่งนัก...
สักพักเริ่มมีความทรงจำแปลกประหลาดไหลผ่านเข้ามาในหัวของตนไม่ขาดสาย คุณหนูอวี้จิ้งอีบุตรสาวท่านเสนาบดีอวี้กับฮูหยินเอกสวี่เหมยฟาง สตรีงดงามแต่กลับร้ายกาจที่คอยกันท่าสตรีทุกนางที่เข้าใกล้องค์ไทจื่อคู่หมั้นคู่หมายของตน ความทรงจำไหลบ่าเข้ามาอย่างโถมกระหน่ำทำให้ร่างบางเริ่มรับรู้ความรู้สึกและความเจ็บปวดดั่งดวงใจแตกสลาย
ช่างน่าสงสารและเวทนานัก"
"เดี๋ยวบ่าวไปเรียกท่านหมอนะเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นรีบวิ่งออกจากเรือนอย่างรวดเร็ว ไม่ทันให้ร่างบางเรียกเอาไว้ได้ทัน
มือบางกุมศีระษะเอาไว้กว่าครึ่งก้านธูป
ความเจ็บปวดค่อยๆจางลงแล้วเปลี่ยนเป็นสงบลง
ร่างบางเฝ้าตั้งคำถามเหตุใดกันนางจึงมาอยู่ในร่างนางร้ายตัวละครโปรดอวี้จิงอีผู้งดงามผู้นี้ ความทรงจำสิ้นสุดเจ้าของร่างเดิมได้ยินข่าวลือว่าไทจื่อคู่หมั้นคู่หมายของตนนั้นไปมาหาสู่กับคุณหนูวัยปักปิ่นผู้หนึ่ง สนิทสนมชิดเชื้อพาเข้าเหลาอาหารเปิดห้องส่วนตัวเพื่อรับประทานอาหารกันเพียงสองต่อสอง
ช่างน่าตายยิ่งนัก
เจ้าของร่างเดิมจึงตามไปถึงที่ พบสตรีนางนั้นกำลังคีบอาหารป้อนไทจื่อแนบแน่นออดอ้อนเอาใจเป็นที่สุด
เจ้าของร่างเดิมสติขาดผึ่งตรงเข้าไปอาละวาดฉุดกระชากสตรีที่เข้ามาใกล้คู๋หมั้นคู่หมายของตนแล้วตบตีแบบไม่ยั้ง
ท่ามกลางความตื่นตกใจของแขกในร้านและไทจื่อที่บัดนี้ใบหน้าตึงเครียดเต็มสิบส่วน
ร่างหนาเข้าไปกระชากสตรีที่เข้ามาอาละวาดเหวี่ยงไปชนกับขอบโต๊ะอย่างหุนหัน
ภาพสุดท้ายที่เจ้าของร่างเดิมจำได้คือ ไทจื่อโอบประคองสตรีนางนั้นอย่างทะนุถนอมไม่สนใจคู่หมั้นคู่หมายของตนที่บัดนี้เลือดไหนออกจากศีรษะช้าๆ สตรีใบหน้างดงามภายใต้อ้อมกอดของไทจื่อหันมายิ้มเยาะเย้ย
เขาเลือกข้า... เป็นของของข้า... สตรีเช่นเจ้าฝันไปเถอะ...
แม้ไม่พูดออมาแต่สายตากลับบ่งบอกได้อย่างดี
เจ้าของร่างเดิมทั้งโกรธทั้งแค้นจนเลือดลมปั่นป่วนกระอักเลือดออกมาแล้วสติของเจ้าของร่างก็เดิมดับวูบไป
เรื่องราวทั้งหมดฉายวนภาพซ้ำ และนี่คือจุดเริ่มต้นของนิยายชื่อดังบนเว็ปไซด์ที่นางเคยอ่านแม้ว่ายังอ่านไม่ถึงตอนจบก็ตาม กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อและตามความทรงจำสรุปได้ว่านางเข้ามาอยู่ในนิยายที่นางกำลังอ่านอยู่ นางรู้ล่วงหน้าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างแม้ไม่มากนักจนถึงตอนจบก็ตาม แต่การเป็นตัวร้ายในนิยายจุดจบมักไม่ดีนัก
ไม่ตายถูกประหารเก้าชัวโคตรก็ถูกข่มขืนเป็นสตรีวิปลาสชั่วชีวิตมืดมนไร้ความสุข โทษกบฏประหารทั้งตระกูลมีให้เห็นในนิยายทุกเรื่อง เมื่อรู้เช่นนี้จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตนเองไม่ได้
นางต้องเปลี่ยนแปลง...
"อีอีลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เสียงบุรุษวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานในชุดสีครามเดินเข้ามาอย่างรีบเร่งพลางเอ่ยขึ้นทันที
เสียงบุรุษทำให้อีอีหลุดจากภวังค์ความคิดหันมองทางต้นเสียง
"ท่านพ่อ.. ท่านพ่อลูกเจ็บ... เจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ"ร่างบางตอบแบบไม่คิด โผเข้ากอดบิดาของตนที่เดินเข้ามาใกล้เตียง คงเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่างนี้ที่ทั้งเจ็บปวดและไม่ยินยอม
ใบหน้างามซบอกอุ่นของบิดา
ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยน้ำตาหลังรินด้วยความอัดอั้น
"พ่อรู้!! รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพ่อเองทนไม่ไหวแล้วนะที่เขาทำให้ลูกเสียใจถึงขั้นนี้ พ่อจะถอนหมั้นให้เจ้า" เสนาบดีอวี้ต้าเหลียนเอ่ยอย่างเดือดดาลบุตรสาวคนเดียวของเขา เขาไม่เคยทำให้นางร้องไห้ตั้งแต่มารดานางจากไปตอนนางยังเล็ก
คู่หมั้นงั้นหรือมีสิทธิ์อะไรมาทำให้ลูกของเขาร้องไห้กัน
หมั้นได้ก็ยกเลิกหมั้นได้...
ทรัพย์สินเงินทองตระกูลอวี้มีเลี้ยงบุตรสาวของเขาได้ทั้งชีวิต
" เจ้าค่ะลูกอยากถอนหมั้น..."
ร่างบางเอ่ยขึ้นแม้น้ำตายังไม่หยุดไหลคงเป็นความรู้สึกเจ้าของร่างเดิมที่รักและชื่นชมไทจื่อพระองค์นี้เป็นอย่างมาก
ทั้งรักและหลง...
ว่ากันว่าความรักทำให้คนตาบอด...
และเมื่อนางมาอยู่ในร่างนี้นางจะไม่โง่งมอีก...
"พรุ่งนี้พ่อจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อขอยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างเจ้าและไทจื่อ เจ้าวางใจได้ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลาย"ร่างหนาเอ่ยคำมั่นสัญญาและปลอบประโลมบุตรสาว
เรื่องขอยกเลิกการหมั้นหมายหาได้ง่ายดายเช่นที่พูดไม่...
แต่เพื่อคความสุขของบุตรสาวที่รักยิ่งเขาพร้อมจะแลกทุกสิ่ง...
"ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ"ร่างบางซบอกอุ่นรู้สึกขอบคุณที่บิดาเจ้าของร่างทั้งรักและตามใจเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตางามเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมต่อโชคชะตา...
ต่อไปนี้ข้าคืออวี้จิงอีชีวิตนี้ข้าขอกำหนดเอง...
วังหลวง
ภายในห้องทรงอักษรที่เต็มไปด้วยตำราพิชัยยุทธ์การรบและการปกครองเรียงรายตามชั้นวางสูงท่วมหัว จัดหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบมีโต๊ะสำหรับทรงงานที่บนโต๊ะยังคงเต็มไปด้วยกองฎีกามากมายที่รอการตรวจสอบและวินิจฉัย ร่างหนาของผู้เป็นโอรสสวรรค์ยังคงหลังตรงเปิดอ่านฎีกาม้วนแล้วม้วนเล่า โดยมีขันทีคนสนิทยืนฝนหมึกช้าๆอยู่ด้านข้างอย่างสงบ
" ถวายพระพรฝ่าบาทขอพระองค์ทรงอายุหมื่นปีหมื่นๆๆ ปี"ร่างหนาเสนาบดีอวี้ทำความเคารพฮองเต้อย่างเต็มพิธีการ
"ต้าเหลียนข้าบอกว่าหากอยู่กันสองคนให้เจ้าไม่ต้องมากพิธีไม่ใช่หรือ??"ร่างหนาของโอรสสวรรค์ในชุดสีทองอร่ามปักลวดลายมังกรห้าเล็บงดงามเอ่ยขึ้นพลางวางม้วนฎีกาลง มองเสนาบดีผู้เก่งกาจของเเผ่นดินพ่วงด้วยตำเเหน่งสหายตั้งเเต่วัยเยาว์ด้วยใบหน้ายิ้มเเย้ม
ช่างขัดกับบรรยากาศอึมครึ้มของเสนาบดีอวี้ยิ่งนัก
" วันนี้กระหม่อมมาขอราชโองการถอนหมั้นให้แก่บุตรสาวของกระหม่อม ไม่ได้มาในฐานะสหายกระหม่อมมาในฐานะเสนาบดีพะยะค่ะ "เสนาบดีอวี้เอ่ยขึ้นพลางถอดหมวกขุนนางขั้นหนึ่งที่ทั้งรักและภาคภูมิใจไว้ตรงหน้าตนเสร็จสรรพ
เขายินดีที่จะแลกเพื่อความสุขของบุตรสาวชั่วชีวิต...
"เดี๋ยวๆๆ ต้าเหลียนเจ้าจะทำอะไร เหตุใดจึงถอดหมวกขุนนางของเจ้าเช่นนี้เล่า อธิบายเราฟังก่อน"
ใบหน้าหล่อเหลาของโอรสสวรรค์เริ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ตลอดสหายผู้นี้เป็นคนมีเหตุผลเสมอไม่มุทะลุดุดันเช่นนี้
"กระหม่อมยินดีลาออกจากตำเเหน่งเสนาบดีเเลกกับราชโองการถอนหมั้นเเก่บุตรสาวของกระหม่อมกับองค์ไทจื่อพะยะค่ะ"เสนาบดีอวี้เอ่ยขึ้นถึงสิ่งที่ร้องขออย่างตรงไปตรงมา
และรู้ตนเองดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
การที่บุตรสาวของเขาได้หมั้นกับองค์ชายใหญ่ที่ในปัจจุบันคือองค์ไทจื่อหยงเล่อเพราะความเขาเอาความดีความชอบช่วยน้ำท่วมเมื่อ4ปีที่เเล้วเข้าเเลก
สองปีต่อมาเขาสนับสนุนจนองค์ชายใหญ่ได้ขึ้นเป็นองค์ไทจื่อ...
หากการถอนหมั้นเกิดขึ้นคลื่นลมทางการเมืองคงปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง
และคงเป็นที่ครหาไม่น้อย...
ทางด้านฉินกงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาท พอรับรู้ข่าวลือบางส่วนของเมื่อวานมาบ้างแล้วเพียงแต่ไม่นึกว่าเรื่องราวจะใหญ่โตถึงเพียงนี้
รีบเอ่ยเล่าให้ผู้เป็นนายเหนือหัวฟังทันที ตั้งแต่ต้นจนจบใบหน้าของผู้ปกครองแคว้นสีหน้ามืดครึ้มถึง8ส่วน
"เราเพิ่งได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างบุตรชายของข้าเเละบุตรสาวของเจ้าเเล้วต้าเหลียนเจิ้นขอเวลาเพียง7วัน เจิ้นจะส่งเทียบเชิญหลานจิ้งอีมาสอบถามหากหลานจิ้งอียังยืนยันยกเลิกถอนหมั้นเราจะเขียนราชโองการให้ดีหรือไม่"โอรสสวรรค์เอ่ยอย่างประนีประนอม
แม้ว่าภายในใจโทสะจะสูงเสียดฟ้าก็ตาม
เจ้าใหญ่เจ้าก่อเรื่องจริงๆหรือ...
"กระหม่อมยืนยันคำเดิมยินดีเเลกตำเเหน่งเสนาบดีกับราชโองการยกเลิกหมั้นหมายภายในวันนี้พะยะค่ะ"เสนาบดีอวี้คุกเข่าลง ไม่ยอมลุกไปไหนสีหน้าจริงจังเต็มสิบส่วน
เป็นบรรกาศกดดันที่คุกกรุ่นยิ่งนัก...
เหล่านางกำนัลขันทีโดยรอบต่างหลั่งเหงื่อเย็นมิกล้าหายใจแรง
"เราขอเพียง7วันต้าเหลียนอีกไม่ถึงเดือนหลานจิ้งอีจะปักปิ่นแล้ว เด็กๆ หมั้นหมายกันมาถึง4ปีคงมีความผูกพันธ์ไม่น้อย ข้าว่าให้ลองปรับความเข้าใจกันดีหรือไม่ หากหลานจิ้งอียังยืนจะถอนหมั้นให้ได้ข้ายินดีจะเขียนราชโองการเลือกคู่ครองได้เองโดยไม่มีผู้ใดสามารถบังคับได้ดีหรือไม่ ส่วนหมวกขุนนางขั้นหนึ่งเก็บไปได้เเล้ว เจ้าต้องอยู่ทำงานให้เจิ้นอีกนานอย่าทำเช่นนี้อีก"
สิ้นเสียงโอรสสวรรค์ ร่างหนาของเสนาบดีอวี้หยิบหมวกขุนนางขั้นหนึ่งใส่ศีรษะของตนเอง
แม้ว่าจะไม่บรรลุเป้าหมายที่คาดหวังว่าจะได้พระราชโองการยกเลิกการหมั้นหมาย และต้องรออีกเจ็ดวัน
เขาและบุตรสาวย่อมรอได้...
" ขอบพระทัยพะยะค่ะกระหม่อมทูลลา"เสนาบดีอวี้ได้คำตอบที่พอใจเเล้วจึงเอ่ยทูลลาเเล้วเดินจากไป
" เฮ้อ... ไทจื่อคงทำเรื่องไปไม่น้อย ฉินกงกงเจ้าให้คนไปสืบเรื่องไทจื่ออย่างละเอียด เจิ้นต้องการทุกเรื่องภายในวันพรุ่งนี้ เเล้วก็คืนนี้เจิ้นนอนที่นี่หากใครไม่ตายอย่าให้รบกวนเจิ้น "เสียงโอรสสวรรค์ตรัสอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก และก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัด
" พะยะค่ะ"
'ลูกไม่รักดี พ่อเจ้ายื้อเวลาได้เพียง7วันเท่านั้น เหตุใดลูกข้าถึงได้โง่งมเช่นนี้'
ร่างหนานึกในใจเเล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนักใหญ่...