ที่บ้านหลังเล็กท้ายหาดแห่งหนึ่งในพัทยา บ้านที่มีขนาดเล็กจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีชีวิตสองชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่ได้ สภาพของบ้านมีลักษณะเป็นเพิงหมาแหงนเก่าๆ สร้างขึ้นโดยใช้ต้นไม้ขนาดเท่าขายึดเป็นเสาจำนวน 9 ต้น แปะมุงด้วยสังกะสีเก่าๆ จากโรงสีที่บริจาคให้กับ ‘ยายบุญมี’ ด้วยความสงสาร ยายบุญมีอาศัยอยู่กับหลานสาววัย 20 ปี ที่ลูกสาวนำมาทิ้งไว้ให้เลี้ยงตั้งแต่แบเบาะผ่านมา 20 ปีแล้วก็หายหน้าหายตาไป ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย ยายบุญมีตั้งชื่อให้หลานสาวว่า ‘ทานตะวัน’ เพราะแกชอบดอกทานตะวันเป็นการส่วนตัว นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ทานตะวันโตเป็นสาวสวยสะพรั่ง แต่ยายบุญมีนั้นกลับแก่ชราลงทุกวัน โรคก็รุมเร้าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ลำพังตัวเองจะตายไปก็ไม่เสียดายหรอกชีวิต แต่ทานตะวันสิ จะอยู่อยู๋อย่างไรโตเป็นสาวแล้ว อันตรายรอบตัวมันมากมายไปหมด ยิ่งต้องไปทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวัน หาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไหนจะค่าหยูกยาของยาย คิดแล้วก็น้อยใจตัวเองที่มีปัญญาส่งหลานเรียนได้แค่ ม.3 หากตะวันได้เรียนสูงกว่านี้สักหน่อย ก็คงไม่ต้องมาทนลำบากหาเงินเลี้ยงคนแก่ใกล้ตายอยู่อย่างนี้
“ยายหนูเป็นยังไงบ้างคะหมอ” เสียงใสๆ เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล คืนก่อนยายบุญมีล้มหัวฟาดกับพื้น ขณะที่ทานตะวันไปทำงานช่วงกลางคืน กลับมาถึงก็เห็นนอนนิ่งอยู่บนพื้นแล้ว แต่เธอก็ไม่รอช้ารีบขอให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงพายายมาส่งที่โรงพยาบาลทันทีหลังจากที่พบเห็น
“อาการน่าเป็นห่วงครับ ถ้าไม่รีบผ่าตัดด่วน หมอคงต้องพูดกันตามตรงว่า...ไม่รอด” เหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก คนสำคัญในชีวิตเพียงคนเดียวของสาวน้อยทานตะวันก็คือยาย ยายเป็นทุกอย่าง เป็นทั้งพ่อ ทั้งแม่ ถ้าไม่มียายก็ไม่มีใครอีกแล้วแม้ตอนเรียนจะล้ออยู่เสมอว่าใส่เสื้อผ้าที่เก็บมาจากกองขยะ แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่ยายมอบให้กับเธอ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ยายจะหามาให้ได้ ยายไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เลย แต่ทุกวันปีใหม่ยายจะแอบเอาเงินที่ขายของเก่าได้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับทานตะวันทุกปี ยายมักจะกินข้าวแค่นิดหน่อย เพราะกลัวหลานจะกินไม่อิ่ม หากวันไหนหาเก็บของเก่าไม่ได้ บางครั้งยายบุญมีก็ไปขโมยของในตลาดมาทำกับข้าวให้หลานกิน จนตัวเองต้องถูกแม่ค้าขว้างปาข้าวของใส่ราวกับหมูกับหมา แต่เพราะคนส่วนใหญ่มองว่าแกสติไม่ดี เลยไม่ได้ถือสาอะไร หรือบางครั้งเห็นไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวนั้น ก็อาจจะเจอแม่ค้าใจดีจัดการมอบของให้บ้างเล็กๆ น้อยๆ พอได้เอามาแบ่งกันกินกับหลาน
“ใช้เงินเยอะไหมคะหมอ”
“น่าจะไม่ต่ำกว่าแสนนะครับ”
“แสนหนึ่ง....เลยเหรอคะ” แสนหนึ่งทานตะวันเอ๊ย เงินตั้งแสนเธอจะไปหาจากไหนได้ ลำพังทุกวันนี้ล้างจานจนมือเปื่อย ก็ยังได้แค่วันละสามร้อยบาทเท่านั้น เด็กสาวได้แต่รำพันในใจ เพราะไม่มีความรู้อะไรทานตะวันจึงได้แต่คิดว่าตัวเองต้องหาเงินแสนมารักษายายให้ได้โดยไม่ได้หาหนทางอื่นๆ ที่จะมาช่วยลดหย่อนค่ารักษาในครั้งนี้
หลังจากไปดูยายในห้องแล้ว ทานตะวันก็ออกมาทำงานในร้านที่เธอทำงานอยู่ประจำ ทานตะวันทำงานอยู่หลังร้านตลอดเวลา จนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองไปเสียแล้ว เธอเดินเข้าออกทุกวันจนเคยชิน แต่วันนี้มันไม่เหมือนทุกวัน ในหัวนั้นคิดอยู่แต่เรื่องยาย กับเงินหนึ่งแสน ที่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะหามาจากไหนได้
เพล้งงง!! เสียงจานกระเบื้องหล่นกระทบพื้นดังสนั่น เศษจานแตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
“เฮ้ยตะวันระวังหน่อย เจ๊มาเห็นเข้าได้หักไม่เหลือกินเลยนะเว้ย” เสียงของ ‘ฟ้า’ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของทานตะวันกระซิบกระซาบเตือน ทานตะวันรีบก้มลงเก็บเศษจาน แต่เหมือนว่าจะช้าไป
“นังตะวัน นังฟ้า ฉันได้ยินเสียงจานแตก!!” ร่างบางของ ‘ซ้อหลิว’ ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู แม่หม้ายสาวสองพัน ปีเจ้าของร้านหน้าเลือด ที่เค็มยิ่งกว่าเกลือทั้งทะเล รีบวิ่งมาดูทันทีจริงๆ เธอก็รอหักเงินลูกจ้างอยู่แล้ว ยิ่งลูกจ้างอย่างทานตะวันกับฟ้าที่มักจะถูกหักยิบหักย่อยอยู่เสมอ ยิ่งถือเป็นงานถนัดของเจ๊หลิว ถ้ามีที่อื่นไปสองสาวคงไม่ทนอยู่ที่นี่เป็นแน่ ซ้อหลิวเปิดร้านอาหารขึ้นมาบังหน้าอีกธุรกิจที่ทำเงินได้ดีกว่านั่นคือธุรกิจขายบริการ ที่ชั้นใต้ดินถูกเปิดเป็นซ่องค้ากามให้กับเหล่ามาเฟียใหญ่ๆ และพวกคนมีอิทธิพล ด้วยความหน้าเงินซ้อหลิว ทำให้เธอค่อนข้างที่จะเลือกลูกค้า ไม่ใช่จะปล่อยให้ใครเข้ามาได้มั่วซั่ว เพราะไหนจะไม่คุ้มค่าแรงเด็กๆ ไหนจะเสี่ยงกับตำรวจอีก ปล่อยให้รายใหญ่เชื่อถือได้ แถมรายได้ดีดูจะดีกว่า เพราะเธอเชื่อเสมอว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากมันเสียง่าย
“อ๋อ!! นังตะวัน แกใช่ไหมหา!! มานี่เลยมานี่ หลักฐานคามือเลยหนอย…”
“เจ๊หนูเจ็บ โอ๊ยยย” ซ้อหลิวตรงเข้าไปกระชากผมที่รวบมัดไว้เป็นหางม้าสีดำขลับ ยาวสลวยของทานตะวันแล้วออกแรงกระชากลากเธอให้เดินตามไปที่ห้องบัญชี
“แกแหกตาดูนะ สองวันนี้แกทำจานที่ร้านของฉันแตกไปกี่ใบแล้วหา!! ฉันจะไล่แกออกดีไหม? เอานังฟ้าไว้คนเดียวจะได้ไม่เปลืองเงินฉันด้วย เซ่อซ่าดีนัก!!” ซ้อหลิวกางบัญชีแล้วชี้ให้ทานตะวันดู ร่างบางล้มตัวลงคุกเข่าพนมมือกราบกรานอ้อนวอนขอความเมตตา เนื้อตัวสั่นพร่าด้วยความกลัว
“เจ๊ขา...ฮึกตะวันกำลังลำบาก ยายตะวันกำลังป่วย ตะวันจะหาเงินไปรักษายาย”
“ยายมีน่ะเหรอ แกก็แก่แล้วตายๆ ไปก็สิ้นเรื่อง แกจะได้สบายด้วยไงนังตะวัน ไม่ต้องมาทำงานหาค่ายาแบบนี้” พอได้ยินอย่างนั้นดวงตากลมโต ก็เอ่อนองไปด้วยน้ำตา ‘ถ้ายายตายไปตะวันจะอยู่ยังไง ทำไมเจ๊ต้องมาแช่งยายแบบนี้ด้วย’ เธอมองคนพูดพลางคิดในใจ
“เจ๊ขา....ถ้าหนูขอยืมเงินเจ๊สักแสนหนึ่งได้ไหมคะ” ทานตะวันใช้โอกาสนี้เงยหน้าขึ้น ขอความเมตตาจากหญิงหม้ายวัยกลางคนที่ยังคงสวยฉ่ำ ทันทีที่เธอได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นอ้อนวอน สายตาคู่คมก็หันมากวาดมองร่างของเด็กสาวตรงหน้าอย่างพิจารณา ก่อนจะหัวเราะลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า แสนหนึ่ง” ร่างระหงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วสาวเท้าตรงไปหาเด็กสาวที่นั่งพนมมืออ้อนวอนอยู่ที่พื้น จากนั้นก็ก้มมองหน้าทานตะวันใกล้ๆ ก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มลงบนหน้าผากมน แล้วออกแรงผลักจนคนโดนกระทำเซถลา
“ถุย นังตะวันแกจะยืมเงินฉันแสนหนึ่ง แล้วแกทำงานล้างจานได้วันละสามร้อย แถมยังโดนหักทุกวันแบบนี้ ชาติหน้ากี่ชาติกว่าแกจะคืนฉันหมดหา!!” มีหรือที่ซ้อหลิวหน้าเงินจะให้ อะไรที่ทำแล้วไม่มีผลประโยชน์ คนอย่างซ้อหลิวไม่ทำทั้งนั้น
“ตะวันขอร้องนะคะเจ๊ ตะวันไม่มีทางอื่นแล้ว”
“ฉันจะได้อะไรจากแกล่ะนังตะวัน แกทำงานแกก็เก็บเงินไปสิเก็บเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ครบเองนั่นแหละ” ร่างบางในชุดกี่เพ้าสีแดงเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้เด็กสาวนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นแบบนั้นโดยที่ไม่แม้แต่จะชายตามอง
“แม่เสี่ยกวงให้เอามาให้” เล้ง ลูกชายคนเดียวของซ้อหลิวยืนซองสีน้ำตาลให้ผู้เป็นแม่ ก่อนหันมองเสียงสะอื้นที่ห่างออกมาเพียงไม่กี่ก้าว
“ตะวันจ๋าของพี่เล้งเป็นอะไรจ๊ะ ใครทำอะไร” เล้งทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างเล็กที่กำลังฟูมฟาย มือก็ฉวยโอกาสเอื้อมไปโอบไหล่บาง
“มันทำตัวเองสองวันจานแตกห้าใบ แม่จะไล่มันออกแล้ว” ซ้อหลิวพูดพร้อมกับกางกระดาษออกอ่าน
“โธ่!! แม่น้องตะวันจ๋าเขาอยู่กับยายแค่สองคน ยายมีก็แก่ใกล้ตายแล้ว จะไล่น้องออกทำไม น้องจะเอาอะไรกิน” พอได้ยินแบบนั้นตะวันก็สะบัดแขนเล้งออกไปอย่างทันทีด้วยความโกรธ สายตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
“เอ่อพี่ขอโทษนะจ๊ะตะวัน” เล้งพอได้สติรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปก็รีบขอโทษขอโพยใหญ่ แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ยอมให้อภัยเขาแน่
“นังตะวัน ฉันมีทางออกให้แกแล้ว แกจะเอาแสนหนึ่งใช่ไหม?”
ซ้อหลิวละสายตาจากกระดาษในมือหันไปมองเด็กสาว
“อะไรเหรอคะ” ทานตะวันมองด้วยสายตาที่แสนไร้เดียงสา ความหวังสุดท้ายมาถึงแล้ว เธอสุดแสนดีมจที่มีหนทางจะหาเงินไปรักษายายแล้ว
“อาทิตย์หน้าเสี่ยกวงจะจัดล่องเรือสำราญ เขาต้องการสาวบริสุทธิ์ไปขึ้นประมูลขายบนเรือ ถ้าแกตกลง ฉันจะออกค่ารักษายายแกทั้งหมดให้” ข้อเสนอพาให้สาวน้อยชาไปทั้งตัว ‘ขายตัวเหรอ’ อาชีพที่ยายพร่ำสอนมาโดยตลอดว่าอย่าทำ อาชีพที่ยายขอมาทั้งชีวิตต่อให้จนปัญญาแค่ไหนก็ห้ามทำเด็ดขาด คำสัญญาที่เคยให้ยายไว้ผุดขึ้นมาในหัวของเด็กสาว ทานตะวันนิ่งเงียบอยู่นาน จนคนรอคำตอบเริ่มจะหงุดหงิด
“นังตะวัน แกคิดเอาก็แล้วกัน ยายแกกำลังจะตาย แค่ขายตัวแกไม่ตายหรอก ขายแค่บนเรือครั้งเดียว ล่องเรือก็แค่สามวัน ถ้าคนที่มันได้แกไปมันเบื่อ มันก็โยนแกทิ้งเองนั่นแหละ คงไม่เอาทั้งวันทั้งคืนหรอกน่า!!” เพราะซ้อหลิวเองก็ไม่มีตัวเลือกอื่นเหมือนกัน เสี่ยกวงไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ทำให้เธอไปหาสาวบริสุทธิไม่ทัน มีทานตะวันมาเป็นตัวเลือกแบบนี้ แถมยังเป็นคนโง่ ๆ ไม่ประสาอะไร กดค่าแรงก็ง่าย เงินที่เธอจะใช้ก็แค่เศษเสี้ยวที่เคยได้เท่านั้น
“แม่ถ้าแม่เอาน้องตะวันจ๋าไปประมูลเล้งจะไปด้วย”
“หุบปากไปเลยไอ้เล้ง ฉันจะเอาเงินฉันไปประมูลเด็กตัวเองมาทำอะไร มีงานอะไรก็ไปทำซะเดี๋ยวฉันขว้างด้วยแก้วนี่” ซ้อหลิวยกแก้วขึ้นขู่ลูกชาย จนเล้งวิ่งเตลิดหนีออกไป
“เอาไงนังตะวัน อย่าคิดนานเวลาฉันเป็นเงินเป็นทอง”
“ตกลงค่ะ” ตะวันตอบออกไปอย่างไม่คิด เพื่อยื้อชีวิตยายแล้วนั้นเธอพร้อมจะยอมแลกทุกอย่าง
“ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แกต้องเก็บตัวอยู่ที่บ้านฉัน รอเวลาขึ้นเรือ”
“แล้วตะวันไปเยี่ยมยายได้หรือเปล่าจ้ะ”
“ได้ เดี๋ยวฉันให้ไอ้เล้งมันพาไป” ซ้อหลิวเชื่อเสมอว่าหากสินค้ามีคุณภาพกำไรย่อมงาม เพราะอย่างจึงจำเป็นที่จะต้องจับทานตะวันขัดให้เงา ก่อนจะเอาขึ้นไปล่าราคางามๆ เด็กสาววัย 20 คงจะรีดเงินจากไอ้พวกแก่ตัณหากลับได้ดีทีเดียว
-วันลงเรือ-
“ตะวัน...นี่แกคิดดีแล้วใช่ไหม?” ที่ท่าเรือขนาดใหญ่มีผู้คนมากมายมายืนรอขึ้นเรือเพื่อไปปาร์ตี้สุดมันจนต้องลืมโลกบนฝั่ง ท่ามกลางผู้คนมากมายเด็กสาวสองคนยืนคุยกันด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
“ตะวันคิดดีแล้ว มันไม่มีทางอื่นแล้วฟ้า ยังไงตะวันฝากดูยายของตะวันด้วยนะ” ฟ้าตามมาส่งเพื่อนสนิทด้วยความเป็นห่วง ใจจริงไม่อยากให้ต้องทำอะไรแบบนี้เลย แต่ก็เข้าใจว่ามันคือทางสุดท้ายแล้วจริงๆ
“ตะวันไม่มีทางอื่นแล้วฟ้า มันไม่มีทางอื่นแล้ว” สาวน้อยพูดด้วยความน้อยใจน้อยใจตัวเอง เด็กสาวที่ตัวสูงกว่าดึงคนตัวเล็กเข้าไปก่อนน้ำตาก็พลันหลั่งไหลด้วยความสงสาร ถ้าเธอร่ำรวยกว่านี้สักนิดเพื่อนก็คงไม่ต้องลำบากแบบนี้
“พวกแกจะล่ำลากันอีกนานไหมหา! นี่นังฟ้าฉันจะพานังตะวันไปหาเงิน ไม่ได้เอามันไปฆ่า อีกสามวันวันฉันก็กลับแล้ว แกอย่าโอเวอร์จะได้ไหม” สาวใหญ่หันไปโวย เพราะทนรอให้เพื่อนล่ำลากันไม่ไหว เจ้าแม่ในวงการอย่างซ้อหลิวได้ห้อง VIP เพราะเป็นคนสนิทของเสี่ยกวง ทานตะวันเองก็ต้องพักห้องเดียวกับซ้อหลิวไปก่อน หลังจากถูกประมูลแล้วถึงจะไปนอนห้องเดียวกับแขก
“เตียงเล็กจังเลยค่ะเจ๊” ทันทีที่เข้าไปในห้องตะวันก็เดินสำรวจภายในห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แกไม่ต้องบ่นหรอก ฉันนอนคนเดียว” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม ก่อนจะหันไปมองที่โซฟา
“อ๋อตะวันต้องนอนที่โซฟาใช่ไหมจ๊ะ” สาวใหญ่ถอนหายใจด้วยความรำคาญ แล้วละมือจากการรื้อข้าวของ หันไปโวยกับสินค้าที่นำขึ้นเรือมาของเธอ
“คืนนี้แกก็ต้องขึ้นประมูลแล้ว แกก็ไปนอนกับแขกสิ มานอนกับฉันทำไม นังโง่!!” ซ้อหลิวตวาดเสียงดังลั่น พอได้ยินแบบนั้นตะวันก็ใจสั่นด้วยความกลัว ‘นี่เรากำลังทำอะไร ที่ทำแบบนี้มันถูกแล้วจริงๆ หรือ’ เธอถามตัวเองอีกครั้ง แต่พอนึกถึงภาพยายที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลความกลัวมันก็หายไปจากหัวทันที
“ตอนนี้แกนอนพักไปก่อน พอจะแต่งตัวฉันจะไปปลุกแกเอง หน้าตามันจะได้สดใส ไม่ใช่ซีดเหมือนไก่ต้มแบบนี้” สิ้นคำสั่งทานตะวันก็ทำตามอย่างว่าง่าย แม้ในสมองจะตีกันยุ่งอยู่กับเรื่องขายหรือไม่ขาย ถูกหรือไม่ถูกก็ตาม