ห่างหาย ตอนที่ 3

946 Words
ชาวบ้านทุกคนแม้แต่อูซาที่อยู่กับเธอทุกวันไม่เคยปริปากพูดเรื่องใดๆ ของแดนให้เธอรู้ พวกเขาทำตามคำสั่งของชายหนุ่มคือคอยจับตาดูเธอไม่ให้ออกนอกพื้นที่หมู่บ้านเท่านั้น                                            “กลุ่มว้าเคยอยากได้หมู่บ้านของเราเป็นทางผ่านขนยาเสพติดเข้าในไทย พวกนี้ต้องเปลี่ยนเส้นทางบ่อยเพื่อหลบให้พ้นสายตาจากทหารและตำรวจชายแดนของไทย ถ้าไม่ได้แดน...ชาวบ้านที่นี่อาจถูกฆ่าตายหมดไปแล้วอย่างเงียบๆ แล้วพวกมันก็ยึดพื้นที่ไปใช้หาผลประโยชน์ใส่ตัว ฉันอยากช่วยคุณนะมาเรียม แต่ขอเป็นวิธีที่ฉันจะไม่ต้องทรยศต่อแดนเถอะ” “แล้วฉันผิดอะไร ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงทำกับฉันแบบนี้ เขาไม่เคยพูด ไม่เคยบอกอะไรทั้งนั้น นึกอยากจะทำอะไรก็ทำเหมือนฉันไม่ใช่คน ไม่มีชีวิต...” เมื่อความหวังอันเลือนรางตรงหน้าเป็นเหมือนหมอกควันที่ถูกลมพัดหายไปในชั่วพริบตาเดียวทำให้เธอไม่เหลือหนทางใดอีกเลย “อันที่จริง...ฉันต่างหากที่แดนควรเกลียดแค้น” “หมายความว่ายังไง...คุณหมอ”มาเรียมเอนหลังพิงต้นไม่ด้วยความอ่อนล้า เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรในเมื่อมันไม่มีความหมายอีกแล้ว อยู่เพื่อรอคอยความเจ็บปวดเมื่อเขากลับมาแล้วหยิบยื่นให้โดยไม่อาจต่อรองอย่างนั้นเหรอ... “เรื่องนี้ฉันตอบคุณไม่ได้หรอกค่ะ แค่อยากให้คุณรู้ว่าทุกอย่างมีทางออก เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาเท่านั้นเอง ปกติคุณอยู่ที่ไทยหรืออยู่เมืองนอก หน้าตาคุณบ่งบอกมากเลยนะว่าเป็นลูกครึ่ง” พอวาหันเหประเด็นในการพูดคุยไปเรื่องอื่น เพราะไม่อยากตอกย้ำความรู้สึกหดหู่ของมาเรียมมากนัก “ค่ะ...พ่อฉันเป็นชาวออสเตรเลีย ฉันเกิดและโตที่โน่น มาไทยเป็นบางครั้งเพราะพี่ชายฉันมีธุรกิจอยู่ที่ไทย พ่อแม่ของพวกเราเสียหมดแล้ว ฉันเลยย้ายมาอยู่ถาวร ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการมาครั้งนี้จะทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว” เธอยกเท้าขึ้นวางบนแคร่ ชันเข่ากอดไว้กับตัวพร้อมซบใบหน้าหลับตาลงอย่างคนสิ้นหวัง พอวารู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็น เพราะเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันดีว่าเป็นอย่างไร เมื่อถูกเพศที่เข้มแข็งกว่าซึ่งควรทำหน้าที่ปกป้องมารังแกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังถูกพรากมาจากครอบครัว ต้องใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นอาศัยไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักใคร พึ่งพาใครก็ไม่ได้... “ถ้าคุณเหงา ไม่มีอะไรทำก็มาช่วยฉันก็ได้นะคะ ที่นี่มีคนเจ็บคนป่วยแทบทุกวัน โดยเฉพาะคนแก่กับเด็ก” “ได้เหรอ...” มาเรียมเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเล็กน้อย “ได้ค่ะ แต่ถ้าไปหมู่บ้านอื่นคงไม่ได้ แดนเขาสั่งไว้ห้ามคุณออกนอกพื้นที่” “คำก็แดน สองคำก็แดน เฮ้อ...ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่กลับมาอีก” มาเรียมบ่นพึมพำเหลือบมามองบนฟ้าด้วยความระอาใจ เธอจะต้องติดอยู่ที่ดอยแห่งนี้อีกนานแค่ไหนกัน แล้วหากแดนสรวงกลับมา ไม่รู้เขาจะพาเธอไปไว้ในป่าดงดิบเหมือนเดิมหรือเปล่า “อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ มาเถอะฉันจะพาไปที่บ้านของฉัน มีหลายอย่างให้คุณทำแก้เบื่อ จะได้ไม่ต้องคิดมากนะคะ” “ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ...อย่างน้อยๆ ทุกคนที่นี่ก็ดีกับฉันมาก ยกเว้น...” “บอกให้เรียกพาวาไงคะ ไม่ต้องคิดมาก ทำใจให้สบายค่ะ ทุกอย่างต้องมีทางออก” “ค่ะ...พอวา” สองสาวพูดคุยกันถูกคอ มาเรียมเองก็รู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้นเมื่อได้เพื่อนใหม่ที่พอจะเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้เธอได้มากกว่าใครในหมู่บ้านนี้คอยปลอบโยน วันนั้นเธอกับอูซาจึงขลุกอยู่กับพอวาทั้งวัน คอยช่วยเหลือคุณหมอสาวออกตรวจคนป่วย เป็นลูกมือทำขนมแจกให้กับเด็กๆ เวลาที่เคยเชื่องช้าในทุกๆ วันจึงเปลี่ยนไป เธอสนุกกับการใช้ชีวิตในดินแดนแห่งเมืองหนาวนี้มากขึ้น เมื่อมีเพื่อน มีกิจกรรมให้ทำตลอดหญิงสาวจึงไม่ได้สนใจเวลาที่ล่วงเลยผ่านพ้นในแต่ละวัน เธอมีหน้าที่ใหม่คือเป็นครูสอนหนังสือขั้นพื้นฐานให้กับเด็กๆ เพราะที่นี่ไม่มีโรงเรียน มีแต่เพิงยกสูงโล่งๆ ไว้สำหรับทุกคนที่สนใจแวะเวียนมาศึกษา มีหนังสือให้อ่าน มีอุปกรณ์อยู่พอประมาณ แต่ไม่มีครู ชาวบ้านที่รู้หนังสือบางคนซึ่งก็แค่อ่านออกเขียนได้บ้างคอยหัดอ่านหัดเขียนกันเอง อูซาเล่าให้ฟังว่าเพิงที่เรียกว่าศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้แดนสรวงเป็นริเริ่มก่อสร้าง รวมถึงอุปกรณ์การเขียนการอ่านทุกอย่างก็ได้เขาเป็นคนเสาะหามาไว้ หากมีเวลาว่างชายหนุ่มก็จะมาสอนหนังสือให้กับเด็กๆ สอนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตัวอูซาเอง ก็ได้เขานี่แหละสอนจนเขียนได้อ่านออก นับเป็นเรื่องที่มาเรียมไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าอีกมุมหนึ่งของจอมโจรใจทราม เขาก็เป็นพ่อพระอย่างที่ใครๆ นับถือจริงๆ แต่สำหรับเธอแล้ว...คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD