นริสปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่สายตาคมกริบยังคงจ้องหน้าแขกสาวไม่วางตา เกวลินก้มหน้าหลบตา หัวใจเต้นรัวกระหน่ำรุนแรงราวกับจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอก มือเย็นเฉียบ ร่างกายสะบัดร้อนสะบัดหนาว ราวกับคนกำลังจับไข้
โลกกลมจนน่าใจหาย
“เฮีย...มีไรหรือเปล่า” เตวิชญ์เอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็น นริสดูเคร่งเครียด และยังจ้องหน้าคู่หมั้นเขา ราวกับกำลังสแกนหาวัตถุต้องสงสัย
“เปล่า”
“เล่นเอาซะตกใจหมด แล้วนี่จ้องหน้าเจ้าสาวผม แบบนี้หมายความว่าไง”
“แกแน่ใจแล้วเหรอ ว่าจะแต่งงาน” สายตายังไม่ ละไปจากหญิงสาว แต่ปากก็เอ่ยถามน้องชาย น้ำเสียงเคร่งเครียด
“ถามไรแบบนั้นเฮีย ผมก็ต้องแน่ใจสิ”
“ฉันไม่ให้แกแต่งกับผู้หญิงคนนี้!!” น้ำเสียงหนักแน่นจริงจังของนริส ทำเอาน้องชายชะงัก
“เมื่อกี้เฮียว่าไงนะ?”
“เลิกคิดเรื่องจะแต่งงานไปได้เลย”
“ทำไม?”
“ฉันบอกว่าไม่ให้แกแต่ง ก็คือไม่แต่ง!”
“ขอเหตุผล” เตวิชญ์ขยับตัวลงนั่งข้างว่าที่เจ้าสาว ก่อนจะหันไปสนใจพี่ชาย เริ่มไม่แน่ใจว่านริสพูดจริง หรือแค่ล้อเล่น
“อะไรกันเจ้าฤทธิ์ ป๊าให้เจ้าวิชญ์แต่ง ไม่ใช่แก”
คำพูดของนริส ทำให้บรรยากาศชื่นมื่นบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่หายวับไปกับตา จู่ๆ ลูกชายคนโตที่ไม่คิดจะสนใจเรื่องงานแต่ง กลับลุกขึ้นมาคัดค้านเสียงแข็ง ไม่ใช่งานแต่งมัน แต่เป็นของน้องชาย ได้ยินแล้วสาครแทบจะกุมขมับ
“นั่นแหละ ผมว่าป๊าคิดใหม่ดีกว่า ยังไงผมก็ไม่ยอมให้ไอ้วิชญ์มันแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด!” สายตาเยือกเย็นจ้องหน้าหญิงสาวนิ่ง ทำเอาเกวลินอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก หวาดหวั่นกลัวเขาจะพูดเรื่องคืนนั้น
“พ่อคะ...เอ่อ...เกลว่าถ้าทางคุณนริสไม่เห็นด้วย เราก็ยกเลิกเรื่องแต่งงานไปก่อนดีมั้ยคะ” เกวลินถือโอกาสที่
ชายหนุ่มคัดค้าน รีบเออออเพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานตามความต้องการของผู้ใหญ่
“ยัยเกล!! ผู้ใหญ่เค้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แกจะมายกเลิกเหมือนเด็กเล่นขายของได้ยังไง” กาญจนาไม่ยอม ยังไงก็ต้องมีงานแต่งงาน
“แต่คุณแม่คะ...”
“ไม่ต้องหรอกหนูเกล เจ้าฤทธิ์ไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะลุงจะให้แต่งกับเจ้าวิชญ์ ไม่ใช่มัน”
“ป๊าทบทวนเรื่องนี้ใหม่ดีกว่า”
เขาไม่มีทางยินยอมให้สองคนนี้แต่งงานกันเด็ดขาด ในเมื่อเธอกับเขาต่างรู้ดีว่าเพราะอะไร แล้วยังจะให้พี่น้องมีเมียคนเดียวกันอีก ใครมันจะยอมรับได้ การแต่งงานครั้งนี้ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!
“แกมีเหตุผลอะไร” สาครหันไปถามลูกชายคนโต
“ก็...”
“คุณลุงคะ เกลว่า...” เกวลินโพล่งขึ้นมา กลัวนริสจะเปิดโปงเรื่องคืนนั้น
“ยัยเกล! ไม่ต้องพูดแทรกผู้ใหญ่” กาญจนาหันมาปรามลูกสาวเสียงเขียว แต่เกวลินไม่สนใจ ตอนนี้เธอนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ กระสับกระส่าย หายใจไม่เต็มท้อง สายตาก็จับอยู่ที่ใบหน้าของนริสตลอดเวลา
“ทำไม?” สาครจ้องหน้าลูกชายคนโตถามย้ำอีกครั้ง
ที่ผ่านมานริสเป็นคนมีเหตุผล ทุกอย่างที่คิดและตัดสินใจ ล้วนผ่านการทบทวนหลายครั้ง แล้วคราวนี้มีเหตุผลอะไร ถึงจะห้ามสองคนไม่ให้แต่งงานกัน
“เฮีย...มีอะไรหรือเปล่า?”
“ก่อนจะแต่งงานกับใคร แกรู้จักเค้าดีหรือยัง นิสัยใจคอเป็นยังไง แค่วันสองวันมันบอกไม่ได้หรอก บางทีคนที่ดูดี เรียบร้อย อาจจะเป็นพวก...ผู้หญิงใจแตก หรือไม่ก็...มีผัวแล้ว!!”
นริสตอบคำถามเตวิชญ์ แต่สายตากลับจ้องนิ่งอยู่ที่เกวลิน ประกายตาแรงกล้า แทบจะมองทะลุเข้าไปถึงเนื้อในที่ซ่อนอยู่ หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งราวกับถูกสาป ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“เจ้าฤทธิ์!...จะพูดจะจาอะไรก็เกรงใจอาสุพจน์กับอาแก้วที่นั่งอยู่ตรงนี้บ้างนะ ลูกสาวเค้าเลี้ยงดูมาอย่างดี จะเป็นพวกเด็กใจแตกได้ยังไง” สาครปรามลูกชายคนโต เมื่อเห็นนริสพูดจาไม่ให้เกียรติหญิงสาว
“อามั่นใจนะ ว่าลูกสาวคนนี้ของอาเป็นเด็กดี ไม่มีทางทำตัวเหลวแหลก ขอให้เชื่อได้เลยว่า เกวลินไม่มีทางทำตัวอย่างที่หลานชายว่าแน่นอน” สุพจน์พูดแก้ต่างให้ลูกสาว
‘หึ!’ มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างดูถูก มีเพียงเกวลินที่มองเห็น เพราะเขาตั้งใจสบตาเธอ
“ผมก็พูดตามที่เคยเห็นมา ถ้าไม่ใช่ก็ไม่จำเป็นต้องร้อนตัว จริงมั้ยครับ...คุณเกวลิน” หญิงสาวถึงกลับสะดุ้ง เมื่อจู่ ๆ เขาก็หันมาถามเธอ
“เอ่อ...”
“หนูเกลไม่ต้องไปถือสาพี่เค้าหรอกนะ ลูกลุงก็เป็นแบบนี้แหละ ปากไม่ค่อยดี แต่จริงๆ ไม่มีอะไร”
“ค่ะ...คุณลุง”
“งั้นเราก็ทานข้าวกันเถอะ เชิญๆ สุพจน์ คุณแก้ว หนูนารินทร์ด้วยนะ”
สาครเชื้อเชิญให้ทุกคนร่วมรับประทานอาหาร ทุกอย่างสั่งมาพิเศษ เต็มโต๊ะ เพื่อเลี้ยงต้อนรับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานเป็นสิบปี
และยังฉลองให้กับว่าที่คู่หมั้น แต่ดูทุกคนจะไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ โดยเฉพาะสองคนที่นั่งตรงข้ามกัน
คนหนึ่งก็จ้องมองไม่เลิก อีกคนก็เอาแต่นั่งก้มหน้าหลบตา
เตวิชญ์ตักกับข้าวไปวางบนจานคู่หมั้นสาว โดยไม่สนใจคำพูดของนริส หญิงสาวส่งยิ้มขอบคุณให้ แต่ความรู้สึกร้อนวูบวาบ ขนลุกชันตรงต้นคอ คอยรบกวน จึงเหลือบตาขึ้นมอง
เห็นสายตาคมกล้าคู่นั้นยังจ้องเธอเขม็งไม่วางตา เกวลินตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวแล้วกลืนลงคอแทบไม่รับรู้รสชาติ
“น้องเกลทานนี่ดีกว่าครับ อร่อย รับรองติดใจ” เตวิชญ์ยังคอยบริการ ตักอาหารมาวางบนจานหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ”
เมื่อเห็นคู่หมั้นสาว ดูหวาดๆ เกร็งๆ ก็ให้รู้สึกสงสาร คงจะกลัวพี่ชายของเขา เตวิชญ์จึงชวนคุย และคอยบริการตักอาหารให้ตลอด
เกวลินก็ได้แต่รับคำอือออไปด้วยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่วนอีกคนก็เอาแต่จ้องเธอจนลืมดูแลสาวข้างกาย ทำให้นารินทร์พลอยรู้สึกอึดอัดไปด้วย ที่ชายหนุ่มไม่คิดจะหันมาพูดคุยกับเธออย่างเคย
“จริงสิ...ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป หนูเกลจะมาพักกับเราที่นี่ จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน” สิ้นคำพูดของสาคร ทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน
“คุณแม่คะ!!” เกวลินตกใจ หันไปมองกาญจนาก็เห็นอีกฝ่ายจ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว สายตาที่สื่อมาคือ ให้เธอหุบปาก