มื้อเช้าได้เสร็จสิ้นลงโดยที่สองสามีภรรยาต่างก็ไม่มีอะไรพูดคุยกันในช่วงท้าย จนกระทั่งปัญวิชญ์จะออกไปทำงาน ครั้งนี้เขาหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองเธอ สิริญญาเดินมาส่งเขาขึ้นรถในทุกเช้าไม่รู้ว่าเธอทำตามหน้าที่หรืออย่างไรก็แล้วแต่ แต่มันเป็นภาพที่ชินตาแล้ว และเขาก็เคยชินที่เป็นแบบนี้
“เช้านี้คุณตรวจครรภ์หรือยัง” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แววตาที่เคยมองด้วยความเย็นชาอย่างแต่ก่อน ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความคิดในตอนนี้
“ยังค่ะ ประจำเดือนของฉันเพิ่งมาเมื่อเช้า” หญิงสาวบอกเขาตามตรง ปัญวิชญ์พยักหน้ารับทราบแล้วไม่ได้ถามอะไรอีก ในใจรู้สึกโล่งราวกับว่าเขาดีใจที่เธอไม่ได้ตั้งครรภ์ ทั้งที่จุดประสงค์ในการแต่งงานมันคือการผลิตทายาทเท่านั้น
เมื่อรถของปัญวิชญ์เคลื่อนออกไปแล้วสิริญญาก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน รู้สึกหน่วงที่ท้องน้อยตามประสาคนที่เป็นประจำเดือนแล้วมดลูกบีบรัดตัว จึงเดินเข้าไปนั่งพักที่ห้องนั่งเล่น เอามือวางกุมที่ท้องน้อยของตน ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรที่ผ่านมาสองเดือนแล้วยังไม่มีวี่แววที่จะตั้งครรภ์เสียที
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายสามีที่เพิ่งขับรถออกมาได้ยังไม่ทันถึงไหนโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดปุ่มรับสายผ่านทางการเชื่อมต่อกับรถยนต์ เสียงสนทนาดังขึ้นมาจากลำโพงรถยนต์หรูเป็นสายจากคัทลียา
“เคทจองที่พักไว้ให้แล้วนะ” ลูกครึ่งสาวบอกด้วยน้ำเสียงที่สดใส
“กว่าจะไปก็อีกตั้งสองสัปดาห์ จองล่วงหน้าแบบนี้กลัวผมไม่ไปแวะหาเหรอ”
“ก็แค่เป็นการจองเอาไว้น่ะค่ะ ที่พักเป็นแบบวิลล่ามีสระน้ำอยู่ด้านหน้าด้วย หากไม่จองล่วงหน้ารับรองว่าปั้นได้พักห้องบนโรงแรมธรรมดาแน่”
“เคทพึ่งพาได้จริง ๆ รู้ใจผมเกือบทุกอย่าง”
“ว่าแต่เธอจะมาด้วยไหมคะ” คัทลียาถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ หากแต่ในใจนั้นรู้สึกปวดหนึบ แต่คู่สนทนาคงไม่รับรู้อะไรว่าตนรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เพราะเธอไม่เคยเปิดเผยความในใจให้เขารู้
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่ให้ไป แต่เปลี่ยนใจแล้ว”
“อ้าว ทำไมเหรอคะ”
“เอื้องยังไม่ท้องสักทีน่ะ นี่ก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว พาไปเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย บางทีบรรยากาศที่ผ่อนคลายอาจจะทำให้ติดลูกง่ายขึ้น” เขาพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะคัทลียาก็คือเพื่อนที่เขาไว้วางใจเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง
คนฟังถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าเขาพาภรรยามาพักที่วิลล่าที่เธอจองให้ เพื่อที่จะสร้างบรรยากาศในการผลิตทายาทร่วมกัน และเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้น ความเจ็บปวดนี้เสียดแทงอยู่ในอก
“เคท ฟังอยู่หรือเปล่า” ปัญวิชญ์ถามเมื่อเธอเงียบไป สายตาของเขาให้ความสนใจกับถนนตรงหน้าในขณะที่คุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ฟังอยู่ค่ะ ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะคะ อีกสองสัปดาห์เราค่อยเจอกัน”
“ครับเคท” พูดจบเขาก็กดวางสายไป ขับรถมุ่งหน้าไปยังบริษัทของตนอย่างใช้สมาธิ
คัทลียากดวางสายลง น้ำตาของเธอที่กำลังจะเอ่อออกมาถูกหญิงสาวกะพริบตาไล่ให้กลับเข้าไป เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะมารู้สึกหึงหวงเขา ในเมื่อสถานะของเธอก็คือเพื่อนของเขา เพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อ หรือว่าเธอจะเป็นได้เพียงแค่นี้ไม่สามารถที่จะขยับสถานะของตนเองได้
รู้จักกันมาหลายปี ปัญวิชญ์ทั้งพูดสุภาพและใช้สรรพนามเรียกกันอย่างเป็นทางการ จนมีเพื่อนหลายคนแซวว่า เธอกับเขาไม่เหมือนเพื่อนกันเลยสักนิด แต่จริง ๆ แล้ว มีแต่เธอนั่นแหละที่รักเขาฝ่ายเดียว
************************
มื้ออาหารเย็นวันนี้ไม่มีสิริญญาร่วมโต๊ะด้วยทำให้ปัญวิชญ์เกิดความสงสัย เพราะตั้งแต่มาถึงเธอก็ไม่ได้เดินออกมาต้อนรับเขา ที่โต๊ะอาหารเย็นก็ยังไม่มีชุดอาหารของเธออยู่บนโต๊ะด้วย
“คุณเอื้องไปไหน” เขาถามพี่แต๋วสาวใช้ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับว่าถามไปผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจแต่ในใจนั้นอยากรู้คำตอบจะแย่
“คุณเอื้องปวดท้อง นอนพักอยู่ที่ด้านบนค่ะ สายพิณยกอาหารขึ้นไปให้แล้ว เธอน่าจะลุกมาไม่ไหว” พี่แต๋วบอกด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
ปัญวิชญ์พยักหน้ารับ เดือนที่แล้วเขาจำได้ว่าตอนที่เป็นประจำเดือนเธอก็มีอาการแบบนี้ แต่ก็มานั่งรับประทานอาหารกับเขาได้ปกติ เพียงแต่ว่าตอนกลางคืนนั้นหญิงสาวแสดงอาการปวดท้องและขอแยกห้องนอนกับเขา ตอนแรกเขาคิดว่าเธอหาข้ออ้างอะไรบางอย่าง แต่หญิงสาวอธิบายเหตุผลว่าเธอไม่อยากโอดโอยตอนกลางกลางดึกแล้วรบกวนเวลานอนของเขา
“นอนอยู่ที่ห้องเล็กเหรอ” เขาถามอีกครั้งขณะที่ตักอาหารเตรียมที่จะกิน
“เปล่าค่ะ คุณเอื้องอยู่ห้องใหญ่ ตอนที่เธอปวดมาก ๆ ก็ขึ้นไปนอนตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว คงจะลุกไปห้องเล็กไม่ไหวค่ะ” ปัญวิชญ์พยักหน้ารับทราบอีกครั้งจากนั้นก็กินอาหารตรงหน้าโดยที่ไม่ได้ตั้งคำถามใด ๆ อีก
เมื่อมื้ออาหารเสร็จสิ้นเขาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินขึ้นไปยังห้องนอนแทบจะทันที ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความร้อนใจ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเป็นห่วงภรรยาที่ตนไม่ชอบหน้า
เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าสายพิณกำลังยกถาดอาหารที่เธอกินเสร็จแล้วลงไปเก็บ เขาเข้าไปในห้องแล้วมองดูภรรยาสาวที่นั่งเอนพิงกับหัวเตียงอยู่ เธอมองเขาด้วยใบหน้าที่ดูซีดเซียวและอิดโรย
“จะให้พาไปไปหาหมอไหม อย่ามาตายในห้องนอนฉันนะ” แม้ในใจจะเป็นห่วงแต่ปากของเขาก็ยังคงไว้ซึ่งความร้ายกาจ
“แค่ปวดท้องประจำเดือนเอื้องไม่ถึงตายหรอกค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงเบาผ่านริมฝีปากที่สั่นเล็กน้อย ปกติก็ไม่ได้ปวดขนาดนี้ไม่รู้ว่าเดือนนี้ทำไมถึงปวดนัก
“กินยาหรือยัง”
“กินแล้วค่ะ ขอบคุณพี่ปั้นที่เป็นห่วง”
“ใครเป็นห่วงเธอ ฉันเป็นห่วงว่าเธอจะอยู่ไม่ถึงวันที่สามารถมีทายาทให้ฉันได้ต่างหากล่ะ อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย” เมื่อได้ยินดังนั้นสิริญญาที่อยู่ในอาการฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและมดลูกที่บีบตัวแน่น ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเหลือเกิน น้ำตาอยู่ ๆ ก็ร่วงลงมา ริมฝีปากเม้มแน่น มองเขาด้วยสายตาตัดพ้อแล้วค่อย ๆ เลื่อนตัวลงไปนอนตะแคงหันหลังให้แก่เขาด้วยความน้อยใจ
ปัญวิชญ์อยากตบปากตัวเองนัก หากมองตามความเป็นจริงแล้วเขาก็ตั้งแง่และอคติกับเธอเกินไปตั้งแต่แรก และหากมองอย่างเป็นกลาง เขาช่างเป็นผู้ชายที่ปากเสียและไม่ถนอมน้ำใจผู้หญิงเอาเสียเลย
เมื่อเห็นไหล่เล็ก ๆ นั้นสั่นเทาก็เดินเข้าไปหา จะเอื้อมมือไปแตะเพื่อที่จะปลอบโยนเธอ แต่ก็หดมือกลับแล้วหลับตาตั้งสติเอาไว้ เปลี่ยนใจหันหลังให้กับเธอเพราะความขลาดเขลาของตัวเอง
สิริญญาร้องไห้เพราะเจ็บปวดกับคำพูดของเขา หากเป็นช่วงเวลาปกติมีหรือคำพูดแค่นี้จะทำร้ายจิตใจเธอได้ ไม่นานนักได้ยินเสียงเสื้อผ้าที่เขาถอดแล้วโยนลงกับพื้น ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้องน้ำ
ปัญวิชญ์ไม่คิดที่จะขอโทษเธอเลยกับคำพูดที่ร้ายกาจนั้น แต่มันก็เป็นเรื่องปกติแล้ว เธอไม่ได้คาดหวัง ตั้งแต่แรก
“รีบมาเกิดเถอะลูก เราสองคนจะได้รีบออกไปจากบรรยากาศที่เป็นมลพิษนี้ แม่ไม่อยากอยู่กับพ่อเขาแล้ว” เธอพึมพำออกมาเสียงเบา ขอให้อีกสองสัปดาห์ข้างหน้าที่จะไปภูเก็ตด้วยกัน เป็นช่วงเวลาไข่ตกแล้วติดลูกด้วยเถิด
************************