บทที่ 1 คืนฟ้าวิปริต

1476 Words
ครืด....ครืด.... หญิงสาวในชุดนักบวชลากขาที่ถูกธนูยิงไปตามพื้นเบาๆ กู้เยว่ฉีหัวใจเต้นระรัว ที่ผ่านมา นางนึกว่าตนเองได้เผชิญหน้ากับความทุกข์แสนสาหัสแล้ว แต่คืนนี้กลับทรมานยิ่งกว่า ‘คนในวัดหายไปไหนกันหมด? ข้าร้องจนคอแทบแตกแล้วก็ยังไม่มีใครโผล่มากันสักคน’ นางซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ ยกมือขึ้นกุมช่วงท้องที่มีบาดแผลถูกแทง ลมหายใจรวยริน นอนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คิดอยากจะร้องด่าเทพเซียนบนสวรรค์ที่ช่างโหดร้ายกับสกุลกู้ แต่หากอ้าปากแม้เพียงเล็กน้อย เกรงว่าที่กลุ่มใหญ่ที่ตามล่านางพวกนั้นจะหาตัวนางเจอ ลมหายใจของหญิงสาวเริ่มรวยริน พลันหูนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ “ทางนั้นเห็นหรือไม่?” “ไม่ ทางเจ้าเล่า?” “ไม่เห็นเหมือนกัน” “สับลงไปในพุ่มไม้ดู บางทีนางอาจจะซ่อนอยู่ในนั้น”​ เสียงบุรุษหลายคนร้องถามกัน ราวกับเสียงเพรียกจากนรก กู้เยว่ฉียกยิ้มมุมปาก ตอนที่นางถูกแม่นมของอดีตสามีจับกรอกยาจนต้องแท้งลูกยังไม่น่ากลัวเท่าครั้งนี้ เลือดจากท้องค่อยๆ ไหลผ่านนิ้วออกมาอีกคราหนึ่ง นางกดบาดแผลเพื่อหวังห้ามเลือด แต่ชายเสื้อคลุมที่ฉีกออกมานั้นก็ชุ่มจนไม่อาจจะซับเลือดได้ไหว ฟั่บ! ฟึ่บ! ฟั่บ! ฟึ่บ! เสียงปลายกระบี่ตวัด สลับเสียงเสียบลงตามพุ่มไม้ดังอยู่ครู่ใหญ่ หญิงสาวที่ถูกล่านอนมองท้องฟ้ามืดมิดด้วยสายตาสิ้นหวัง ลึกๆ นางปรารถนาจะให้มีใครสักคนเข้ามาช่วย แต่...เมื่อนึกถึงคนสกุลกู้ที่ถูกไล่ล่าและนำไปประหารชีวิตจนหมดสิ้นก็น้ำตาไหล “นางน่าจะหนีไปจากตรงนี้แล้ว ไปกันเถอะ” ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าของบุรุษผู้นั้นก็พลันถอยห่างออกไป กู้เยว่ฉีหัวเราะหึๆ กับตนเอง พอนางสิ้นหวัง สวรรค์ก็ดันมอบโอกาสเล็กๆ ให้นางอีกครั้ง เมฆที่ปิดบังดวงจันทร์อยู่เมื่อครู่ค่อยๆ เลื่อนออก บริเวณพุ่มหญ้าสูงที่นางซุกตัวอยู่ค่อยๆ สว่างขึ้น พลันนางก็มองเห็นรูปปั้นเทพองค์หนึ่งขนาดพอๆ กับตัวนาง ถูกตั้งไว้บนแท่นด้านหลังมีต้นไม้สูงกว่ารูปปั้นเกิดร่มครึ้ม เมื่อครู่ตอนที่นางลากขาข้างที่บาดเจ็บหนีมา รอบข้างมืดจนมองไม่เห็น ที่แท้นางอาจจะได้รับการปกป้องจากรูปปั้นเทพองค์นี้ อาการบาดเจ็บเริ่มทวีขึ้นจนนางร้องครางออกมา ดวงตาของนางเริ่มพร่าพราย กู้เยว่ฉีสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอ่ยกับรูปปั้น “ท่านเทพ ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหวัง สิ้นครอบครัวตนเอง สิ้นบุตร สิ้นสามี ช่างเถิด ชีวิตนี้มันช่างรันทด หากชีวิตหน้ามีจริงขอให้ข้าอย่าหลงใหลในเปลือกนอก อย่าได้ถลำลึกไปในความชั่ว ได้ใช้ชีวิตที่สงบและมีความสุขอย่างแท้จริง” หญิงสาวหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงบุรุษดังขึ้น “คนอย่างกู้เยว่ฉี นางมีเล่ห์เหลี่ยมพอตัว ไม่ยอมให้ผู้อื่นฆ่าโดยง่ายหรอก ไม่อย่างนั้นคงไม่หลบหนีการไล่ล่ามาได้เป็นวันๆ ไม่แน่ว่าวันหน้าหากนางรอดไปได้ก็อาจจะกลับมาแก้แค้น” น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นฟังดูแล้วคุ้นๆ เหมือนนางเคยได้ยินมาก่อน แต่ กู้เยว่ฉีกลับจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของผู้ใด? หน้าอกของคนที่ถูกเอ่ยถึงกระเพื่อมขึ้นลง แสยะยิ้ม นางนึกถึงชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง ในฐานะคุณหนูสกุลกู้นางไม่ใช่คนใสซื่ออย่างที่แสดงออกแต่กลับวางแผนเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับตนเองทีละขั้นอย่างแยบยล ‘ข้ารู้ ข้าไม่ใช่คนดี จริงอย่างท่านพูด หากข้ามีโอกาสอีกครั้ง ต้องช่วยชีวิตคนสกุลกู้และตอบแทนคนที่ทำลายสกุลข้าอย่างสาสม ชีวิตที่สงบและมีความสุขจึงจะเกิดขึ้นได้’ มู่โจวบุตรชายคนเล็กของผู้บัญชาการทหารประจำมณฑลหรงเฉิน กวาดตามองไปรอบๆ สนามหญ้าหลังวัดที่ค่อนข้างกว้าง เขาร้องสั่งด้วยน้ำเสียงดุดัน “ส่องไฟไปให้รอบๆ หานางให้เจอ” “ขอรับ” เหล่าทหารร้องรับพร้อมกัน มู่โจวเป็นหัวหน้าหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ในลานประหารคนสกุลกู้เขาได้ยินว่าพวกมือปราบกำลังไล่ล่าคนสกุลกู้จึงรีบตามไปดู จังหวะหนึ่งเขาสังเกตเห็นว่าคนที่ถูกตามจับสวมชุดแม่ชี เขาจึงนึกถึงกู้เยว่ฉีที่ถูกจับขังไว้ในอารามบนเขา นางอาจจะรู้ข่าวของคนในครอบครัวจึงได้แอบลงจากเขามาดูให้เห็นกับตา ทหารผู้หนึ่งยกคบเพลิงขึ้นใกล้พงหญ้าใกล้ๆ หัวหน้าหนุ่ม สายตาของมู่โจวสะดุดกับความผิดปกติบางอย่าง ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับมือด้ามคบเพลิงเอามาถือไว้แทน “ตรงนี้ข้าหาเอง ดูแล้วน่าสงสัย” สายตาของมู่โจวมองไปตามรอยพับของแนวหญ้า เขาก้าวเท้าไปอีกสองก้าวก็เห็นรูปปั้นเทพเจ้าตั้งอยู่ “มีรูปปั้นซ่อนอยู่ตรงนี้ด้วย ต้นไม้ขึ้นรกเต็มไปหมด พวกนักบวชไม่ออกมาตัดหญ้าบ้างหรือไร?” เขาบ่นพลางกวาดตามองเลยไปอีกเล็กน้อยก็เห็นปลายเท้า “นั่น มีคนซ่อนอยู่” มู่โจวส่งคบเพลิงให้กับทหารแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขาจำรองเท้าแบบนั้นได้ เป็นรองเท้าสีที่พวกนักบวชบนเขาใช้กัน “ใช่จริงด้วยขอรับหัวหน้า” เขาก้มลงมองร่างที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด หมวกนักบวชหลุดออก ศีรษะของนางมีเส้นผมสั้นๆ แทงขึ้นมาจากหนังศีรษะประปราย ใบหน้ารูปผลแตงยังมีเค้าความงามหลงเหลืออยู่ ทว่าความขาวซีดอันเกิดจากความสูญเสียเลือด ทำให้ดูน่าสังเวชใจ มู่โจวทรุดตัวลงนั่งข้างๆ นาง “กู้เยว่ฉี เจ้ายังไหวหรือไม่?” ท้องฟ้าพลันกระจ่างทั่วบริเวณ หญิงสาวที่สติหลงเหลือไม่ถึงครึ่งคล้ายจะลืมตาขึ้นมอง นางส่ายหน้าเล็กน้อย เงาของบุรุษผู้หนึ่งลอยอยู่เหนือร่างของนาง กู้เยว่ฉีไม่เห็นหน้าแต่จำได้ว่าเสียงของคนผู้นี้คือเสียงเดียวกับคนที่บอกว่านางเป็นคนเจ้าเล่ห์และเจ้าคิดเจ้าแค้น “เจ้าถูกแทงทั้งท้องทั้งขา บาดแผลฉกรรจ์มาก” ร่างของกู้เยว่ฉีถูกเขาประคองขึ้น “ด้านหลังเจ้าก็ถูกแทงด้วย เจ้ารู้หรือไม่? คนพวกนั้นเป็นใคร?” นางพยักหน้ารับ ตอนที่นางหลบหนีจากลานประหาร พอรู้ว่ามือปราบสองสามคนวิ่งตามมาก็รีบหาที่ซ่อนตัว นางแอบกลับมาถึงวัดบนเขาได้อย่างปลอดภัย ตอนนั้นก็ยังเห็นคนที่เฝ้าวัดเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านหน้า แต่พอตกค่ำกลับมีคนบุกเข้ามาหมายเอาชีวิต เสียงต่อสู้จากลานกลางวัดดังขึ้นไม่นานนัก คนพวกนั้นก็บุกเข้ามาในที่พักของนาง กู้เยว่ฉีใช้วิธีล่อหลอกเพื่อหลบหนีแต่ไม่พ้นคมดาบของพวกมัน นางถูกแทงที่ขา ด้านหลัง และท้อง กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด “มือปราบใช่หรือไม่?” แม้พวกมันจะสวมชุดพรางตัวแต่ตอนที่นางหมอบหลบในวัด เห็นรองเท้าแล้วก็พลันนึกถึงพวกมือปราบที่ไล่ล่านางในตอนบ่าย มู่โจวเห็นนางพยักหน้า เขาก็นึกถึงสิ่งที่ได้ยินในโรงเตี๊ยมสองวันก่อน “ศัตรูของเจ้าเป็นสตรีในสกุลใหญ่แน่ ข้าเห็นนางว่าจ้างมือปราบชั่วพวกนั้นให้มาตามฆ่าเจ้า” กู้เยว่ฉีนึกไม่ออกว่าสตรีที่บุรุษผู้นี้พูดถึงเป็นผู้ใดกันแน่? ระหว่างทางที่นางกับบิดาป่ายปีนขึ้นมา สร้างศัตรูไว้หลายคน พลันนางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามา หญิงสาวร่างกระตุกน้อยๆ ‘นี่คงเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของข้า น่าเสียดายที่ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ในชาตินี้แล้ว’ หญิงสาวน้ำตาไหลออกมาจากหางตาทั้งสองข้าง “กู้เยว่ฉี เจ้าอดทนหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปรักษาตัว” เขาร้องเรียก หากว่ารักษาชีวิตนางไว้ได้ เขาก็จะกลายเป็นผู้มีพระคุณของนางและล้วงความลับของ หลิงอ๋องได้ นางกลั้นหายใจรวบรวมกำลังเลื่อนมือไปจับแขนของมู่โจวเอาไว้ บีบด้วยแรงทั้งหมดที่มีเหลือ เอ่ยคำพูดประโยคสุดท้ายออกมา “ข้า ไม่มีทางให้อภัยคนสกุลหลิงเด็ดขาด” **********************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD