#คุณภามคะขา 8
ถามว่าหลับกี่โมง หกโมงเช้าค่ะเพราะฉันนอนไม่หลับเลยรอทำแซนด์วิชชุดใหม่ให้พี่ภามไม่ลืมฝากให้เพื่อนเขาด้วยจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน พี่ภามจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดเวลาเพื่อนแย่ง ระหว่างที่พี่ภามแต่งตัวด้วยชุดที่เขาฝากซักเขาก็ทิ้งชุดของเมื่อวานไว้ที่ห้องคล้อยหลังอีกฝ่ายไปเรียนฉันก็ซักแล้วตากไว้ก่อนจะเข้าห้องนอนแล้วชัตดาวน์ร่างกายตัวเองทันที
ช่วงไม่รู้ว่าช่วงไหนของวันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นถี่ ๆ เป็นสายเรียกเข้าจากพี่ภามฉันรับสายและวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรทักทายปลายสาย
(ตื่นหรือยัง?) พี่ภามเอ่ยถามพร้อมกับเสียงนุ่มนวลพร้อมได้ยินเสียงที่คล้ายกับเขากำลังเปิดกระดาษหรือทำอะไรสักอย่างอยู่กับกระดาษ
“เพิ่งตื่น” ตื่นตอนที่ได้ยินเสียงเรียกเข้านี่แหละ ฉันพลิกตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอว่ากี่โมงแล้วแต่ก็ต้องตกใจที่หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏใบหน้าของอีกฝ่าย จากมุมนี้พี่ภามคงวางโทรศัพท์ไว้กับอะไรสักอย่าง ส่วนตัวเขานั้นก้มหน้าดูอะไรบางอย่างจากไอแพดสลับกับมองกระดาษแผ่นขาว ๆ นั่น
(ไปล้างหน้าพี่จะให้คนเอาข้าวไปส่ง)
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวทำกินเองก็ได้ ยังไม่อยากลุกจากที่นอนเลย” ความเกียจคร้านมีเยอะมากจนเลือกที่จะเอ่ยบอกอีกฝ่ายไปตรง ๆ
(หลับตอนไหน? เมื่อเช้าบอกให้นอนต่อก็ไม่เชื่อ) พี่ภามเอ่ยถามเสียงเบาและตอนนี้ฉันได้ยินเสียงที่แทรกเข้ามาได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
(แหม ทุกวันนี้มีโทรเฝ้าโทรรายงาน // อย่าเพิ่งแซวมัน มันจะไม่ติวให้เรา // ลืม ๆ // ปล่อยให้มันคุยกับน้องไปเถอะ)
(ว่าไงครับหลับตอนไหนเมื่อเช้า) พี่ภามดูเหมือนไม่ได้สนใจเสียงรอบข้างเขาเลยเมื่อฉันไม่ตอบเขาก็เอ่ยถามย้ำกลับมา พร้อมกับละสายตาจากหน้าจอไอแพดขึ้นมองฉัน เพราะรู้สึกอายเนื่องจากยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันฉันตกใจรั้งผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับตอบคำถามอีกฝ่ายเสียงอู้อี้
“เจ็ดโมงได้มั้งคะ พี่ออกไปก็ซักเสื้อผ้าต่ออีกนิดหน่อยแล้วก็นอน พี่ทำอะไรอยู่เหรอ?” ฉันมองอีกฝ่ายอย่างสงสัยระหว่างนี้ก็วางโทรศัพท์พิงกับหมอนใบที่วางอยู่ข้าง ๆ ไม่อยากถือโทรศัพท์แล้ว
(อ่านชีทเรียนอยู่ครับ รอข้าวน่ะ)
“งั้นวางก่อนไหมจะได้อ่านสะดวก” ไม่รู้ว่าแยกประสาทได้ยังไง คุยไปด้วยอ่านไปด้วยแบบนี้เขาเข้าใจเนื้อหาเหรอ เก่งเกินไปแล้ว แค่ฉันอ่านหนังสือสอบวนเวียนไปมาอยู่เงียบ ๆ คนเดียวยังไม่เข้าใจเลย
(สะดวก ง่วงก็นอนต่อเถอะ เดี๋ยวพี่วางสายเอง) พี่ภามเอ่ยบอกราวกับล่วงรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจฉัน
“งั้น หนูนอนต่อนะ”
(ครับ)
ฉันปล่อยให้สายวิดีโอคอลนั้นค้างสายไว้ตามความต้องการของพี่ภาม ส่วนตัวเองก็พลิกตัวหลับต่อไม่ลืมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างไว้เพิ่มความอุ่นให้ร่างกาย แสงที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนมีเพียงน้อยนิด เครื่องปรับอากาศถูกเปิดใช้งานให้ความเย็นฉ่ำ และเป็นอีกครั้งที่ฉันหลับไป
เป็นวันหยุดแรกที่สบายมากฉันตื่นช่วงบ่ายโมงและสายที่โทรค้างไว้กับพี่ภามยังไม่ถูกวางสาย เมื่อเริ่มขยับตัวพี่ภามจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าจอนิ่ง ๆ กลายเป็นฉันเสียเองรู้สึกกดดันเมื่อถูกจ้องจากอีกฝ่าย
“ตื่นแล้ว” บอกคนที่มองผ่านหน้าจอเสียงแผ่ว
(ไปอาบน้ำได้แล้ว)
“ค่ะ วางสาย...”
(เดี๋ยวพี่วางเอง ไปอาบน้ำเถอะ) เมื่ออีกฝ่ายยืนยันแบบนั้นฉันจึงพยักหน้าแล้วขยับลงจากเตียง เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยถึงได้เดินไปเปิดม่านให้ห้องนอนมีแสงสว่าง ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น
(คะขา...) เสียงเรียกดังจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโซฟา
“ค่ะพี่”
(พี่เข้าเรียนแล้วนะ เจอกันตอนเย็น)
“โอเคค่ะ” พยักหน้าเข้าใจ
(อย่าลืมกินข้าว อยากกินอะไรตอนเย็นส่งข้อความเข้ามาบอกพี่นะ พี่ไปเรียนก่อน) ฉันโบกมือลาพี่ภามโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ มื้อเช้าง่าย ๆ ถูกทำขึ้นมาและจัดการกินหมดภายในเวลารวดเร็ว จากนั้นก็ส่งข้อความคุยเล่นกับเพื่อนในกลุ่มรวมถึงการนอนดูซีรีส์ที่ชอบตลอดช่วงบ่ายในวันหยุด
ฉันเองที่ไม่ได้มีงานค้างหรืองานที่เร่งด่วนอะไรจึงเริ่มนอนสั่งของที่อยากได้ ส่วนมากจะเป็นขนมที่อยากกินเมื่อเล่นไปสักพักก็ตัดสินใจลุกไปเตรียมวัตถุดิบทำมื้อเย็น แต่อย่าเรียกว่าทำกับข้าวเลยนะเพราะฉันเตรียมทำชาบูกินแบบง่าย ๆ อยากกินแต่เพื่อนออกต่างจังหวัดกับครอบครัวหมดเลย พี่ชายก็งานยุ่งฉันเลยต้องกินคนเดียว
“พี่หมอจะกินด้วยไหมนะ แต่คงไม่หรอกเผื่อเขารีบกลับไปพักที่ห้อง...” คิดเอง สงสัยเอง ตัดสินใจเอง เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จฉันจึงเดินไปเปิดประตูระเบียงรวมถึงปิดประตูห้องนอนไว้กันกลิ่นอาหาร
เสื้อผ้าที่ซักตากไว้ที่ระเบียงถูกเก็บเข้าไปยังห้องนอนหมดแล้วเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่อยากกินขนมเค้กและน้ำหวานสักแก้วฉันจึงตัดสินใจยังไม่กินชาบูและเลือกที่จะลงไปซื้อเครื่องดื่มและเค้กก่อน ซึ่งร้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมากนักฉันจึงเลือกที่จะเดินไปที่ร้านเอง แต่เย็นแล้วนะแดดยังคงร้อนแรงอยู่เลย
ระหว่างรอเครื่องดื่มและฉันกำลังเลือกขนมเค้ก โทรศัพท์ก็มีสายเรียกเข้ามาเป็นพี่ภามที่วันนี้เหมือนเขาจะขยันโทรมาเหลือเกิน
“ฮัลโหลค่ะ”
(พี่กำลังกลับ อยากได้อะไรไหม?)
“ไม่มีค่ะ”
(ไปกินข้าวกันไหม)
“เอ่อ คือ หนูทำชาบูที่ห้องอะ พี่จะกินด้วยไหม?”
(แป๊บนะ ณอน ชีทสรุปกูจะส่งให้ก่อนมึงส่งต่อให้คนอื่นพรุ่งนี้ราวน์เย็นเสร็จจะติวให้วันนี้ต้องกลับแล้ว เออ ตามนั้น กลับละ) เสียงพี่ภามคุยกับเพื่อนอีกหลายประโยค ฉันกลัวพี่ภามจะสับสนเลยใช้นิ้วชี้ที่เค้กให้พี่พนักงานดูและยกนิ้วบอกจำนวนที่ต้องการกระทั่งได้เค้กครบและรอจ่ายเงินพี่ภามถึงได้เอ่ยเรียกอีกครั้ง
(คะขา)
“ค่ะพี่” ขานรับมือก็ส่งเงินให้พนักงาน
(พี่กลับไปกินมื้อเย็นด้วยได้ไหม)
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเตรียมของเผื่อ”
(ไม่อยากได้อะไรใช่ไหม? เอาขนมหรือเปล่า) พี่ภามถามอย่างใจดี
“ไม่ค่ะ ออกมาซื้อแล้ว”
(อยู่ข้างนอกเหรอ?)
“ค่ะ ซื้อเค้ก”
(ร้านไหน เดี๋ยวกลับเข้าไปรับ)
“ร้านหน้าคอนโดใกล้ ๆ เองค่ะ เจอที่ห้องก็ได้เนี่ยเสร็จพอดี”
(งั้นก็ระวังด้วย)
“รับทราบค่ะ วางก่อนนะ พี่ขับรถดี ๆ”
(ครับ เจอกัน)
สรุปมื้อเย็นก็มีเพื่อนกินชาบูงง ๆ
พี่ภามกลับเข้ามาพร้อมกับผลไม้หลายอย่าง แล้วยังช่วยเตรียมจานชามรวมถึงช่วยทำความสะอาดหลังกินเสร็จด้วย แล้วยังแอบโอนเงินค่าอาหารเข้ามาหาให้ฉันแต่เพราะจำนวนมันเยอะเกินไปฉันอยากจะโอนคืนแต่เขาก็ไม่ยอมรับคืน ชาบูหมูธรรมดาอะไรจะถึงหมื่นเวอร์เสียไม่มี
“พรุ่งนี้พี่เรียนไหม?”
“มี ราวน์เช้าเรียนเช้าแล้วก็เรียนบ่ายตอนเย็นติว” พี่ภามเล่าให้ฟัง
“งั้นพี่เอารถไปเลยนะ เผื่อได้ใช้”
“แล้วเราจะออกไปข้างนอกยังไง”
“หนูไม่มีที่ไปหรอก เพื่อนไปต่างจังหวัดหมด อีกอย่างไม่ชอบออกไปข้างนอกด้วยค่ะ” ตอบพี่ภามมือก็วางจานผลไม้ที่ล้างทำความสะอาดแล้วจัดใส่จานถือออกมาให้พี่ภามที่นั่งอยู่โซฟา
“งั้นตอนเย็นพี่จะเข้ามารับแล้วไปกินข้าวด้วยกัน รอพี่ติวไม่นานหรอกแล้วจะพากลับ”
“โห พี่กับเพื่อนติวหนูจะไปทำอะไรล่ะคะขอไม่ไปได้ไหม?” ฉันเริ่มงอแงเมื่อรู้ว่าเขาอยากให้ไปติวกับเขา แต่จะบ้าเหรอสิ่งที่พวกเขาติวน่ะ ที่พวกเขาคุยกันฉันไม่รู้เรื่องด้วยเสียหน่อย
“งั้นพี่จะแวะมากินข้าวเย็นด้วยแล้วค่อยออกไปติว”
“แบบนั้นก็เหนื่อยแย่สิคะ วกไปวนมา” ฉันบอกอย่างที่คิด พี่ภามถึงกับถอนหายใจขยับมามองหน้าฉันนิ่ง ๆ
“งั้นหนูบอกพี่หน่อยค่ะ ว่าพี่ต้องทำยังไงถึงจะได้กินข้าวกับหนู”
“อะไรเล่า จะมาอยาก...”
“อยากกินข้าวด้วย อยากเจอทุกวัน...” พี่ภามตอบกลับน้ำเสียงจริงจัง
“เอ่อ ก็ได้ ๆ พรุ่งนี้ตอนเย็นจะไปรอที่โรงพยาบาลแล้วไปกินข้าวเย็นด้วยกัน...แบบนั้นได้ไหมคะ” ท้ายประโยคถามอีกฝ่ายเสียงอ่อน ก็ดูแล้วเขาดูจริงจังมากเลยนะที่บอกว่าทำยังไงถึงจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน
“ขอบคุณครับ แต่พรุ่งนี้ตอนเช้าไม่ต้องไปส่งพี่ก็ได้ พักเถอะ”
“พี่จะเอาแซนด์วิชไหม?” เงยหน้าถามคนตัวโตอีกครั้งหลังจากที่หลบสายตาเขาอยู่นานตั้งแต่ได้ยินประโยคชวนเขินนั่น
“เหนื่อยไหม?”
“ไม่ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นทำให้พี่หน่อยครับ เดี๋ยวเอาไปแช่ตู้เย็นไว้ก็ได้”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวทำให้เลย” เอ่ยจบก็ขยับจากโซฟาห้องนั่งเล่นเตรียมของทำแซนวิชให้พี่ภาม ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยจากนั้นก็จัดใส่ถุงมอบให้พี่ภาม ฉันเดินมาส่งพี่ภามที่หน้าห้องเพราะเขาไม่ยอมให้เดินลงไปส่งเพราะดึกแล้ว แต่ขอโทษนะคะตอนนี้เพิ่งจะสามทุ่มมันไม่ได้ดึกขนาดนั้นนะ
“กลับเข้าห้องได้แล้ว” ฉันพยักหน้าโบกมือลาพี่ภาม คล้อยหลังอีกฝ่ายออกจากห้องฉันปิดประตูและทำความสะอาดอีกเล็กน้อยก่อนจะเอาหนังสือขึ้นมาอ่านเตรียมจะสอบไฟนอลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพราะวิชาเรียนไม่เยอะแต่เนื้อหาที่ต้องอ่านและสอบนั้นเยอะมากจนน่าปวดหัวเลยก็ว่าได้
เมื่อได้จมกับความคิดตัวเองเวลาผ่านไปเนิ่นนานรู้สึกตัวอีกทีก็ก้าวเข้าสู่วันใหม่ ฉันเก็บหนังสือและชีทเรียนเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะกลับเข้าห้องนอนเพื่ออาบน้ำเข้านอนตามเวลาที่ควรจะเป็น