รษา เดินมาหยุดตรงหน้าเขา หญิงสาวยังกล้า ๆ กลัว ๆ มือบางเกาะเกี่ยวกันไว้เบื้องหน้า พยายามบังคับใจตัวเองไม่ให้สั่น ก้มหน้า...
“เก็บของเสร็จแล้วเหรอ”
“ยังค่ะ”
...เวลาแค่ห้านาทีที่เขาให้จะพอเก็บอะไรให้เข้าที่ได้เล่า แค่นั่งทำใจยังไม่พอเลย หากคำตอบกับอาการก้มหน้าของเธอนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาใส่ใจ ยังพูดต่อไปว่าด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“เย็นนี้ฉันอยากกินอาหารไทย ทำให้กินด้วย”
“ค่ะ”
...แต่คำตอบเดียวที่ว่า ‘ค่ะ’ กลับทำให้เขาไม่ชอบใจ หล่อนพูดเป็นแค่คำเดียวหรือไง
“นี่เธอพูดคำอื่นไม่เป็นรึยังไง พูดเป็นแต่ ค่ะ ๆ ๆ”
ปลายเสียงเขากระแทกห้วน ดวงตาตวัดมาจ้องเขม็ง รษาเงยหน้าขึ้นมองภายในหัวใจมีความรู้สึกกลัว กัดริมฝีปากแล้วตอบเสียงแข็ง
“แล้วคุณจะให้ฉันพูดอะไรล่ะ ฉันสามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้เหรอ คุณให้เวลาฉันเก็บของแค่ห้านาที เวลาแค่นี้จะพอทำอะไรได้ล่ะ”
หญิงสาวพูดเร็วปร๋อเหมือนอัดอั้นคนฟังจ้องมองเงียบ ๆ ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ ในคราแรกราฟาเอลคิดอยากจะสั่งสอนแม่ตัวดีที่กล้าขึ้นเสียง แต่เมื่อมองเข้าไปลึกในดวงตาปริ่มน้ำคู่นั้นความกระด้างจึงพลอยลดลง พลางถอนหายใจ... ‘ไม่เป็นไร เธอคงยังไม่ชินกับที่อยู่ใหม่ อาจจะยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ต้องให้เวลาเธอสักพัก’
“โอเค...เธอกลับไปที่ห้องได้แล้ว ทำธุระส่วนตัวของเธอให้เรียบร้อย แล้วตอนเย็นก็ทำอาหารไทยให้ฉันกิน หกโมงเย็นในวันนี้งานเธอเริ่ม”
ร่างบางสั่นสะท้านหายใจแรง เบือนหน้าไปอีกทางเมื่อเขาพูดจบ... หญิงสาวเดินกลับไปยังห้องพักตัวเอง เหลือแต่คนร่างสูงที่ยังยืนอยู่มองแผ่นหลังบางเอวคอดเล็ก สะโพกมนที่โยกย้ายไปตามจังหวะการเดินไปจนลับสายตาพลางคิดว่าอีกไม่นาน
อาหารไทยจานเมนูธรรมดาที่เขาสั่งว่าอยากกิน ได้ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะรับประทานอาหารสี่เหลี่ยมหินอ่อนขัดเงาวาวกลางห้องรับประทานอาหารเรียบร้อยตรงเวลาหกโมงเย็นไม่ขาดไม่เกิน ร่างเล็กของแม่ครัวยืนกุมมือ ก้มหน้าอยู่ตรงมุมโต๊ะ คนร่างสูงเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ยังไม่ทันได้นั่งลงบนเก้าอี้เพราะดวงตาเขาสะดุดกับข้าวจานเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นก่อน หน้าตามันเหมือน ‘ออมเล็ต’ (Omelet หรือ Omelette ในภาษาฝรั่งเศส) ใช่...มันคือ ‘ออมเล็ต’ เสียงลมหายใจที่เขาระบายออกมาดัง รษารับรู้ได้ถึงอารมณ์อีกคน หากเจ้าตัวก็ยังยืนก้มหน้านิ่งพยายามกลบเกลื่อนอารมณ์กลัวของตัวเองเช่นกัน เมื่อเหลือบตามองก็พบดวงตาสีเทาหม่นฉายแววขุ่นเคืองอยู่ชัด
“นี่เธอทำอะไรให้ฉันกินเนี่ย!”
“Thai Omelet (ไข่เจียว) ไงคะ คุณไม่รู้จักเหรอ มันก็เป็นอาหารไทยอย่างหนึ่ง”
หญิงสาวปั้นหน้าตอบเป็นปกติ หากคนฟังกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลัง ‘ยั่ว’ โมโห ใบหน้าขาวคมเข้มเพราะหนวดเคราสีน้ำตาลอ่อนยิ่งมึนตึง ก้าวพรวดเดียวก็ถึงตัวเธอ มือหนาคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนออกแรงกระชากจนร่างเล็กปลิวติดมือมาปะทะกับอกแกร่ง คำรามด้วยเสียงเหี้ยมโหด
“นี่เธอจะลองดีกับฉันเหรอ! คิดจะยั่วโมโหฉันงั้นเหรอ! เธอก็น่าจะรู้ว่าถ้าฉันโมโหจะเป็นยังไง...”
“โอ๊ย!...ฉันเจ็บนะ”
มือบางอีกข้างพยายามช่วยเหลือตัวเองโดยการแกะมือเขาออก เอ่ยบอกเสียงอ่อนค่อยเพราะความเจ็บที่แขน ในดวงตาสีนิลเข้มลดแววกระด้างกระเดื่องลงเมื่อสบกับดวงตาดุกร้าว แล้วจึงอธิบาย
“ก็ในตู้เย็นของคุณไม่มีอะไรให้ฉันทำเลย มีแต่ไข่ ไข่ ไข่ แล้วก็ไข่ แล้วคุณจะให้ฉันทำอะไรให้คุณกินได้ล่ะ เครื่องปรุงรสก็ไม่มี มีแต่ซอส มันกินกับอาหารไทยได้ที่ไหนกัน”
มือหนาคลายแรงบีบออกเธอจึงสะบัดแขนหลุด ใบหน้าสวยยังนิ่ว ช้อนตามองเขาด้วยแววกล่าวหา ยกมืออีกข้างคลำบริเวณที่เจ็บ
...ก็ใช่น่ะสิในตู้เย็นของเขามีแต่ไข่ ไข่ ไข่ อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ เพราะเขาเองทำกับข้าวกินเองซะที่ไหน ทุกครั้งก็มีแต่เดนนิสที่สั่งอาหารจากโรงแรมมาให้ หรือไม่ก็ออกไปกินข้างนอกส่วนที่มีแต่ไข่นั้น เพราะทุกเช้าเขาต้องทานไข่ลวกเป็นประจำ เดนนิสเลยให้แม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดบ้านซื้อมาเก็บไว้ โดยที่ไม่มีของอย่างอื่นที่จะนำมาประกอบอาหารไทยได้เลยสักอย่างเดียว
...เธอทำเมนูนี้ก็ถูกต้องแล้วนี่ ไข่เจียวกับข้าวอาหารจานเบสิกของไทย
...ใช่เขาเองที่ผิด เธอไม่ผิดหรอก แต่มีหรือที่ซาตานร้ายจะยอมรับผิด ร่างสูงหันกลับมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก่อนบอก
“พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปซื้อ”
ชายหนุ่มขยับหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมา มองดูไข่เจียวเหลืองกรอบแผ่นใหญ่วางอยู่บนข้าวเม็ดโตสีขาว กลิ่นก็หอม พลันดวงตาเหลียวไปมองคนที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงมุมพลางคิด... ‘แล้วเธอล่ะ เธอจะกินอะไร ไข่เจียวก็ทำมาอยู่ที่เดียว’ หันกลับไปมองอีกครั้ง คิ้วหนาย่นเข้าหากันติดอยู่กับความคิดครั้นตัดสินใจได้จึงระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับคำบอก
“ไปทำมาอีกที่หนึ่ง”
“ค่ะ...” แม้ไม่เข้าใจ หากเขาต้องการเธอก็ต้องไปทำ
ครู่เดียวหญิงสาวจึงเดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมไข่เจียวหอมฉุยน่ารับประทานเช่นจานแรก วางลงบนโต๊ะใกล้กับมือเขา แล้วก้าวถอยห่างไปยืนก้มหน้าอยู่ตรงจุดเดิม
“มานั่งลง”
“คะ?”
“ฉันบอกให้มานั่ง ไม่ได้ยินหรือไง”
“ค่ะ”
มือบางเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่ง ในใจยังติดอยู่กับความสงสัย แต่อย่างหนึ่งที่คิด ‘เขาคงไม่ให้เธอป้อนหรอกมั้ง มือเท้าก็มีครบ’ พลันไข่เจียวจานที่สองถูกเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าเธอ รษาเงยหน้ามอง
“กิน”
“คุณทานก่อนเถอะค่ะ ฉันทานทีหลังก็ได้”
“กินพร้อมกันจะเป็นไรไป ในบ้านนี้มีแค่ฉันกับเธอ กินอิ่มพร้อมกัน จะได้ไปทำอะไรด้วยกัน...”
ดวงตาเขายิ้มอย่างมีเล่ห์ รษาเงยหน้าขึ้นมองจ้องเขม็งเพราะเธอรู้ความหมายในท้ายประโยค กัดริมฝีปากตัวเองจนซีด มือยังไม่ขยับหยิบจับช้อนส้อม
“เอ้า! ยังเฉยอยู่อีก อย่าคิดว่าฉันจะพิศวาสเธอนักเลยที่ให้เธอมานั่งกินพร้อมกันด้วยก็เพราะ…” หยุดพูดเมื่อคิดหาข้ออ้าง “…เธออาจจะใส่อะไรลงไปในนี้ให้ฉันกินก็ได้ ใครจะรู้”
“...”
“กินสิ!”
ครั้นเขาออกคำสั่งเสียงเข้มอีกครั้งมือบางถึงขยับ ตักอาหารที่ตัวเองเป็นคนประกอบขึ้นเข้าปาก ฝืนเคี้ยวลงคอแต่ละคำอย่างยากลำบากเพราะความอึดอัดใจบวกกับสายคู่คมที่เหมือนจับจ้องเธออยู่ตลอด หยดน้ำในตากำลังรวมตัวกันขึ้นมาปริ่มอยู่ตรงขอบ เธอต้องกลั้นมันไว้อย่างสุดชีวิต...
คำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ของราฟาเอล แต่ในใจแล้วเขาคิดว่า ถ้าเธอไม่กินเช่นเดียวกันนี้ แล้วเธอจะกินอะไร กินตอนไหน
...เป็นห่วงหรือ? บ้าสิ!
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำด้วยกันเป็นครั้งแรกในบรรยากาศเงียบเชียบตัวเขาก็กลับขึ้นไปบนห้อง ส่วนเธอก็ทำหน้าที่แม่บ้านแล้วจึงกลับเข้าไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง
ราฟาเอลคิดกับตัวเองว่า เขาไม่อยากรีบร้อนกับเธอนัก เพราะเวลาที่จะจัดการผู้หญิงคนนี้มีมากเกินพอตั้งสี่เดือน หรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ เธออาจจะได้รับเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ครบก่อนเวลากำหนดก็ได้
วันใหม่...เป็นเวลาเกือบบ่ายรถเมอร์เซเดสเบนซ์ของเดนนิสวิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูบ้านของเจ้านายหนุ่ม
“นายมาได้จังหวะพอดีเดนนิส ฉันกำลังจะออกไปข้างนอก”
เจ้านายหนุ่มบอกหน้าขรึมเมื่อเดนนิสก้าวลงมาจากรถ ครู่เดียวก็มีแม่สาวน้อยที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่เดินออกมาจากในบ้าน มายืนก้มหน้าเงียบถัดจากเขา
“นายจะพาคุณรษาไปซื้อของเหรอครับ” คนถามยิ้มเล่ห์ให้เจ้านาย
“ฉันจะพาผู้หญิงคนนี้ไปซื้อของมาทำอาหารกินต่างหากล่ะ ก็นายไม่ยอมซื้ออะไรไว้ในตู้เย็นให้ฉันเลย นอกจากไข่”
ใบหน้าหันไปมองผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายแวบ ตอบแบบเสียงดังกลบอาการเขินอย่างไรก็ไม่รู้ ส่วนฝ่ายหญิงนั้นได้แต่นิ่ง
“นายโทร.บอกแม็กให้มากินข้าวเย็นที่นี่ ฉันจะกลับมาก่อนสี่โมง”
เดนนิสพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้กับเธอด้วยทำเอาผู้เป็นนายตาขวางอยู่ไม่น้อย
ขณะที่หญิงสาวกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำต้มยำกุ้งอยู่ลำพังนั้น แม็กก็ได้เดินเข้ามาหาเธอในครัว หลังจากวันนั้นแม็กก็ไม่มีโอกาสได้พบเธออีก เขาอยากจะเข้าไปขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“คุณรษาครับ”
“คะ” หญิงสาวหันมามองเพียงแวบ หยิบผักที่ซื้อมาไปล้างเตรียมประกอบเป็นเมนูผัด
คนที่เพิ่งเข้ามาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยคำพูดใดก่อนได้แต่ยืน เก้ ๆ กัง ๆ เหลียวมองตามร่างบางอยู่อย่างนั้น
“คุณแม็กต้องการอะไรรึเปล่าคะ”
“เปล่าครับ ไม่ได้ต้องการอะไร”
แม็กยิ้มแหย เขายังไม่กล้าเอ่ยปากในเรื่องที่อยากพูดเพราะมันน่าละอาย
“เอ่อ คุณรษามีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ผมจะเป็นลูกมือคุณเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันทำคนเดียวได้ คุณออกไปดูแลเจ้านายคุณเถอะ”
หญิงสาวปฏิเสธ พอพูดถึงเจ้านายเหมือนเขาได้โอกาสพูดเรื่องที่คาอยู่ในใจ
“เอ่อ คุณรษาครับคือเรื่องคืนนั้นผม เอ่อ ผม ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้เลยนะครับ ผม...”
“แบบนี้ แบบไหนเหรอคะ”
“ก็...” แม็กพูดไม่ออก
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วระบายออก กัดริมฝีปากตัวเองไว้พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคือง
“คือ ผมไม่รู้จริง ๆ ครับว่าคืนนั้นนายจะมา ผมก็เลยให้คุณขึ้นไปรอคุณสิรีกับคุณเจมส์บนห้อง แล้วพอเราจะกลับผมคิดว่าค่อยขึ้นไปเรียกคุณ”
“แล้วทำไมคุณไม่ขึ้นมา”
“เอ่อ คือคุณเจมส์เมามากเมาจนไม่มีสติ ผมกับสิรีเลยคุยกันว่าจะพาคุณเจมส์กลับไปก่อน”
แม็กพยายามอธิบายเรื่องราวให้เธอฟังด้วยสีหน้าที่เศร้าเหมือนกัน
“แล้วก็ปล่อยฉันไว้ที่ห้องนั้น” หล่อนสวนในคำพูด ริมฝีปากบางเหมือนกำลังยิ้มเยาะในชะตาตัวเองอยู่
“ผมไม่รู้จริง ๆ ครับคุณรษา ผมขอโทษ ผมคิดว่าพอรุ่งเช้าผมจะรีบมารับคุณทันที ผมไม่คิดเลยจริง ๆ ว่านายจะไปที่นั่นคืนนั้น เพราะปกติถ้านายมา นายต้องโทร.หาผมก่อน”
คนต้นเรื่องทั้งหมดอธิบายเสียงอ่อน แววในดวงตาสีเข้มเหมือนกันบอกว่าขอโทษหญิงสาวอยู่เต็มเปี่ยม
“ถ้าคุณบอกฉันตั้งแต่แรกว่าห้องนั้นเป็นห้องของใคร ฉันคงไม่ขึ้นไปเหยียบเป็นแน่”
“ผมขอโทษครับ ผมขอโทษคุณจริง ๆ ผม...”
“ใครเป็นอะไรงั้นเหรอ!”
เสียงดังแทรกขึ้นมาพร้อมร่างสูงของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในครัว ดวงตาคมจ้องมองใบหน้างามสลับกับใบหน้าลูกน้อง การเข้ามาของบุคคลที่ไม่อยากให้เข้ามาในตอนนี้สร้างความอึดอัดให้คนทั้งสองยิ่งขึ้น หญิงสาวยกมือปาดหยดน้ำที่คลอในหน่วยออกหันกลับไปล้างผักอย่างเดิม ส่วนแม็กก็ยังยืนตัวแข็ง ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก กระอึกกระอัก
“เปล่าครับนาย ไม่มีใครเป็นอะไร ผมแค่อยากจะมาช่วยคุณรษา ทำกับข้าวแค่นั้นเองครับ”
“ไม่ต้อง นายออกไปข้างนอกได้ละ” เขาสั่ง
“ครับ”
แม็กรับคำแล้วเดินออกไปหาเดนนิส ดวงตาลอบชำเลืองมองใบหน้าเข้มของเจ้านายที่จ้องมองหญิงสาวอย่างนึกเป็นห่วง