ระหว่างทางเดินจนถึงลิฟต์เราแทบไม่คุยกันเลย ผมยืนห่างจากเธอไม่มากเพราะอยากได้กลิ่นเธอ เอาจริง ๆ โคตรเหมือนโรคจิตเลยว่ะ ไอ้ก้อง
“หมอก้อง”
“ครับ”
“ไม่มีอะไรค่ะ” เธอขยับหนีผมเล็กน้อย ผมเพิ่งรู้ตัวว่าในลิฟต์มีแค่เราสองคน แต่ผมดันยืนใกล้เธอมาก ผมสูดดมกลิ่นจากเส้นผมของเธอ และแอบเผลอสูดหายใจแรง ๆ ไปหลายที...เธอคงรู้ตัว
‘ไอ้ก้องมึงหยุดก่อน..ไอ้โรคจิต’ ทานตะวันคงด่าผมในใจอยู่แบบนี้แน่เลย
“ขอโทษครับ” ผมขยับหนีออกมานิดหนึ่ง
แอบเสียดายอยู่นะ...คนน่าจะเต็มลิฟต์...เต็มจนแน่นคงจะดีกว่านี้...ดีกว่าอยู่สองคน จะได้เบียดได้ไม่น่าเกลียด
บอกได้คำเดียวว่าตอนนี้ผมใกล้แล้ว...ใกล้โรคจิตเข้าไปทุกที
“หมอก้องนั่งก่อนนะ เดี๋ยวเราไปอุ่นข้าวต้มให้”
ผมนั่งโซฟาหน้าทีวีจอใหญ่ ถือวิสาสะกดรีโมตเปิดดูทีวี เสียงถ้วยชามกระทบกันในห้องครัว...รู้สึกถึงความหนักของหนังตา พักสายตาหน่อยดีกว่า
ทานตะวัน Talks
วันนี้เป็นวันที่ฉันตกใจอีกครั้งจากเสียงปลายสายของผู้ชายวันไนต์ของตัวเอง ผู้ที่มาขอกินข้าวต้มที่เขาเป็นคนทำไว้เมื่อเช้า...
ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่าเขาแอบดมผมฉัน ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงตบหน้าหงาย แต่กับคุณหมอก้องภพ ผู้ชายคนแรกและคนเดียวของตะวัน ไออุ่นจากลมหายใจที่เป่ารดหัวฉัน มันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ที่ต้องเรียกเขาให้ขยับห่างไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่กลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามของฉัน...ใจบางจนไม่เหลือใจอยู่กับตัวเองแล้วเนี่ย...ตะวันตายตั้งแต่ยังไม่เข้าห้องแล้วค่ะ...คุณหมอ...ฮือ T_T...ใจแข็งไว้ทานตะวัน
เสียงทีวีที่ดังขึ้นอย่างน้อยก็ช่วยทำลายความเงียบของเราสองคน ความอึดอัดที่ปนความสุขใจ ปนกับความอบอุ่น บอกไม่ถูก มันสัมผัสได้จากส่วนลึกข้างใน เหมือนบางสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต และตอนนี้เราได้สิ่งนั้นกลับมาแล้ว...มันคือหัวใจสินะ ฉันไม่เคยหัวใจเต้นแรงแบบนี้กับใครมาก่อน...หัวใจที่หลุดลอยไปเมื่อห้าปีก่อนอย่างนั้นหรือ
ไม่เข้าใจตัวเองเลย...อยากหนีเขาแต่ดันพาเขาขึ้นห้อง หลังจากอุ่นข้าวต้มและจัดโต๊ะอาหารเสร็จ ก็เดินไปเรียกคนที่เงียบอยู่บนโซฟาตัวยาว
“อ้าว หลับเหรอ” ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเงียบจัง หลับไปเสียแล้ว จะปลุกดีไหม ไม่ดีกว่า สงสัยเขาคงจะเพลีย เพราะเมื่อคืนฉันคงแผลงฤทธิ์ไว้เยอะ แล้วเขายังตื่นมาทำกับข้าวและซักเสื้อผ้าของฉันตากไว้ให้เรียบร้อย นอกจากหน้าตาดี ผู้ชายอะไร งานบ้านงานเรือนก็ดี...ดีขนาดนี้เลยเหรอ
ฉันเดินเข้ามาหยิบผ้าห่มแพรผืนบางมาคลุมคนนอนขดตัวบนโซฟา
“ไม่รู้จะหนาวไหม” ห่มผ้าห่มเสร็จมือเรียวก็ยื่นไปหยิบรีโมตทีวีเพื่อลดเสียงลงนิดหนึ่ง
จากนั้นคนลดเสียงทีวีก็หันมาสำรวจคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน แต่กลับเป็นคนเดียวที่เธอคิดถึงและแอบส่องไอจีเขาตลอด เกือบเผลอกดถูกใจไปตั้งหลายหน...แอบมองเธออยู่นะ...มองตลอด
นอกจากไอจีแล้วฉันได้ยินข่าวคราวของเขาบ้างเป็นบางครั้งจากคำบอกเล่าของหมอปั้นและเมญ่า ฉันก็ไม่กล้าถามตรง ๆ หรอก เพราะเรื่องของเราไม่มีใครรู้ แม้แต่ตัวเขาเอง
คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร...คิดแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บที่อกข้างซ้ายจัง...วูบหวิวในใจแปลก ๆ
เขาคงจำไม่ได้แล้ว แต่ฉันสิจำไม่เคยลืม ถึงอยากจะลืมแค่ไหนแต่ใจก็ดันจำไม่ยอมลืมสักที...ความรู้สึกจมดิ่งกับความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง
ผู้ชายคนนี้ผิวขาวละเอียด โครงหน้าได้รูปสวย คิ้วเข้ม ปากบางได้รูปสีชมพูน่าจูบ...ขนตาเป็นแพสวย จมูกโด่งเป็นสัน คนอะไรหล่อแม้กระทั่งไรผม
ผ่านมาห้าปีแล้วเขาก็ยังดูดีเสมอ...หมอเรียนหนัก ทำงานหนัก แต่ทำไมคุณหมอก้องยังหล่อออร่าอยู่เลย ตอนนี้เขาดูสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก
สายตาของเขายังคงมองหาแต่หมอของขวัญ
ริมฝีปากที่คอยเรียกหาแต่หมอของขวัญ
ครั้งหนึ่งฉันเคยได้ลิ้มรสริมฝีปากหนานั้น มันอ่อนโยนหอมหวานและเสียวซ่าน ไม่คิดว่าริมฝีปากนั้นจะสร้างความปั่นป่วนให้ฉันได้ขนาดนั้น คิดถึงทีไรหน้าฉันก็แดงขึ้นมาทุกที...
พอหมอก้องขยับตัวผ้าห่มแพรก็ร่วงหล่นลงพื้น
นอนดิ้นจังเลยนะคะคุณหมอ
ฉันดึงผ้าแพรคลุมร่างสูงที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา ค่อย ๆ ดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงตรงคอของคนนอนดิ้น ริมฝีปากบางแดงระเรื่อของเขา ช่างยั่วยวนเสียจริง ฉันนั่งคุกเข่าตรงข้างโซฟาตัวยาว พลางจ้องหน้าคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
ปากนี้ยังหวานอยู่ไหมนะ อยากลองชิมจัง...ยังหวานอยู่ไหมนะ ถ้าแอบชิมนิดหนึ่งเขา...จะตื่นไหม
ไม่ดีกว่าเขาต้องตื่นแน่เลย...อื้ม...แต่ว่า...
แค่นิดเดียวคงไม่ตื่นมั้ง...อื้ม...แต่ว่า...
ถ้าเขาตื่นล่ะ...ไม่ชิมดีกว่า...อื้ม...แต่ว่า...