หลังจากหมั้นหมายกันมาเกือบสองเดือนทั้งปรางวรัญและเจติยาก็เจอกันแทบจะนับครั้งได้ ด้วยเป็นช่วงสิ้นปีคาบเกี่ยวไปถึงเทศกาลแห่งความรักอย่างวาเลนไทน์นางเอกสาวที่มีคิวงานเรียกได้ว่าแทบไม่มีวันหยุดพักทั้งถ่ายละครอีเว้นท์ต่างๆทางปรางวรัญเองก็มีโปรเจคใหม่ทั้งโครงการบ้านที่ร่วมกับภาครัฐไหนจะโปรเจคของครอบครัวที่อยากจะจับธุรกิจบริการอย่างเปิดรีสอร์ทซึ่งครอบครัวเธอมีที่ดินที่เคยซื้อทิ้งไว้ที่ปราณบุรีเมื่อหลายปีก่อนและตอนนี้แถวนั้นกลายเป็นทำเลทองแหล่งท่องเที่ยวขึ้นมาแล้ว
"พี่ปออยู่รอประชุมกับท่านผู้ว่าก็แล้วกันค่ะพรุ่งนี้เดี๋ยวปรางไปกับคุณพ่อเอง"
สองพี่น้องปรึกษาหารือกันหลังจากประชุมกับทีมที่รับมอบหมายงานของแต่ละส่วนไปดำเนินการแล้ว
"อืมเอาแบบนั้นก็ได้ เหนื่อยหน่อยล่ะช่วงนี้เราทนเอาหน่อยนะปรางเดี๋ยวเดือนหน้าปุณกลับมาแล้วคงแบ่งเบาไปได้เยอะ อย่างน้อยงานส่วนของปรางพี่ว่าให้น้องดูแลไปเลยก็ได้ แล้วปรางไปช่วยคุณพ่อคุมงานรีสอร์ทดีไหม"
"เป็นความคิดที่ดีค่ะพี่ปอ ปุณจบทั้งวิศวะและบริหารมาน่าจะทำได้ดี มีพี่ปอช่วยอีกแรงปรางไม่ห่วงคราวนี้จะได้ไปลุยช่วยคุณพ่อที่โน่นงานพวกเราก็จะได้เดินไปทั้งสองอย่าง"
เมื่อตกลงหน้าที่รับผิดชอบกันแล้วทั้งสองพี่น้องจึงได้แยกย้ายกันกลับห้องทำงาน เมื่อมีเวลาส่วนตัวเครื่องมือสื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือถึงได้รับความสนใจจากเจ้าของอีกครั้ง
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเมื่อมีข้อความจากคนที่บอกงานรุมแทบไม่มีเวลาพัก แต่วันนี้กลับมีเวลาส่งข้อความมาทักเธอยาวกว่าปกติ
JJ: งานยุ่งหรือเปล่าคะวันนี้
JJ: เจมาถึงภูเก็ตแต่เช้าแล้วนะคะมาเจอมรสุมฝนหลงฤดูตกตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ถ่ายซักฉาก งานนี้สงสัยจะได้อยู่ที่นี่อีกหลายวันถ้าเป็นแบบนี้น่ะ
JJ: อากาศแบบนี้ไม่อยากทำงานเลยค่ะ อยากนอนสลบซักสามวันคงจะดี
ดูเวลาจากข้อความถูกส่งมาตั้งแต่เก้าโมงกว่านี่จะบ่ายสองแล้วป่านนี้อีกฝ่ายจะได้ทำงานหรือยังไม่รู้
Prang: ยุ่งพอสมควรค่ะ ประชุมตั้งแต่เช้าเพิ่งเสร็จตอนบ่าย
Prang: ฝนตกแบบนั้นคุณดูแลตัวเองดีๆล่ะ พรุ่งนี้ปรางต้องไปปราณกับคุณพ่อถ้ามีเวลาจะโทรหานะคะ
สติกเกอร์เด็กผู้หญิงน่ารักกอดกันที่เธอชอบใช้เป็นประจำถูกส่งตามไป พร้อมข้อความสติกเกอร์คำว่าคิดถึงแถมพ่วงไปอีกอัน
รอยยิ้มบางเผยออกมาช่วงนี้แทบไม่เจอกันเลยจะมีเพียงข้อความแชทเท่านั้นที่ถูกส่งไถ่ถามกันแทนการโทรหา ก็เพราะด้วยจังหวะเวลาที่ต่างฝ่ายก็ว่างไม่ตรงกัน นานวันเข้าจากที่แค่ห่วงใยมันเริ่มมีความรู้สึกอีกอย่างตามมาคือคิดถึง กี่วันแล้วนะที่ไม่ได้ยินเสียงหวานๆเง้างอนให้ได้ยินเวลาที่เธอแกล้งเอ่ยเย้าหยอกให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียบ้างเขินบ้างล่ะ คิดๆแล้วก็ขำไม่รู้ตัวเองเป็นอะไรถึงได้ชอบแกล้งอีกคนบ่อยๆสุดท้ายก็ต้องโอ๋ง้อกันไปทุกครั้ง
ทิวายิ้มบางให้คนที่เดินเข้ามายังเต้นท์พักด้วยท่าทางอ่อนล้า หลังจากที่ช่วงเช้าเจอพายุฝนเทลงมาเกือบสามชั่วโมง พอฟ้าเปิดทีมงานก็รีบถ่ายทำฉากที่จะต้องใช้วิวทะเลในละครให้ได้มากที่สุดเพราะไม่รู้ฝนจะเทลงมาอีกตอนไหนมันจะเป็นอุปสรรคและทำให้การทำงานล่าช้าออกไปด้วย วันนี้ฉากที่ถ่ายทั้งกลางวันกลางคืนเลยทำเอานางเอกคนสวยมีสภาพอย่างที่เห็น
"ไหวไหมคะน้องเจ วันนี้ถ่ายไปได้หลายซีนแล้วกัดฟันอีกหน่อยนะคะ"
"ไหวน่ะไหวคะ แต่ตอนนี้เจอยากหลับค่ะพี่ทิวาเหมือนพลังงานในตัวหมดยังไงก็ไม่รู้"
"ถ้างั้นรีบกลับที่พักกันค่ะจะได้พักผ่อนนะนี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว พรุ่งนี้คิวแรกตอนตีห้าครึ่งด้วยถ้าฝนไม่ตกนะคะ"
เจติยาพยักหน้าก่อนจะพากันเดินกลับไปยังโรงแรมที่พักที่ห่างไปไม่ไกลจากสถานที่ถ่ายทำ ร่างกายที่ล้าแทบอยากจะล้มตัวลงนอนทันทีเมื่อเห็นเตียงนุ่มแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างบางรีบเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำไม่นานที่จริงถ้าไม่ดึกหรือมีอาการง่วงขนาดนี้ก็อยากจะนอนแช่น้ำอุ่นสักยี่สิบนาทีให้ร่างกายผ่อนคลายเหมือนกัน แต่สภาพเธอตอนนี้หัวถึงหมอนคงหลับเป็นตาย โทรศัพท์เครื่องหรูที่ไม่ได้แตะมาตั้งแต่เที่ยงวันถูกเปิดขึ้นอีกครั้งไม่มีสายเข้านอกจากข้อความจากคนที่บ้านอย่างมารดาที่จะคอยไถ่ถามกันทุกวันตามปกติ เรียวปากสวยแย้มยิ้มออกมาบางๆเมื่อเห็นชื่อของคนบางคนตอบข้อความกลับมา ข้อความห่วงใยคงไม่ทำให้ใจเต้นแรงเท่าสติกเกอร์สีแดงรูปหัวใจที่มีอักษรตรงกลางว่าคิดถึง
ตั้งแต่หมั้นหมายกันมานี่เป็นครั้งแรกที่ปรางวรัญส่งข้อความนี้ให้กัน คิดถึง เธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกันหรอกเกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกันหลังจากที่เธอไปทานข้าวที่บ้านอีกคนเมื่อเดือนก่อนและมากกว่าสัปดาห์ที่ไม่ได้โทรหากันเลยอย่างวันนี้กว่าเธอจะทำงานเสร็จอีกคนก็คงหลับไปแล้ว
JJ: เจเพิ่งได้กลับที่พักแถมพรุ่งนี้ต้องตื่นถ่ายคิวแรกแต่เช้าอีก
JJ: ปรางก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ฝันดีค่ะ
ชั่งใจอยู่นานสุดท้ายเธอเลยเลือกส่งสติกเกอร์ข้อความของอีกคนกลับไปด้วย เมื่อกดส่งไปแล้วก็นึกขำอยู่เหมือนกันอายุก็ผ่านช่วงวัยรุ่นมาตั้งหลายปีแล้วแต่อาการใจเต้นแรงเขินๆนี่มันทำให้นึกถึงเพลงของพี่โลโซขึ้นมาแบบนี้สินะที่เขาบอกว่า เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่ ตอนเจอกันครั้งแรกเธอก็อายุสิบสี่จริงๆนั่นแหล่ะแต่นั่นมันจะใช่ตกหลุมรักอีกคนตั้งแต่แรกหรือเปล่าก็ไม่รู้
ทิวามาเคาะประตูห้องเรียกดาราสาวตรงเวลานัดเป๊ะ รอไม่นานอีกคนก็เปิดประตูออกมาส่งยิ้มทักทายให้
"เมื่อคืนคงหลับสนิทดีสินี่ เช้านี้ดูหน้าตาสดใสมากเลยนะคะคุณน้อง"
ผู้จัดการเอ่ยเย้านางเอกสาวที่ดูหน้าตาสดใสกว่าปกติ
"หลับเป็นตายเลยละคะถ้านาฬิกาไม่ปลุกเจคงไม่ตื่น"
"ดีแล้วค่ะวันนี้มีพลังเต็มที่แถมอากาศดีเป็นใจหวังว่าพายุจะไม่ทรยศเรานะคะ ป่ะรีบไปกันดีกว่าค่ะน้องเจต้องไปแต่งหน้าแต่งตัวก็พอดีพระอาทิตย์ขึ้น"
"ค่ะ ภาวนาอย่าตกเลยจะได้รีบๆทำงานเจก็อยากพักสักวันสองวันนะคะร่างกายชักไม่ไหวเหมือนกัน"
"จะได้พักหรือเปล่าหรอกตารางงานอีเว้นท์คุณน้องยาวเหยียดถึงวาเลนไทน์เลยนะคะ"
"อีเว้นท์ไม่เหนื่อยเท่าถ่ายละครที่ต้องใช้เวลาทำงานทั้งวันนี่คะ อย่างน้อยเจยังมีวันได้ตื่นสายๆบ้าง ไม่ต้องมาตื่นตามแสงพระอาทิตย์แบบนี้"
"ค่า ช่วงกอบโกยทนเหนื่อยหน่อยค่ะ หลังวาเลนไทน์ไปแล้วคงได้พักกันแหล่ะพี่ว่าถ้าน้องเจอยากพักพี่จะได้งดรับงานให้ดีไหม เดี๋ยวคู่หมั้นเราเขาจะน้อยใจว่าแฟนไม่มีเวลาให้น่ะ" คริคริ
ทิวาเอ่ยแซวอีกคนไปด้วย ที่จริงเมื่อวานปรางวรัญโทรหาเขาฝากดูแลนางเอกสาวแล้วยังถามไถ่ถึงคิวงานของเจติยาไปด้วย และไม่ใช่แค่คิวงานในช่วงนี้อีกคนถามไปถึงคิวงานวันสำคัญของคู่รักทั้งโลกอีก
"จะน้อยใจได้ไงล่ะพี่ทิวา ใช่ว่าเจจะยุ่งคนเดียวปรางเขาก็ยุ่งไม่มีเวลาว่างพอๆกันนั่นแหล่ะค่ะ"
"แหม เข้าใจเห็นอกเห็นใจห่วงใยกันแบบนี้คนไร้คู่อย่างพี่ตาร้อนขึ้นมาเลยค่ะ"
คำพูดกับสายตาล้อเลียนมาอีกแล้ว และนั่นก็ทำให้เธอหน้าร้อนได้ทุกครั้งสิน่า
"ก็เราไม่ว่างกันทั้งคู่จริงๆนี่คะ"
เมื่อไม่รู้จะแย้งอะไรเจติยาเลยต้องตอบไปตามจริงนั่นแหล่ะ
และวันนี้ก็เหมือนว่าฟ้าจะเป็นใจสดใสทั้งวันให้กองถ่ายละครได้ทำงานกันอย่างราบรื่นจนถึงตะวันตกดิน
"พี่ทิวาเดี๋ยวเจขอไปเดินย่อยอาหารที่ชายหาดนะคะ"
"จ๊ะ จะไปโทรหาคนของใจก็ไปเถอะเดี๋ยวพี่ตามไปคะ"
ทิวาเอ่ยล้อเบาๆไม่ให้คนอื่นที่ยังทานอาหารกันอยู่ได้ยิน แต่แค่นั้นคนโดนล้อก็เขินหน้าแดงให้เห็นแล้ว
เจติยาเดินทอดน่องออกมาที่ชายหาดหน้าโรงแรมที่พัก ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนเดินเล่นอยู่บ้างแม้เวลาตอนนี้จะสองทุ่มกว่าแล้ว เมื่อช่วงพักเที่ยงปรางวรัญโทรเข้ามาแต่ตอนนั้นเธอทำงานอยู่จึงไม่ได้รับสาย เมื่อออกมาได้มุมเงียบๆนางเอกสาวก็กดเบอร์โทรกลับหามารดาก่อนคุยกับท่านสักพักถึงได้วางสาย และกดหมายเลขโทรกลับไปยังใครอีกคนที่ไม่ได้ยินเสียงมาหลายวัน
"ฮัลโหล ว่างแล้วเหรอคะ"
เสียงทักทายกลับมาหลังรอสายไม่นาน
"ค่ะ เจเพิ่งทานมื้อเย็นกับกองถ่ายเสร็จเลยออกมาเดินเล่นนี่แหล่ะ แล้วปรางทำอะไรอยู่ นี่กลับกรุงเทพหรือยังคะ"
"ยังอยู่ที่ปราณค่ะพรุ่งนี้ช่างรับเหมาจะเริ่มทำงานเคลียร์พื้นที่เตรียมขึ้นโครงสร้างปรางกับคุณพ่อเลยต้องอยู่ดูก่อน น่าจะอีกสองวันแหล่ะค่ะถึงจะได้กลับ"
"แล้วพักที่โรงแรมเหรอคะ"
"พักที่บ้านพักเราเองนี่แหล่ะค่ะ ปรางยังไม่ได้เล่าให้ฟังเอาไว้ว่างเดี๋ยวจะพามาเที่ยวค่ะ บรรยากาศดีคุณน่าจะชอบนะมีหาดส่วนตัวด้วย"
เจติยาอมยิ้มฟังอีกคน เธอเป็นคนชอบทะเลมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ปิดเทอมทุกครั้งต้องรบเร้าพ่อแม่ให้พาไปเที่ยวตลอดและทุกวันนี้ครอบครัวเธอก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่หัวหินหลังหนึ่งเหมือนกันแต่มันไม่ได้อยู่ติดชายหาดอย่างบ้านที่ปรางวรัญกำลังเล่าให้ฟังตอนนี้
"รับปากแล้วต้องพาเจไปจริงๆนะปราง"
"อันดับแรกปรางว่าเจหาเวลาว่างให้ได้ก่อนเถอะค่ะยังไงปรางก็ต้องมาช่วยคุณพ่อคุมงานก่อสร้างที่นี่บ่อยๆ เมื่อไหร่คุณว่างปรางก็พามาได้ไม่ใช่ปัญหา"
"อืม พูดถึงวันว่างเจว่าจะงดรับงานสักอาทิตย์เหมือนกัน รอปิดกล้องเรื่องนี้ก่อนไม่แน่น่าจะเป็นช่วงสงกรานต์พอดีแหล่ะค่ะ"
"ก็ดีนะ ถ้าคุณว่างช่วงนั้นจะได้ชวนคุณลุงคุณป้าท่านมาเที่ยวพักผ่อนด้วย"
"ค่ะ ไว้ดูเวลาอีกทีนะคะแต่ยังไงเจคงต้องหาเวลาพักแน่ๆล่ะรู้สึกว่าร่างกายล้ามากค่ะ"
เสียงบอกเล่าของนางเอกสาวทำให้คนฟังเผยยิ้มบางๆก็น่าเหนื่อยอยู่หรอกเท่าที่ได้คุยกับทิวาไปเจติยาทำงานทุกวันบางวันกว่าจะได้นอนตีสองก็มี ถ้าเทียบกับเธอแม้จะเหนื่อยก็ยังได้พักผ่อนมากกว่าอีกคนเยอะ
"ถ้าแต่งงานกันไปปรางไม่ให้คุณทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้นะเจ จะว่าไปอยู่บ้านเลี้ยงลูกก็พอ"
โอ้ย คนบ้านึกอยากจะโพร่งอะไรขึ้นมาก็พูดขึ้นโต้งๆ ไม่คิดว่าเธอจะอายบ้างหรือไงนางเอกสาวค่อนขอดอีกคนในใจ
"เจ ฮัลโหล ฟังอยู่หรือเปล่า"
ปรางวรัญเรียกเมื่อปลายสายเงียบไป แต่ดูหน้าจอยังไม่โดนตัด ก่อนที่อีกฝั่งจะพูดออกมาให้เธอกลั้นขำเมื่อได้ฟัง
"ปรางน่ะพูดอะไรมาแต่ละอย่าง แล้วทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าจะให้เจอยู่เฉยๆไม่ต้องทำงานน่ะฮึ"
หึๆ
"ทำได้สิคะใครจะปล่อยให้ลูกเมียลำบากล่ะ เจ เราแต่งงานกันเหอะ"
"ห๊ะ! ปรางอารมณ์ไหนคะเนี่ย"
"ก็อยากมีเจน้อยเร็วๆไงคะ"
"โอ๊ยปรางบ้า เจไม่คุยด้วยแล้ว"
เจติยาหน้าร้อนหูร้อนไปหมด ทำไมถึงชอบพูดให้เธออายอยู่เรื่อยนี่ขนาดมาแค่เสียงเธอยังเขินอายขนาดนี้แล้วถ้าอีกคนมาพูดล้อต่อหน้าเธอคงได้เดินหนีแน่ๆ ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ปรางวรัญชอบพูดถึงเรื่องลูกดูแล้วอีกคนคงจะชอบเด็กอยู่ไม่น้อย
เสียงหัวเราะขำเบาๆมาตามสายเพราะเธอยังไม่ได้กดวางจริงๆ
"เจ"
"คะ?"
"คิดถึงค่ะ"
แค่ข้อความในแชทเห็นแล้วยังใจเต้นแรง แต่ตอนนี้ประโยคที่ได้ยินอย่าว่าแต่ใจเต้นแรงเลยถ้ามันหลุดออกมาข้างนอกได้คงกระเด็นออกไปแล้ว
"เจก็คิดถึงคุณค่ะ ปรางพักผ่อนได้แล้วนะ เดี๋ยวเจจะกลับห้องพักแล้วค่ะ"
แม้จะเขินอายแค่ไหน สุดท้ายเธอก็อยากให้อีกคนรับรู้ว่าเธอก็รู้สึกไม่ต่างกัน สัญญาณหัวใจกระจายความถี่กลายเป็นสีชมพูรอบตัวไปหมดแล้วตอนนี้
"เดี๋ยวค่ะ รู้ไหมตอนนี้ปรางอยากทำอะไร"
"อะไรคะ?"
"อยากกอดคุณ"
คำพูดตรงๆแถมน้ำเสียงยังดูจริงจังอีก ทำให้คนฟังยิ้มออกมาให้กับกรวดหินดินทรายด้วยความขัดเขิน
"กอดหมอนข้างไปก่อนเถอะค่ะ เจจะวางจริงๆแล้วนะฝันดีนะคะปราง"
หึๆ
"ค่ะฝันดีรีบกลับนะคะคิดถึง"
อะแฮ่ม
ทิวาที่ยืนมองอยู่นานเดินเข้ามาหาดาราสาวที่วางสายไปหลายนาทีแต่เจ้าตัวก็ยังยืนแจกยิ้มให้กับดินฟ้าอากาศอยู่อย่างนั้น
"พี่ว่าปลาในน้ำคงสำลักความหวานของคนบางคนไปหมดแล้วละคะตอนนี้"
"บ้า พี่ทิวาก็พูดไป"
คนที่ยังหลงเหลืออาการเขินไม่หายตอบออกไปแต่ก็เก็บรอยยิ้มไม่ได้
"เฮ้อ คนมีความรักนี่หนอ แค่เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งก็ยังฟังไพเราะเสนาะหู แค่ได้คุยกับหวานใจใครบางคนก็ยิ้มจนแก้มปริหุบไม่ลงแร่ะ"
"พี่ทิวาน่ะ ไม่ต้องมาล้อเจเลยนะ กลับห้องพักได้แล้วค่ะจะได้พักผ่อนกัน"
คิกๆ
ทิวาเอามือปิดปากหัวเราะคิกคักเดินตามหลังคนเขิน เจติยาเวลาอายนี่น่าแกล้งมิใช่น้อย ดูใบหน้าหวานนั่นจะบึ้งก็ไม่ใช่จะยิ้มก็ไม่เชิงขนาดไฟสลัวไม่สว่างมากยังเห็นชัดเลยว่านางเอกคนสวยหน้าแดงคอแดงไปหมด สงสัยจะโดนคู่หมั้นหยอดคำหวานชุดใหญ่แน่ๆถึงได้เก็บอาการไม่อยู่แบบนี้
*****
วาเลนไทน์ปีนี้ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดของหลายๆคน สถานที่สาธารณะอย่างห้างใหญ่จึงค่อนข้างมีคนเยอะมากเป็นพิเศษเพราะมีทั้งกิจกรรมและบูธแสดงสินค้ามากมายถูกจัดขึ้นในวันพิเศษแบบนี้ แต่สำหรับอาชีพนักแสดงแล้ววันนี้คงยากที่จะมีเวลาได้หยุดอย่างชาวบ้าน ยิ่งดาราระดับแถวหน้าอีเว้นท์กิจกรรมหลายอย่างถูกว่าจ้างจองคิวมาก่อนล่วงหน้าตั้งแต่ปลายปีที่แล้วก็มี
เจติยาวันนี้มีงานตั้งแต่ช่วงเก้าโมงเช้าจนถึงตอนนี้จะหกโมงเย็นและเป็นกิจกรรมสุดท้ายของเธอสำหรับวันนี้ สองงานเมื่อตอนกลางวันแค่โชว์ตัวร้องเพลงบ้างเล่นกิจกรรมบ้างตามสคริปของผู้ว่าจ้าง แต่งานสุดท้ายออกจะเขินๆอยู่บ้างที่ต้องมานั่งพูดถึงเรื่องราววันแห่งความรักแบบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะพูดไปตามเรื่องตามราวนั่นแหล่ะแต่ตอนนี้เธอไม่ได้โสดแถมความรู้สึกช่วงนี้มันคงจะหนีไม่พ้นคนมีความรักแน่ๆลำพังโดนผู้จัดการอย่างทิวาเอ่ยล้อตั้งแต่เช้าเธอก็ทำตัวแทบไม่ถูกแล้ว ปรางวรัญไม่ได้บอกรักแต่การกระทำของอีกคนทำให้เธอตกหลุมรักมากขึ้นทุกวันต่างหาก
ข้อความที่เปิดเจอตั้งแต่ตื่นนอน มันไม่ใช่สติกเกอร์หรือคำทักทายอย่างทุกวันแต่มันเป็นภาพถ่ายดอกกุหลาบสีขาวดอกใหญ่ดอกหนึ่งวางบนกระดาษที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือข้อความสั้นๆที่อ่านแล้วทำให้เธอยิ้มได้ทั้งวันนั่นแหล่ะ (ดอกไม้สำหรับคนของใจค่ะ Happy Valentine's Day)
ทิวายืนอมยิ้มหลบมุมข้างๆเวทีขนาดเล็กมองไปที่ดาราในสังกัดอดตื่นเต้นในใจไม่ได้เหมือนกันกับสิ่งที่ใครบางคนขอให้เขาปิดเป็นความลับเพื่อเซอร์ไพร้ส์นางเอกสาวที่กำลังโดนพิธีกรเอ่ยแซวเย้าแหย่เกี่ยวกับเรื่องหัวใจ จะรอดไหมนางเอกฉันจะม้วนเป็นกิ้งกืออยู่แล้วตอนนี้ดูแววแล้วความลับคงจะแตกเพราะนักแสดงสาวดันมาอายจนผิดสังเกตุกับชีวิตจริงตัวเองนี่แหล่ะ