เสียงรถยนต์ของบ้านแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ทำให้บุปผาและเพลงขวัญรีบนำอาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ออกไปตั้งโต๊ะ หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ภูริต นุชรีและพิมพ์พลอยก็เข้ามาในบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่พอเหลือบมาเห็นน้องสาวต่างแม่ รอยยิ้มนั้นก็พลันหายไปในพริบตา
“ยัยขวัญ นี่แกยังอยู่อีกเหรอ คิดว่าเรียนจบแล้วพ่อจะไล่มันออกจากบ้านเสียอีก”
“จะไล่ไปได้ยังไงล่ะ มันต้องอยู่ทำงานให้คุ้มกับเงินที่ส่งเสียเลี้ยงดูก่อนสิ” ผู้เป็นแม่ยิ้มตอบพลางประคองโอบกอดลูกสาวไว้
“นี่แสดงว่าจะให้มันลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านต่อไปเหรอคะ พิมพ์เกลียดมันค่ะคุณแม่”
“ไม่เอาน่าพิมพ์ ถึงยังไงขวัญก็เป็นน้องเรานะ” ภูริตเข้ามาสมทบในภายหลังเอ่ยขึ้น
“ไม่ค่ะพ่อ พิมพ์บอกแล้วไงว่าไม่มีทางยอมรับมันเป็นน้อง แล้วก็ห้ามพ่อยอมรับมันเป็นลูกด้วย แค่เราสองคนแม่ลูกยอมให้มันซุกหัวอยู่ในบ้านก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว พิมพ์ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคุณพ่อถึงส่งมันเรียนจนจบปริญญาตรีด้วย”
“ก็เพราะว่าพ่ออยากจะให้ขวัญเขามาช่วยงานที่บริษัทเราไง” ผู้เป็นพ่ออธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่แม้แต่จะปรายตามองเพียงขวัญ ลูกสาวอีกคน
“ตำแหน่งอะไรคะ อย่าลืมนะว่าตำแหน่งประธานบริษัทต้องเป็นของพิมพ์”
“พ่อรู้แล้วน่า อุตส่าห์ส่งไปเรียนจนจบโทจะไม่ให้นั่งตำแหน่งประธานได้ยังไงล่ะ” ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะเล็กของพิมพ์พลอยด้วยความรักก่อนจะเชื้อเชิญให้ทานอาหารพร้อมกันทั้งสามคน เป็นภาพครอบครัวที่ดูแล้วทำให้เพลงขวัญแอบจุกอยู่ลึกๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาผู้เป็นพ่อไม่เคยแสดงความรักกับเธอเลยสักครั้ง
“เอ่อ...พ่อคะ คืนนี้พิมพ์ขอยืมรถหน่อยนะคะ” ในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารอยู่นั้น พิมพ์พลอยก็เอ่ยขึ้นพลางหันไปสะกิดภูริตด้วยสีหน้าออดอ้อน
“จะออกไปไหนเหรอ เพิ่งจะบินมาถึง ไม่พักผ่อนก่อนหรือไง”
“พิมพ์นอนในเครื่องมาจนหลับไม่ลงแล้วล่ะค่ะ พอดีว่าเพื่อนเก่าที่มหา’ลัยเขาอยากเจอพิมพ์น่ะค่ะ เลยว่าจะออกสังสรรค์กันนิดหน่อย”
“พ่อว่าเราพักผ่อนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่าไหม พรุ่งนี้พ่อจะพาเรากับขวัญเข้าไปที่บริษัทด้วย”
“จะให้เริ่มงานเลยเหรอคะ ให้พิมพ์พักให้หายเหนื่อยก่อนไม่ได้เหรอ” หญิงสาวกะพริบตาถี่ทำท่าออดอ้อนจนภูริตนึกขำ
“จะพักผ่อนแต่ออกไปสังสรรค์นี่อ่านะ”
“ให้ลูกออกไปเถอะคุณ โตขนาดนี้แล้ว จะหวงอะไรขนาดนั้นคะ เดี๋ยวลูกก็หาสามีไม่ได้พอดี” นุชรีออกโรงเข้าข้าง ทำให้อีกฝ่ายต้องยอมใจอ่อนไปด้วย
“อืมก็ได้ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะพาขวัญเขาไปก่อนละกัน” ครั้งนี้ภูริตหันไปมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังครู่หนึ่ง ถึงจะเป็นลูกที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ลงว่าแอบภูมิใจในตัวเพลงขวัญอยู่ไม่น้อย นอกจากจะขยันแล้ว ยังตั้งใจเรียนจนได้เกรดนิยมอีกด้วย ถ้าไม่ติดที่นุชรี เขาก็อาจจะส่งเธอไปเรียนที่ต่างประเทศด้วยอีกคน
“ขอบคุณมากนะคะคุณพ่อ”
พิมพ์พลอยคลี่ยิ้มอย่างพอใจ หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงเสร็จ เธอก็ขอตัวขึ้นไปนอนพักโดยที่เพลงขวัญยังต้องตามขึ้นไปช่วยจัดเสื้อผ้าจากกระเป๋าเดินทางด้วย
“ระวังเสื้อผ้าฉันด้วยล่ะ ได้ข่าวว่าทำเสื้อผ้าคุณแม่พังไปไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวเน้นย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นตัวเล็กกำลังจะเปิดกระเป๋าเดินทางออก
“ได้ค่ะ”
“ได้ยินคุณพ่อบอกจะพาแกเข้าบริษัทด้วยนี่ แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครต่อใครเขาล่ะว่าแกเป็นลูกอีกคนของคุณพ่อ” พิมพ์พลอยปรายตามองน้องสาวต่างแม่ด้วยสีหน้าที่แสนจะรังเกียจ
“ค่ะ พี่พิมพ์...”
“อย่ามาเรียกฉันว่าพี่ ฉันไม่ใช่พี่แก ลืมไปแล้วหรือไงว่าแกอยู่ที่นี่ในฐานะคนใช้” อีกฝ่ายเน้นย้ำคำว่าคนใช้ทำให้เพลงขวัญต้องก้มหน้ายอมรับแต่ก็แอบเจ็บอยู่ในใจลึก ๆ ที่เธอไม่สามารถเลือกเกิดได้ พอจัดเสื้อผ้าเสร็จ เธอจึงรีบลงไปช่วยบุปผาทำงานบ้านต่อที่ชั้นล่างทันที
เสียงฟ้าร้องสลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะจนเกิดแสงสว่างวาบทำให้เพลงขวัญรีบเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่ตากไว้ตั้งแต่ตอนสายเข้าไปในห้องที่อยู่ทางหลังบ้านก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะสาดเทลงมาในตอนค่ำพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำของพิมพ์พลอยที่กำลังจะออกไปข้างนอกตามที่นัดกับเพื่อนเอาไว้
“ฝนบ้า จะมาตกอะไรตอนนี้เนี่ย”
“อ้าว พิมพ์ จะไปแล้วเหรอลูก ฝนยังตกอยู่เลย” นุชรีเอ่ยถามเมื่อเห็นลูกสาวลงมาจากชั้นบน
“ขืนรอให้ฝนหยุด คงไม่ได้ไปหรอกค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ” พิมพ์พลอยตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะออกขึ้นรถที่ให้คนขับรถประจำบ้านขับมาจอดไว้ให้แล้วขับออกไปด้วยความเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานบันเทิงใจกลางกรุง
“คัท! โอเค เลิกกองได้”
เสียงผู้กำกับดังขึ้นหลังจากที่ถ่ายทำฉากสุดท้ายของวันเสร็จ ทำให้โฉมสุดา ผู้จัดการสาวรีบนำผ้าห่มไปคลุมไหล่เปลือยเปล่าของนักแสดงในสังกัดที่สวมชุดเข้าฉากเป็นชุดไทยกระโจมอกไว้
“เก่งมากเลยค่ะคุณน้อง”
“ขวัญไม่สบายใจเลยค่ะพี่โฉม ตอนพี่เห็นในกล้อง ท้องขวัญไม่ได้ใหญ่มากใช่ไหมคะ” ขวัญชีวา นางเอกดาวรุ่งของช่องหันมากระซิบถามในขณะที่ปลีกตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ท้องแค่สองเดือน มันมองไม่เห็นหรอกจ่ะ ยิ่งท้องสาวท้องแรกยิ่งมองไม่ออกเลย”
“กว่าจะถ่ายเสร็จ ตอนนั้นท้องของขวัญก็ต้องโตจนผิดสังเกตแล้วแน่ ๆ ” หญิงสาวก้มมองเรือนร่างของตัวเองด้วยสีหน้าตึงเครียดทำให้โฉมสุดาต้องปลอบใจอีกครั้ง
“อีกแค่เดือนกว่า ๆ ก็เสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นก็น่าจะสามเดือน ขวัญตัวเล็กแบบนี้ยังไงก็มองไม่ออกหรอก”
“ขวัญกังวลไปหมดเลยค่ะพี่ กลัวว่าถ้าแถลงข่าวออกไปว่าขวัญท้องแล้วแฟนคลับเขารับไม่ได้ ขวัญคง...”
“อย่าคิดมากสิ แฟนคลับสมัยนี้เขาเปิดกว้าง เสพแต่ผลงานกัน ไม่ใช่ยุคก่อน ๆ กันแล้วนะ” อีกฝ่ายยังคงให้คำปลอบใจในขณะที่ช่วยถอดเครื่องประดับออกให้จนเหลือแค่เสื้อผ้าที่ต้องเปลี่ยน “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่โฉม ขวัญว่าขับรถกลับเองน่ะค่ะ จะไปรับเมศร์ด้วย เห็นว่ามาไฟลต์ดึก”
“อ้าวนี่คุณราเมศร์มากรุงเทพฯ เหรอ” โฉมสุดาดูตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ค่ะ เรามีนัดไปฝากท้องด้วยกัน รอให้ทุกอย่างลงตัวก็จะจัดงานแต่งเลยค่ะ”
“โอเค พี่คงไม่ต้องไปเป็นก้างขวางคอหรอกใช่ไหม งั้นพี่กลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ตอนบ่าย อย่าหวานจนลืมนัดล่ะ”
“ค่ะพี่ ขวัญไม่ลืมหรอก” ขวัญชีวารับปาก พออีกฝ่ายออกไปเธอก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกลาทีมงานเพื่อเดินทางไปรับราเมศร์ แฟนหนุ่มที่คบหากันมาสามปีแต่ยังไม่ได้เปิดตัวออกสื่ออย่างเป็นทางการ คิดเอาไว้ว่าถ้าถ่ายละครเสร็จก็จะจัดแถลงข่าวเคลียร์ทุกประเด็นพร้อมกันทีเดียวทั้งเรื่องท้องและเรื่องแฟน
ซ่า...
ยังไม่ทันได้สตาร์ตรถ อยู่ ๆ ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยทำให้หญิงสาวลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิดเอาไว้ว่าจะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยไป แต่พอเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว เธอจึงต้องขับรถฝ่าสายฝนมุ่งหน้าไปยังสนามบินทันที
“ป่านนี้พี่เมศร์คงจะรอแย่แล้ว”
ขวัญชีวาบ่นพึมพำ เมื่อขับรถออกมาถึงถนนใหญ่เธอก็รีบต่อสายหาราเมศร์ด้วยกลัวว่าเขาจะรอนาน
(ว่าไงครับผม)
“พี่เมศร์มาถึงนานหรือยังคะ”
(เครื่องเพิ่งแลนด์ดิ้งน่ะครับ) อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี
“แย่จัง ขวัญขอโทษด้วยนะคะ เลิกกองซะดึกเลย”
(ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวพี่ให้คนมารับดีกว่า เจอกันที่บ้านเลยนะ หนูจะได้ไม่ต้องขับรถไกลด้วย)
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พี่เมศร์หิวไหมคะ ขวัญจะได้แวะซื้ออะไรไปกินกัน” เธอถามต่อ สายตายังจับจ้องไปยังท้องถนนเบื้องหน้า เป็นเพราะฝนที่ตกลงมาค่อนข้างหนาจึงทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่มองอะไรแทบไม่เห็นเลยสักนิด
(พี่ว่าหนูน่าจะหิวมากกว่านะ ไม่ใช่พี่)
“ไม่ต้องมาแซวเลยค่ะ ก็ขวัญท้องอยู่นี่คะ มันก็ต้องหิวบ่อยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
(งั้นหนูอยากกินอะไรก็ซื้อมาเถอะค่ะ พี่กินอะไรก็ได้)
“ได้ค่ะ...งั้นเดี๋ยวจะซื้อข้าวหน้าเป็ดเจ้าโปรดของพี่เมศร์ไปให้นะคะ”
(ค่ะ ขับรถดี ๆ นะ) ราเมศร์เน้นย้ำด้วยความเป็นห่วงเพราะขวัญชีวาไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อนแล้วแต่ยังอุ้มท้องลูกในท้องของเขาด้วย
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำก่อนจะวางสายไปแล้วเปลี่ยนเส้นทางเลี้ยวสู่ถนนอีกสายเพื่อแวะซื้อข้าวหน้าเป็ดที่รับปากเอาไว้ พอมาถึง ฝนก็เริ่มขาดเม็ดพอดีแต่คนค่อนข้างเยอะ เธอจึงต้องวนหาที่จอดรถค่อนข้างไกลจากร้านแล้วอาศัยเดินข้ามถนนเอา
ครืด...
เสียงมือถือดังขึ้นอีกครั้งในตอนที่ขวัญชีวากำลังจะเปิดประตูรถออกไป เธอมองหาร้านขายอาหารโต้รุ่งข้างทางที่จำได้ว่าเคยมากับราเมศร์ครู่หนึ่งแล้วรีบสวมมาสก์ปิดบังใบหน้าไว้เพราะไม่อยากให้ใครสังเกตเห็นก่อนจะกดรับสายเขาที่โทรเข้ามา
“ค่ะพี่เมศร์”
(พี่มาถึงบ้านแล้วนะ หนูอยู่ไหนแล้วคะ) ปลายสายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ขวัญมาซื้อข้าวน่ะค่ะ พอดีว่าคนเยอะเลยหาที่จอดนานหน่อย”
(สั่งเอาก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากเลย)
“ไม่ทันแล้วค่ะ ขวัญมาถึงหน้าร้านแล้วเนี่ย” เธอว่าก่อนจะวิ่งข้ามถนนไปอีกฟาก พอสั่งข้าวเสร็จก็กลับไปขึ้นรถที่จอดอยู่ทั้งที่ยังไม่วางสาย
(กลับมาได้แล้ว คิดถึงจะแย่แล้วเนี่ย)
“กำลังจะกลับแล้วค่ะ กรี๊ด!”
โครม!
ในขณะที่กำลังจะข้ามถนนตรงทางม้าลายอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีรถฝ่าไฟแดงจากทางข้างหน้าขับมาด้วยความเร็วเพราะคนขับกำลังเมาได้ที่จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนข้ามถนน พอเห็นว่าไฟเขียวกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็รีบขับฝ่ามาจนชนเข้ากับร่างของขวัญชีวาเข้าอย่างจัง
สมาร์ตโฟนที่เธอถืออยู่กระเด็นตกลงพื้นจนหน้าจอแตกได้ยินเสียงราเมศร์แว่วมาจากปลายสายแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบกลับ รู้สึกเจ็บไปทั้งตัวโดยเฉพาะที่ท้อง รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ที่เฝ้าทะนุถนอมมาตลอดกำลังจะจากไป
(ขวัญ เกิดอะไรขึ้นขวัญ)
“ฮือ...พี่เมศร์” ดวงตาคู่สวยพร่าเลือน เพราะมีเลือดมากมายไหลปรกลงมา มือเรียวพยายามเอื้อมไปหยิบมือถือเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากปลายสายก่อนที่ดวงตาของเธอจะเหลือบไปเห็นคนขับชะโงกหน้าออกมาผ่านกระจกรถ
“ตายแล้ว นี่ฉันขับรถชนคนเหรอเนี่ย” พิมพ์พลอย ซึ่งอยู่ในสภาพที่เมาได้ที่เพราะเพิ่งกลับออกมาจากผับกำลังจะกลับบ้านอุทานลั่นด้วยความตกใจจนแทบจะสร่างเมา "ตายหรือเปล่าล่ะนั่น"
(ขวัญ ตอบพี่หน่อยสิ) เสียงราเมศร์ตะโกนถามมาจากปลายสายด้วยความร้อนใจ แต่ขวัญชีวากลับไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับตัวไปหยิบมันขึ้นมา
“ฮือ...พี่เมศร์ ขวัญเจ็บ...”
“เอายังไงดีวะเนี่ย” คนขับครุ่นคิด เหลือบไปเห็นคนกำลังข้ามถนนมาดูยังต้นเสียงก็รู้สึกกลัว “ช่วยไม่ได้ เธอข้ามถนนไม่ดูเองนะ”
พิมพ์พลอยโบ้ยความผิดให้ขวัญชีวาซึ่งราเมศร์ที่อยู่ในสายก็ยังได้ยิน ถึงจะฟังไม่ชัดแต่ก็พอจะจับใจความได้
(ขวัญ ขวัญถูกรถชนเหรอขวัญ เป็นอะไรมากหรือเปล่า ตอบพี่หน่อยสิ)
“มีคนถูกรถชนมาช่วยหน่อยเร็ว” เสียงพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์หันไปตะโกนบอกคนอื่น ๆ ให้มาช่วยทำให้คนขับยิ่งกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข
“ทำยังไงดีเนี่ย” พิมพ์พลอยเหลือบมองร่างบางที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นถนนในสภาพที่เลือดไหลนองอาบกายก่อนจะตัดสินใจถอยรถเพื่อจะขับหนี แต่เป็นเพราะว่าสติของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้ไม่ทันระวังขับรถพุ่งทับร่างนั้นซ้ำอีกครั้ง
“โอ๊ย อะไรกันวะเนี่ย เพิ่งจะกลับมาก็ซวยตั้งแต่วันแรกเลย” หญิงสาวบ่นพึมพำอย่างคนหัวเสีย รีบถอยรถอีกครั้งแล้วหมุนพวงมาลัยขับออกไป ทำให้คนที่วิ่งจะมาช่วยรีบขวางรถเอาไว้
“ชนแล้วจะหนีเหรอ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ”
“จอดให้โง่น่ะสิ” คนขับรีบเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าออกสู่ถนนใหญ่ อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกระจกหลัง เห็นร่างของขวัญชีวายังนอนอาบกองเลือดอยู่ที่เดิม “ถือซะว่าถึงคราวของเธอก็แล้วกันนะ ช่วยไม่ได้ อยากข้ามถนนไม่ดูเอง”