4

4034 Words
  เด็กสาวที่ชื่อบีงึมๆงำๆแล้ววิ่งออกไปดู ณิชาจึงก้มหน้าเตรียมของไปเรื่อย เรียบร้อยแล้วนึกขึ้นได้ว่าเด็กที่เป็นลูกมือหายไปนาน พอหันกลับจะไปดูว่าใครกันมาแต่เช้า ถึงได้พบว่าแววตาคู่ที่เคยคุ้นมองจ้องอยู่ทางด้านหลัง ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนแล้ว ยังไม่ทันอ้าปากทัก เขาว่าขึ้นก่อน “โดนคุณแม่ดุแค่นี้ต้องหนีมานอนบ้านเลยหรือณิชา” ดุ ? นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเธอพบกับคุณอารยา มารดาของธีร์ และท่านว่ากล่าวเรื่องที่บ้านไม่สะอาดเรียบร้อย ก็ค่อยจำได้ อันที่จริงเธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำเรื่องที่มารดาของเขาว่ากล่าวเรื่องบ้านไม่เรียบร้อยนั่น แต่ก็คร้านจะแก้ตัวอะไรให้มากความ บอกเขาไปตามจริง “ณิชมาดูแม่ศรีค่ะ ท่านไม่ค่อยสบาย” ธีร์เลิกคิ้ว ถามไม่เชิงหมิ่นแต่ฟังแล้วฉุนขึ้นมาแทบทันที “เป็นอะไรหรือครับ ก็เห็นสบายดีอยู่นี่” หญิงสองคนต่างวัยหน้าตึงกันไปตามๆกัน คุณสดศรีเบือนหน้าหนีอย่างไม่ชอบใจนักกับความเย่อหยิ่งไม่อยากนับญาติของชายหนุ่ม ณิชาเองก็ร้อนวาบไปทั่วใบหน้านวลใสด้วยความไม่พอใจเล็กๆที่ถูกเขาย้อนเอาเหมือนกับว่าเธอเป็นคนปลิ้นปล้อนตลบตะแลงอย่างไรอย่างนั้น คงนึกว่าเธอมาบ้านที่ปทุมเพราะน้อยใจกับคำต่อว่าของมารดาเขา พอดีว่าถึงเวลาที่พระภิกษุจะมาบิณฑบาต จึงพากันทยอยนำของไปรอที่หน้าบ้านโดยมีธีร์ตามมาด้วย ตักบาตรเรียบร้อย นางสดศรีให้คนพาพยุงเข้าบ้านไปแล้ว ณิชาจึงหันหน้ามาบอกเขา         “แม่ศรีเป็นลมค่ะ ณิชเลยว่าจะขออยู่ดูแม่ศรีสักสามสี่วัน”         ธีร์พยักหน้ายิ้มๆแล้วว่า “ได้ งั้นผมอยู่ด้วย”         ได้ยินแบบนั้นแล้วเลยถามเขาออกไปทันที นึกหวั่นหากว่าธีร์มาอยู่ด้วยจริง อาการของแม่ศรีคงไม่ดีขึ้นแน่ รู้อยู่เต็มอกว่าท่านออกอาการชังธีร์อยู่ไม่น้อย แล้วเลยเลี่ยงไปถามอย่างอื่นแทน ถามเพื่อไม่ให้เขาสมความตั้งใจที่จะมาอยู่ที่บ้านนี้อย่างที่บอกในคราวแรก “คุณ...ไม่ต้องทำงานหรือคะ” “งานของผมทำที่ไหนก็ได้” ธีร์ว่าไปนั่น แล้วเข้ามาจนชิดโน้มหน้ามากระซิบบอกให้ได้ยินกันสองคน “ดีเหมือนกันได้เปลี่ยนสถานที่บ้าง”         ณิชาหน้าชาวาบ อายนั่นก็มีแต่โกรธแทรกเข้ามาแทนที่ได้มากกว่า เขาเห็นเธอเป็นอะไร ที่ระบายความใคร่ใช่หรือไม่ น่ารังเกียจนัก แล้วสูดลมหายใจลึกๆพยายามระงับความไม่พอใจเอาไว้ บอกเขาคล้ายตัดบท         “งั้น...ณิชไปเตรียมห้องนอนให้คุณธีร์นะคะ” ธีร์ยิ้มพรายค่อมศรีษะพร้อมตอบรับ “ขอบคุณมากครับ”        ไม่ว่าเธอจะทำอะไรในบ้านก็จะมีธีร์คอยเฝ้ามองและเดินตามไปมาอยู่ไม่ห่าง ซ้ำกิริยาของเขาที่แสดงต่อเธอ ยิ่งทำให้นึกถึงคำพูดของปารมีที่ว่า ธีร์ดูเหมือนจะรักเธอ เขาแค่ทำท่าทีให้ดูเหมือนเท่านั้น แต่ความจริงไม่ใช่แม้แต่นิดเดียว ขณะรับประทานอาหารก็จะตักอาหารบริการให้อยู่ตลอด จวบจนเสร็จสิ้นมื้อเย็นแล้ว นางสดศรีเข้าห้องของตนเองไป เธอจึงพาเขาไปยังห้องพักที่เตรียมไว้ให้ เดินนำเข้าไปด้านใน ปิดประตูลงแล้ว จึงเอ่ยปากถามธีร์ด้วยเรื่องที่รบกวนหัวใจของเธอมาตลอดตั้งแต่เมื่อวาน         “คุณธีร์ซื้อที่ของคุณพ่อหรือคะ”         “ที่อะไรครับ” ธีร์มองคนที่ยืนกอดอกถามน้ำเสียงจริงจังด้วยสายตาเปี่ยมปรารถนา เขาหรือเร่งทำธุระแทบแย่ เมื่อเด็กในบ้านโทรไปบอกว่าคุณณิชายังไม่กลับมาเลยจนล่วงเข้าสี่ทุ่มไปแล้ว ท่าทีสงบนิ่งของธีร์ยามได้ฟังคำรายงานที่เขาสั่งไว้ให้ตามดูเมียตัวน้อยอย่าให้คลาด แต่ใจกลับร้อนวูบทุรนทุรายประหลาดนัก พอรู้ว่าณิชาไม่กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน เขาถึงต้องแล่นฉิวกลับมาก่อนกำหนด คาดไว้ไม่ผิดว่าเธอต้องมาหลบอยู่ที่นี่ ให้ตายเถอะ เขาเสพย์ติดเรือนร่างนี้แล้วหรือไร ห่างไปแค่คืนเดียวให้รู้สึกเหมือนกับคนติดยาที่กำลังจะลงแดงตาย ธีร์เดินเข้าไปใกล้เพื่อจะได้สูดกลิ่นหอมอ่อนๆที่จำได้แม่นมั่นว่านี่คือกลิ่นของภรรยาเขาเอง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ความต้องการของเขา เธอเดินหลบไปอีกทาง แล้วถามเรื่องที่อยากรู้อีกครั้ง         “ที่ที่เชียงใหม่ค่ะ”         “เอ...ผมจำไม่ค่อยได้ด้วยสิ”         ธีร์ใช้จังหวะที่เธอยืนนิ่งเข้ามากอดรัด แต่ณิชาต่อต้านเพราะอยากคุยกับเขาให้รู้เรื่องเสียก่อน “คุณธีร์ไปเชียงใหม่คราวนี้ แวะซื้อที่กี่แปลงคะ ทำไมถึงจำไม่ได้” “กล้าซักผมขนาดนี้เชียวหรือณิชา”         ไม่ตอบแถมยังถามกลับ ท่าทีของเขาเหมือนจะขย้ำเธอให้จมเขี้ยวเสียเดี๋ยวนี้แหละ ก็พอดีเสียงเคาะประตูด้านหน้าดังขึ้นเสียก่อน ตามมาด้วยเสียงเรียกที่เหมือนระฆังช่วยชีวิต “คุณหนูณิชคะ คุณท่านเรียกหาค่ะ” ณิชาอาศัยจังหวะที่เขาชะงักปนหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะมีคนมาขัด พาตัวเองไปที่ประตู ตรงออกไปยังห้องนอนของนางสดศรี ด้วยใจที่ค่อยๆเต้นช้าลง โดยมีสายตาคมๆดุๆมองตามหลังมาอย่างคาดโทษ เอาเถอะ กลับบ้านเมื่อไร เขาค่อยจัดการชำระความทีเดียว เสียงนกร้องตรงหลังคานั่นเองที่ปลุกให้ตื่นแต่เช้า อากาศเย็นชื้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ทำให้หนาวมากมายจนต้องคว้าเสื้อมาใส่คลุมอีกชั้น ชายหนุ่มคนเดียวในบ้านลุกออกจากเตียงนอนที่ครอบครองคนเดียวตลอดคืน ล้างหน้าตาแล้วจึงเดินตรงออกไปที่ด้านนอก มองสภาพของบ้านที่กระเบียดไปทางเก่าด้วยสายตาครุ่นคิด ส่วนที่สร้างจากปูนมีรอยแตกร้าวอยู่หลายรอย ในส่วนที่เป็นไม้ก็ดูเสื่อมโทรมไปค่อนข้างมาก ธีร์คาดการณ์บางสิ่งในใจแล้วละสายตาเดินตรงไปเบื้องหน้าจนได้ยินเสียงคุยดังๆหยุดๆออกจากห้องห้องหนึ่งของบ้านที่ด้านหลัง ทำให้ธีร์ต้องหยุดยืนมอง ถึงได้พบว่าภรรยาของตัวเองกำลังหันหลังเล่าเรื่องที่ฟังดูผ่อนคลายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนให้คนในบ้านฟัง น้ำเสียงสดใสผิดจากที่พูดคุยกับเขานั่นก็ด้วย กอดอกมองอยู่ครู่ คนอื่นๆเห็นเขาเลยพลอยเงียบกันไป ปล่อยให้หญิงสาวที่ยืนเตาอยู่ตรงนั้นคุยไปคนเดียวเรื่อยเปื่อย พอถามแล้วคนอื่นเงียบจึงค่อยหันมามอง เห็นธีร์แล้วใบหน้ายิ้มแย้มชะงัก ก่อนเอ่ยปากถามเขา “คุณธีร์ รับมื้อเช้าเลยไหมคะ” “ยังก่อน เช้ามากผมกินอะไรไม่ลง นั่นทำอะไร” “ต้มจืดใส่บาตรเช้านี้ค่ะ” ธีร์พยักหน้าไม่ได้พูดว่าอย่างไรแล้วเลือกนั่งลงมองสาวๆในนั้นขมีขมันเตรียมข้าวสวยใส่ขัน ตักอาหารคาวหวาน ที่เขาเห็นอย่างหนึ่งล่ะเป็นต้มจืดเต้าหู ผัดผักรวมมิตร แล้วก็กล้วยบวชชีใส่ในปิ่นโตจนครบชั้น พร้อมดอกบัวที่จัดแต่งกลีบอย่างละเมียดอ่อนช้อยวางลงบนพาน ณิชายืนมองหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแล้วบอก “ณิชจะลงไปใส่บาตรนะคะ” “ไปสิ ผมไปด้วย”            ธีร์ว่าแล้วเข้าไปยกพานใส่ข้าวของสำหรับใส่บาตรเช้ากับเด็กสาวที่เป็นหลานของป้าแหม่ม ทางนั้นพอยื่นพานให้ธีร์ก็อายม้วน เพราะความหล่อเหลาของเขานั่นเอง ที่ทำเอาเด็กสาวใจสั่นหวั่นไหว “แม่ศรีไม่ใส่บาตรด้วยหรือ” “ให้เด็กไปตามแล้วค่ะ” แต่หากว่าท่านรู้จากเด็กที่ให้ไปตามว่าธีร์รอใส่บาตรด้วย ท่านคงไม่อยากทำบุญร่วม ณิชาคิดอย่างไม่สบายใจนัก แล้วก็เป็นอย่างที่คาด นางสดศรีไม่ลงมาตักบาตรเหมือนทุกที ท่านบอกว่าเวียนศรีษะและขอรับมื้อเช้าที่ห้องของท่าน จะไม่ลงมาร่วมโต๊ะในเช้านี้ ธีร์ไม่แสดงอาการใดๆ เขายังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าให้เห็นอยู่อย่างนั้น ราวกับไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่แยแสว่าใครจะคิดอย่างไรกับตนเอง “พี่หนูณิชมาหรือฮะ” เสียงถามแจ๋วๆดังมาจากทางบันไดหลังบ้าน ณิชายิ้มเพราะจำเสียงนั้นได้ ถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มที่น้อยครั้งนักที่ธีร์จะได้เห็น “ใครเอ่ย” “เปรียวเองฮะพี่หนูณิช” “ขึ้นมาบนบ้านเร็ว” ครู่เดียวเสียงเดินขึ้นบนพื้นบ้านที่ทำจากไม้สักปนไม้มะค่าเกือบๆเก้าสิบเปอร์เซ็นของบ้านก็เงียบลงเมื่อคนมาใหม่หยุดยืนยิ้มเผล่ส่งมาให้พร้อมถุงพลาสติกบรรจุผลไม้เต็มถุงสองมือ “แม่บอกว่าพี่หนูณิชมา ผมเลยไปเก็บตะลิงปลิงมาให้ฮะ” “ขอบใจจ๊ะ พี่มาไม่ได้ตั้งใจเลยไม่ได้เอาของมาฝากเปรียวเลย” “ไม่เป็นไรหรอกฮะ ได้เห็นหน้าพี่หนูณิชผมก็ดีใจแล้ว” “ป้อเก่งแต่เล็กเชียว” แล้วเสียงอีกเสียงก็ดังแทรกมาจากคนที่นั่งเงียบมานาน เด็กชายเปรียวโยกตัวมองหาคนพูด พอเห็นคนแปลกหน้าเลยถามขึ้นตรงนั้นเลยตรงๆ ตามประสาเด็กไม่กลัวอะไร “ใครหรือฮะ” ณิชาแนะนำชายต่างวัยให้รู้จักกันกลายๆ “คุณธีร์จ้ะ” “สามีคุณณิช” เจ้าของชื่อบอกสถานะตามมาในทันที เด็กชายได้ยินแบบนั้นแล้วหุบยิ้มลงฉับ เพ่งมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนักก่อนว่า “ทำไมแก่จัง” เสียงเด็กชายว่าขึ้นทำเอาณิชาที่กำลังยกแก้วขึ้นจิบสำลักน้ำในทันที เอ็ดไม่จริงจังนัก “เปรียว” เด็กชายตอบรับอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “ฮะ” “เอาตะลิงปลิงไปล้างให้พี่หน่อยไปเดี๋ยวจะแช่อิ่มไว้ให้กิน แล้วเอาคุกกี้ใส่กล่องไปกินด้วยนะ พี่ทำเอาไว้แยะเชียว” “ฮะ ขอบคุณมากฮะ พี่หนูณิชคนสวย แถมใจดีด้วย” “ผมอิ่มแล้ว” ธีร์บอกขึ้นบ้างเสียงติดขรึมเล็กน้อย ทั้งยังคิดตะงิดในใจว่าจะสั่งสอนเด็กนั่นอย่างไรดี แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เกิดมายันแก่ เอ่อ...ยันโตปูนนี้ ยังไม่เคยมีเรื่องกับเด็กเลยสักคนเดียว แต่เด็กคนนี้มันเหลือขอจริงๆ ณิชาเม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนที่เหมือนกับว่าตัวเองกุมโลกเอาไว้ทั้งใบแปรเปลี่ยนไปเพราะถูกทักว่า ‘แก่’ แม้ความจริงแล้วธีร์จะไกลจากคำว่าแก่ก็ตามทีแต่คงเสียความมั่นใจไปประมาณหนึ่ง ในเมื่อคนที่ทักว่าเขาแก่นั่นเป็นแค่เด็กชายอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ ณิชารับคำเบาแสนเบาแล้วลุกขึ้นเก็บของบนโต๊ะเข้าไปไว้ในครัว เห็นเด็กชายยืนกรอกคุกกี้ลงกล่องพลาสติกแข็งพลางหยิบเข้าปากไปพลาง “อร่อยมากๆเลยฮะพี่หนูณิช” “เอาไปหมดเลยก็ได้เปรียว เดี๋ยวบ่ายนี้พี่จะทำอีก” “พี่หนูณิชทำนานไหมฮะ” “ไม่นานหรอกจ้ะ” “อร่อยแบบนี้น่าเอาไปขายงานวัดคืนนี้นะฮะ” “งานวัด วัดไหนเปรียว” บี เด็กสาวหลานป้าแหม่มถามด้วยท่าทีอยากรู้ นัยว่าอยากไปอยากเที่ยวด้วย “วัดบ้านเราเนี่ย เย็นนี้เขามีงานไงพี่บี” เปรียวรีบบอก ได้ยินว่ามีงานวัด บีหัวขวับมาทางณิชาทันที “น่าไปจัง คุณณิชไปไหมคะ” ณิชายิ้มแล้วว่า “ไม่ไปหรอก พี่ไม่ชอบไปงานที่คนพลุกพล่านเยอะแยะ” “ว้า ถ้าคุณณิชไม่ไป ป้าแหม่มต้องไม่ให้ไปแน่ๆเลย” บีบ่นอย่างแสนเสียดาย ณิชายิ้มแล้วนึกได้ว่าปล่อยให้คนมาเยือนนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหาร จึงรีบสั่งงานแล้วออกไปดู ก็เห็นว่าเขายังคงนั่งรออยู่ที่เดิมไม่ลุกไปไหน พอสบเข้ากับสายตาคมเข้มของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีพลันใบหน้าร้อนวาบด้วยความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เขารออยู่แบบนั้น “คุณธีร์อยากออกไปนั่งที่ท่าน้ำไหมคะ เอนหลังย่อยอาหาร ณิชจะให้เด็กออกไปทำความสะอาดรอค่ะ” “ผมเดินไปดูมาแล้ว ไม่ได้สกปรกอะไรมาก ขอเสื่อปูรองก็พอ” “ค่ะ” ว่าแล้วเดินกลับเข้าไปหยิบเสื่อกกทอมือลายสวยแบบพับได้สามทบ พร้อมไม้กวาดเดินนำไปที่ศาลาท่าน้ำไม่ห่างจากตัวบ้านเท่าไรนัก พอเดินมาเรื่อยธีร์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “อากาศดีนะที่นี่” “ใช่ค่ะ ช่วงเพลจะมีเรือของตายายบุญมีมาขายพวกก๋วยเตี๋ยวเรือด้วยนะคะ น่ารักนะคะแกชื่อบุญมีทั้งตาและยายเลยล่ะค่ะ มีขนมใส่ไส้อันเล็กๆแล้วก็ขนมถ้วยมาขายด้วย แกว่าแกทำสดใหม่ทุกวัน รสชาติดีค่ะ ไม่หวานมาก ถ้าคุณธีร์สนใจ…” “น่าไปเป็นพีอาร์” เขาพูดยิ้มๆขึ้น ณิชาหยุดแล้วถามเขากลับ “อะไรนะคะ” “ผมว่า คุณน่าไปเป็นพีอาร์ของเครือ นี่พูดจนจากที่ผมอิ่มแล้ว ชักอยากกินก๋วยเตี๋ยวเรือกับขนมของตายายบุญมีอย่างที่คุณว่าขึ้นมาเชียว” ไม่รู้ว่าเขาพูดด้วยอารมณ์ชนิดไหน ณิชาเลยนิ่งงันไปพอดีกับที่เดินมาถึงศาลาท่าน้ำ หญิงสาวเจ้าของสถานที่จัดแจงปัดกวาดบนโต๊ะแล้ววางเสื่อกกทอมือลงตรงนั้น ค่อยลงไปจัดการพื้นจนสะอาดพอใช้ได้ค่อยปูเสื่อลงจนเรียบร้อย เตรียมอัญเชิญเขาลงนั่งพักผ่อน พอหันหน้ามาก็พบว่าเขากอดพิงเสาศาลามองสำรวจไปทั่วเรือนกายด้วยสายตาบ่งบอกความต้องการชนิดว่าปิดไม่มิดเท่าใดนัก “อากาศดีนะที่นี่ ทำเลดี แม่คุณเขาจะขายไหม” จบคำถามของเขาก็ทำเอาเส้นความอดทนของณิชาขาดผึงลงทันที เขาคิดว่ามีเงินจะซื้ออะไร ตรงไหนก็ได้อย่างนั้นหรือ มีเจ้าของที่อีกไม่น้อยที่ไม่ใช่พวกร้อนเงิน แบบที่เขาเจอมา “ไม่ขายหรอกค่ะ” “แน่ใจได้ยังไง บางทีได้ยินราคาแล้ว อาจจะหายหยิ่งก็ได้นะ” “ขอตัวนะคะ จะไปเตรียมของว่างให้ค่ะ” ณิชาผละจากมาด้วยอารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงนัก นั่นก็เพราะถูกธีร์กวนจนตะกอนขุ่นมัวไปหมดแล้ว เดินเข้ามาในห้องครัวแล้วลงมือเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำขนม ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการหัวร้อนตะกอนอารมณ์ขุ่นมัวจากใครบางคนได้อีกด้วย “คุณหนูณิชขา เพลแล้วนะคะ” ณิชาไม่ได้หยุดมือแล้วสั่งขณะที่กำลังก้มหน้าอยู่กับงานในมือ “ไปเรียนคุณธีร์มากินมื้อกลางวันไป” “แต่ เอ่อ…” เด็กบีอึกอักพูดได้แค่นั้น ก็ได้ยินอีกคนว่าขึ้นมาแทน “ผมเรียกก๋วยเตี๋ยวตากับยายบุญมีที่คุณพีอาร์ไว้แล้ว บอกเด็กไปสั่งสิว่าจะกินอะไรกันบ้าง” ณิชาเงยหน้าแล้วมองไปทางต้นตอของเสียงก็พบว่าเขามองมาด้วยสายตาอ่านยากคู่เดิม เลยหันไปบอกบี                        “บีไปสั่งไปจะเอาอะไรบ้าง” “ค่ะ” เด็กสาววิ่งปู้ดลงไปเลยด้วยความอยากกิน แล้วก็ชะงักเมื่อนึกได้ “คุณหนูอยากกินอะไรคะ เดี๋ยวหนูสั่งไว้รอ” ณิชาส่ายหน้าว่าไม่ต้อง เด็กบีจึงออกวิ่งหน้าตั้งไปยังศาลาท่าน้ำทันที “ผมสั่งเส้นใหญ่ไว้ให้คุณ เดี๋ยวเด็กบีคงถือมาให้” ไม่นานหลังจากที่เขาบอก เด็กบีก็ถือชามก๋วยเตี๋ยวใส่ถาดมาให้ยังโต๊ะอาหารพร้อมขนมใส่ไส้อีกหนึ่งจาน ณิชากดอารมณ์อย่างหนึ่งเอาไว้เมื่อเขาสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่แบบที่เธอชอบกิน บางทีอาจบังเอิญหรือเป็นตายายเองที่บอกว่าเธอชอบแบบนี้ ธีร์หรือจะรู้เรื่องราวความชอบไม่ชอบของเธอ ธีร์นั่งลงกินของที่เธอแนะนำว่าอร่อยโดยไม่ปริปากใดๆ ปกติเขาเป็นคนกินง่ายอยู่แล้ว พอเห็นเขาวางช้อนตะเกียบลงบนขอบชามจึงถามเขาพร้อมรอลุ้นคำตอบอย่างเกรงๆ “อร่อยไหมคะ” ธีร์ยกน้ำขึ้นดื่มแล้วว่า “อือม์ ใช้ได้” รับทิชชูจากมือของเธอมาซับปากแล้วเอ่ยปากคล้ายชวน “ได้ยินว่าตอนเย็นมีงานวัด พาผมไปหน่อยสิ” “คุณธีร์จะไปงานวัดหรือคะ”   เลยหนึ่งทุ่มมาไม่กี่นาที ที่ณิชาเดินเคียงมากับชายหนุ่มร่างสูงบุคลิกสุขุมสง่างามในชุดลำลองสบายๆ แทบดูไม่ออกว่าเป็นผู้บริหารคนดัง ผมที่เคยจัดแต่งทรงบัดนี้ สระและปล่อยแห้งตามธรรมชาติ ปรกลงมาจนทำให้ดูน่าเกรงขามน้อยลง ณิชานุ่งผ้าซิ่นลายสวยเสื้อหม้อห้อมพอดีตัว ดูสวยไปอีกแบบ ชี้ชวนให้เขาดูร้านรวงที่มาออกร้านไม่น้อยภายในงานวัดที่เป็นงานยกช่อฟ้า “คุณหนูณิชขา” เด็กสาวที่ชื่อบีดีใจใหญ่ที่ได้มางานวัดสมใจยาก เรียกเสียงอ่อย “ไงบี” “หนูขอไปเล่นปาลูกโป่งตรงนู้นได้ไหมคะ” “ไปสิ” ยังไม่ทันอ้าปากบอกอะไรต่อ เด็กบีก็วิ่งปรู้ดไปยังซุ้มปาลูกโป่งแล้ว ณิชาส่ายหน้าเบาๆให้กับเด็กสาว ทำท่าจะเดินตามไป ธีร์ก็รั้งแขนเธอไว้ “ปล่อยให้เล่นไปเถอะ” ก่อนออกปากถามเธอ “คุณอยากเล่นอะไรไหม” “ไม่ค่ะ” “ผมอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์” บอกจบเดินนำไปยังเครื่องเล่นขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าคิวไม่มาก จัดแจงชำระเงินจนได้ตั๋วมาถือไว้แล้วยืนรอคิวขึ้นนั่ง ไม่นานตู้เหล็กขนาดไม่ใหญ่มากเคลื่อนตัวลงมาหยุดที่ทั้งสองคน ณิชายืนเม้มปากแน่น ธีร์เลยแกล้งถามยิ้มๆ “กลัว?” “ไม่เชิงกลัวหรอกค่ะ แต่ไม่ชอบ” บอกด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นนิดเดียว แล้วก้าวขาพรวดเข้าไปในนั้นทันที พอนั่งลงแล้วก็เห็นธีร์เข้ามานั่งที่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ ได้ยินเขาว่ายิ้มๆแบบเดิม “ปากแข็งจริง” ประตูถูกปิดลงแล้ว ตู้เหล็กที่นั่งก็ขยับเคลื่อนขึ้นไปเพื่อให้คนที่เข้าคิวต่อหลังได้ขึ้นนั่งในตู้ลำดับถัดมา ณิชาแทบกลั้นลมหายใจมือจิกแน่นตรงเหล็กที่ทำเป็นที่นั่ง ธีร์ลอบมองคนไม่กลัวแล้วก็ว่า “หลับตาสิ” “ไม่ค่ะ เวียนหัว” “งั้นมานั่งนี่มา” ธีร์ชักหงุดหงิดในความดื้อตาใสของคนเป็นภรรยาขึ้นมาบ้างแล้ว คว้ามือดึงให้เธอมานั่งที่ฝั่งเดียวกัน “ว้าย! ณิชกลัว” ณิชาอุทานเพราะตู้เหล็กที่น้ำหนักถูกเทไปฝั่งเดียวในทันทีเพราะถูกเขาดึงเข้าไปหาให้นั่งลงบนตัก   ธีร์โอบแขนรอบเอวบางบอกกลั้วเสียงหัวเราะ “ไหนใครว่าไม่กลัว” ใบหน้าอยู่ห่างกันไม่มากนัก ณิชาแทบกลั้นหายใจเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าของธีร์เคลื่อนเข้ามาใกล้เธอทุกขณะแล้วตอนนี้ ลมหายใจเจือกลิ่นแสนคุ้นเคย พร้อมสัมผัสจากฝ่ามืออุ่นจัดที่ลูบไล้แผ่วเบาราวกับปลอบ สายลมพัดโชยมาเบาๆพร้อมเสียงเพลงสลับเสียงประกาศที่ดังอยู่เบื้องหลังนั่นไม่ได้แทรกเข้ามาระหว่างกันได้เลย แต่ฉับพลัน เสียงดังกึกกักพร้อมตู้ชิงช้าสวรรค์ที่เคลื่อนกลับลงมายังเบื้องล่างอีกครั้งในจุดที่ให้ขึ้นลงปลุกให้ทั้งคู่หลุดออกจากภวังค์ ณิชาเม้มปากแน่น หลบตาคมเข้มที่ฉายความรู้สึกเร่าร้อนของเขาพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงเว้าวอนนิดๆ “ปะ ปล่อยเถอะค่ะ เราต้องลงแล้ว” นั่นเองธีร์ถึงยอมปล่อยเธอให้ลุกออกจากตักของเขา ลงมาเหยียบพื้นได้ ธีร์คว้ามือของเธอมากุมพาเดินตรงไปยังเบื้องหน้า ณิชาขืนแรงที่น้อยกว่าเขาหลายเท่าตัวเอาไว้เพราะขายังสั่นอยู่ด้วยว่ากลัวความสูงเมื่อครู่ แต่ไม่อยากเอ่ยปากให้เขารู้ แรงต่อต้านนั่นทำให้ธีร์หันมามอง เขาใช้สีหน้าถามว่าทำไม เลยต้องถามเขาไปด้วยภาษาพูด “จะไปไหนคะ”            “อยากไปไหว้พระตรงนั้น” ธีร์ชี้มือไปที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่กลางลานวัดที่มีคนไปจุดธูปเทียนกราบไหว้ ณิชามอตามมือแล้วหันกลับมามองที่เขาด้วยสายตากังขา คนอย่างเขาไหว้พระไหว้เจ้าก็เป็นหรือไร นึกว่าเป็นพวกบูชาซาตานเสียอีก “เถอะ ไหนๆก็มาแล้วอย่าให้เสียเที่ยวเลย” ชวนกึ่งบังคับ ณิชาเดินตามแรงจูงที่เขากุมเอาไว้ไม่แน่นมากแต่ก็กระชับพอให้รู้ถึงไออุ่นเล็กๆที่ส่งผ่านเข้ามา บูชาธูปเทียนดอกไม้แล้วค่อยตรงไปสักการะพร้อมกับเขา สาวน้อยสาวใหญ่ในงานต่างพากันมองมาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย บางคนชื่นชมในความเหมาะสมของทั้งคู่ หญิงสาวก๋ากั่นบางคนมองแค่ธีร์ด้วยสายตาเชิญชวน จนเรียบร้อยดีก็ออกมาเมียงมองหาเด็กบี ที่หายไปไหนแล้วไม่รู้ในตอนนี้ ธีร์มองช่วยก่อนชี้มือบอก “นั่นไง” ทั้งคู่เดินตรงไปที่บีก่อนจะพากันกลับบ้านในเวลาต่อมา เด็กบีกลับเข้าห้องแล้วหลังปิดบ้านจนเรียบร้อย เธอเดินเคียงเขาไปจนเกือบถึงห้อง อีกฝ่ายก็เรียก “ณิชา” “คะ” ขานรับพร้อมกับหยุดเดิน “ที่ห้องผมไม่มีผ้าห่ม” ณิชาหน้าตาตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยินเขาว่าแบบนั้น ธีร์นอนไปคืนหนึ่งแล้วโดยไม่มีผ้าห่มคลุมได้อย่างไร พอไปถึงที่ห้องก็พบว่าไม่มีผ้าห่มอย่างที่บอกจริงๆ “สักครู่นะคะ ณิชไปหยิบในตู้ให้” ณิชาบอกเสร็จ คิดทบทวนว่าทำไมเธอจึงบกพร่องเช่นนี้ จำได้ว่าไม่ลืมเตรียมให้เขานี่นา แต่ช่างเถอะบางทีเธออาจลืมจริงๆก็ได้ เดินเร็วๆไปที่ตู้เก็บสัมภาระพวกผ้าปูที่นอน หมอน ผ้าห่มของบ้าน พลางคิดในใจว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่เตรียมที่นอนให้เขาแต่ไม่มีผ้าห่ม “เรียบร้อยแล้วค่ะ” ธีร์ยืนมองเธอจัดการวุ่นวายกับที่หลับที่นอนแล้วบอกยิ้มๆ “ที่ผมบอกว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศ เอาไว้กลับบ้านก่อนดีกว่า” ณิชาทำเป็นไม่ได้ยินก่อนเดินออกจากห้องรับแขกด้วยหัวใจสั่นไหว นึกต่อว่าเขาที่คิดกับเธอก็ไม่พ้นเรื่องอย่างว่า อารมณ์น้อยใจตีตื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ธีร์เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าห่มที่พับเก็บไว้ในนั้นออกมา เขาตอแยเธอแบบนี้ทำไมกัน โคลงศรีษะให้ตัวเองพอใจกับการได้เห็นสีหน้าที่ไม่ใช่แต่เพียงก้มหลบตารับคำสั่งของณิชาแล้วก็ให้สบายอารมณ์สบายใจจนไม่รู้ตัว    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD