บทนำ
“รหัสที่พี่จะเรียกต่อไปนี้ ช่วยออกมาหาพี่ ๆ ด้านนอกด้วยค่ะ”
“…”
“ศูนย์สามสอง ศูนย์แปดเก้า หนึ่งห้าสี่ หนึ่งห้าแปด สามหนึ่งหก...”
ทันทีที่เสียงของรุ่นพี่ปีสามเงียบลงเสียงซุบซิบคุยกันของเหล่านักศึกษาชั้นปีหนึ่งก็ค่อย ๆ ดังขึ้น ฉันกับน้ำค้างหนึ่งในเพื่อนสนิทต่างหันมามองหน้ากัน กำลังจะอ้าปากถามกันเสียงของประธานชมรมเชียร์ของคณะก็ดังกังวาลขึ้นเสียก่อน
“อย่าเสียงดัง อย่าคุยกัน ตั้งใจท่องเนื้อเพลงค่ะ”
เสียงที่ดังแซงแซ่เงียบลงทันที ฉันกับน้ำค้างจึงพยักหน้าให้กันแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ยัยจินเพื่อนสนิทอีกคนของเราก็ส่งสายตาเป็นเชิงให้กำลังใจมาให้
ก่อนหน้านี้เราอยู่ในห้องซ้อมร้องเพลงเชียร์ของคณะ ซึ่งจะมีทุกเย็นวันพุธ เป็นการซ้อมร้องเพลงของคณะและเพลงมหาวิทยาลัยที่ต้องใช้ร้องในแต่ละกิจกรรม ถือเป็นเรื่องที่ทำต่อ ๆ กันมาทุกปี และคณะนิเทศศาสตร์ขึ้นชื่อเรื่องการร้องเพลงเชียร์ประสานเสียงที่เพราะที่สุดด้วย
“คือที่พี่เรียกพวกเรามานี้เพราะพวกพี่จะคัดตัวแทนปีหนึ่งไปประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย เลยอยากให้น้องทำตามหัวข้อนี้ให้พี่ดู…” พี่ปีสามคนหนึ่งอธิบายรายละเอียด ฉันกับน้ำค้างก็ตั้งใจฟังก่อนจะหันมามองหน้ากันอีกครั้ง
เราสองคนรู้จักกันได้สองเดือนแล้วตั้งแต่วันที่มาลงทะเบียนจนถึงวันนี้ สนิทกันเพราะวันแรกที่มาลงทะเบียนเรียนยัยน้ำค้างไม่ได้เตรียมเงินมาจ่ายค่าชุดนักศึกษาสำหรับงานพิธีการของมหาวิทยาลัยแล้วฉันเป็นคนช่วยจ่ายก่อนทั้งหมด
ส่วนจินเพื่อนอีกคนนั้นเรามารู้จักกันตอนรับน้องช่วงสัปดาห์แรกแต่พวกเราสามคนก็สนิทกันมาก
“ค้างขอบายนะคะ ไม่มีเวลาค่ะเพราะทำงาน” น้ำค้างยกมือขึ้นพูด
ฉันพอจะรู้มาอยู่บ้างว่ามันค่อนข้างมีปัญหาเรื่องเงิน ต้องทำงานเสริมเพื่อส่งตัวเองเรียน ไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยและคณะจัดขึ้นเท่าไร
“อีกแล้วเหรอ” รุ่นพี่คนหนึ่งพูด น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยชอบใจนักจนยัยน้ำค้างทำหน้าไม่ถูกไปด้วย
“ไม่เป็นไรนะ” ฉันตบที่ไหล่ของเพื่อนเบา ๆ เป็นการปลอบใจ รู้ว่ามันคงไม่สบายใจที่ต้องทำแบบนี้แต่จะทำยังไงได้ล่ะ คนเรามันก็มีเหตุผลของตัวเอง คนอื่นไม่ได้มาลำบากด้วยสักหน่อย
“น้องระรินมีความสามารถพิเศษอะไรคะ” พี่บ๊วย รุ่นพี่สาวสองคนหนึ่งถามฉันแล้วจ้องหน้าตาไม่กะพริบ จนฉันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง
“เอ่อ มะ...ไม่มีค่ะ” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ แล้วหลบสายตาของรุ่นพี่กลับมาที่หน้าเพื่อน
“แต่ในใบสมัครกับใบลงทะเบียนเราเขียนไว้ว่าเล่นเครื่องดนตรีได้สามชนิด” รุ่นพี่พูดเสียงเรียบยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “คนอื่นเขาอยากขึ้นเวทีกันหมดทำไมเราไม่อยากทำล่ะจ๊ะ”
“คือ...รินไม่ค่อยมีความมั่นใจค่ะพี่”
จริงอยู่ว่าฉันเล่นกีตาร์ เปียโนและไวโอลินได้บ้าง เพราะพ่อส่งเสริมให้เรียนทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้เอาสิ่งไหนไปสานต่อเลยเพราะยิ่งโตขึ้นฉันก็ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไร จะมีเล่นบ้างตอนงานโรงเรียนกับเพื่อน
ถึงแม้หลายคนจะชมว่าเล่นดีเล่นเก่งก็เถอะ ฉันไม่เคยเอาจริงเอาจังกับพวกมัน เหตุผลก็เพราะมันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ฉันอยากจะเอาพวกมันทิ้งไปจากชีวิต
เมื่อตอนที่ฉันไปเรียนดนตรีกับครูท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชายอายุห้าสิบกว่าในขณะนั้น เขาทำในสิ่งที่น่าขยะแขยงสำหรับฉัน เขาพยายามจะทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ หากไม่มีคนเข้าไปช่วยทันฉันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สิ่งนั้นทำให้ฉันกลัวไม่อยากไปเรียน ไม่อยากจับเครื่องดนตรีพวกนั้นอีกเลย
“เดี๋ยวพวกพี่จะเรียกน้อง ๆ เข้าไปทีละคนนะคะ คนอื่น ๆ ก็นั่งรอไปก่อน คนแรกน้องโอชิน ต่อด้วยน้องบี๋ น้องนุ่น...แล้วก็น้องระรินค่ะ”
หลังจากนั้นพี่ ๆ ก็เรียกปีหนึ่งที่ถูกคัดตัวมาเข้าไปในห้องทีละคน จนกระทั่งถึงคิวของฉันที่นั่งรอเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ยัยน้ำค้างก็ถูกตัดออกจากตัวเลือกไปนั่งเป็นกำลังใจแทน ตอนนี้มือของฉันมันเย็นเฉียบไปหมดเพราะไม่รู้ว่าเข้าไปในนั้นจะต้องเจอคำถามหรือให้ทำอะไรบ้าง
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือให้ไหว้พวกรุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้
มีรุ่นพี่นั่งอยู่ในห้องราวหกถึงเจ็ดคน ห้องนี้ไม่ได้มีแสงสว่างมากนักแต่จะมีไฟตรงกลางห้องซึ่งส่องลงมาตรงที่ฉันยืนอยู่พอดี มีกล้องตัวหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า ไฟกะพริบสีแดงปรากฏอยู่บอกให้รู้ว่ามันกำลังทำงาน เล่นเอาฉันประหม่าไปหมดเพราะมันอย่างกับรายการโทรทัศน์ที่กำลังคัดนักร้องนักแสดงไม่มีผิด
“น้องระริน เคยประกวดอะไรมาบ้างไหมคะ”
“ไม่เลยค่ะ” ฉันรีบตอบ ทั้งที่ในใจผุดขึ้นมาได้ว่าเคยเข้าประกวดหนูน้อยนพมาศตั้งแต่สมัยเด็กจนได้ฉายาหนูน้อยร้อยสายสะพาย เพราะแม่พาเดินสายประกวดจนกระทั่งฉันอยู่ในวัยที่ปฏิเสธได้แม่ถึงยอมให้หยุดเพราะฉันเหนื่อยมากจนไม่ไหวและมีพ่อคอยช่วย คอยพูดว่าฉันควรได้ทำในสิ่งที่เด็กควรทำ ได้เติบโตอย่างอิสระ
หลังจากนั้นแล้วยังเคยเป็นดาวโรงเรียนแบบถูกเพื่อนบังคับให้ลงแข่งแลกกับการไม่ต้องเป็นหัวหน้าชั้นอีก ขืนบอกไปแบบนั้นคงได้กลายเป็นตัวตลกที่รุ่นพี่หัวเราะเยาะ เดี๋ยวพวกรุ่นพี่จะหาว่าฉันอยากลงประกวดครั้งนี้จนเอาตำแหน่งกระจอกงอกง่อยมาอวด เข้าใจกันผิดไปหมดแน่
“อืม ลองแนะนำตัวคร่าว ๆ ให้พี่ฟังหน่อยสิ ไม่ต้องเกร็งนะ เอาแบบที่เราสบาย เหมือนแนะนำตัวกับครูหน้าห้อง”
“สวัสดีค่ะ ดิฉันนางสาวรินรดา รัตนประภาศิริ นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง คณะนิเทศน์ศาสตร์ สาขาวิชาการโฆษณาค่ะ”
“น้องระรินมีความสามารถอะไรบ้างคะ”
ฉันหยุดคิดสองวินาที อยากจะบอกว่าไม่มีเหมือนก่อนหน้าแต่พวกเขาคงรู้หมดแล้วเพราะพี่บ๊วยก็เพิ่งจะว่าฉันไป จึงต้องบอกไปตามความเป็นจริง
“ที่พอเล่นได้ก็กีตาร์ เปียโนและไวโอลินค่ะ”
“ถนัดอะไรมากที่สุดคะ”
“เปียโนค่ะ”
เหตุผลก็เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่แม่สอนตั้งแต่เด็กและเรียนเพิ่มกับครูผู้หญิงอีกคน ก่อนที่จะไปเรียนกับไอ้แก่คนนั้น แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้นฉันก็อยู่ห่างจากสายดนตรีมาตลอดและพ่อกับแม่ไม่ได้รบเร้าให้ทำเหมือนอย่างเคย ถ้ากลับไปเล่นอีกก็อาจจะต้องรื้อฟื้นมันหนักหน่อย