หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้นฉันก็ไม่ได้เจอพี่ไมเนอร์อีกเลย แม้แต่ข้อความที่เราคุยกันทุกวันก็หยุดอยู่ที่บทสนทนาก่อนหน้านั้น จนตอนนี้ฉันก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเขาเข้ามาในชีวิตเพื่ออะไรกันแน่
“ระริน”
“ว่า...” ฉันหันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่ออยู่ๆ มันก็เรียกแถมสะกิดแขนจนฉันรำคาญต้องเลิกสนใจงานตัวเองที่ทำอยู่นั้น
ตอนนี้เรานั่งอยู่ข้างตึกเรียนวิชาสุดท้าย นั่งทำงานที่อาจารย์สั่งและจะต้องส่งวันศุกร์นี้ แต่เพราะฉันต้องไปเตรียมตัวประกวดในวันศุกร์พอดีฉันถึงต้องรีบทำมันให้เสร็จ พรุ่งนี้รุ่นพี่ก็นัดให้ไปเจอทั้งวันอีก
“หล่อ” ยัยจินทำตาค้าง แล้วมองไปอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นตึกคู่กันกับตึกนี้ มีจุดที่ให้เดินเชื่อมไปหากันได้
ฉันหันไปมองสิ่งที่มันพูดถึงแล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นใครบางคนกำลังเดินมาทางนี้พอดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาในคณะสักครั้งเหมือนไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกัน จะเป็นใครไม่ได้หรอกนอกจาก
พี่ไมเนอร์!
หัวใจดวงน้อยๆ ที่มันอยู่อย่างสงบมาตลอดทั้งวันเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มจังหวะเร็วขึ้นทุกครั้งที่เท้าของเขาก้าวเข้ามาใกล้จุดที่เรานั่งกันอยู่ โชคดีหน่อยที่เขาไม่ได้มองมาทางนี้เพราะมัวแต่คุยกับเพื่อนตัวเอง
“อึ้งไปเลยสิแก”
“...” ฉันเงียบแทบไม่ได้ฟังสิ่งที่ยัยจินพูดเลยสักนิด
เหมือนตัวเองกำลังสติหลุดเพราะไม่สามารถละสายตาออกมาจากผู้ชายคนนั้นได้ จนกระทั่งเขาหันมาเห็นว่าฉันกำลังมองอยู่ สติที่ล่องลอยไปไกลถึงได้กลับคืนมา
“เรียนอยู่คณะเราเหรอวะ ไม่เคยเห็นเลย รุ่นพี่เหรอ”
ยัยจินยิงคำถาม ขณะที่สมองของฉันมันยังคงตีกันวุ่นวาย วินาทีที่เราสบตากันเมื่อกี้นี้ราวกับมีบางอย่างที่มันผิดปกติ สายตาคู่นั้นที่มองมายังฉันมันดูเฉยชาและไร้อารมณ์ จนฉันเริ่มสับสน
ทั้งๆ ที่เราไม่ได้คุยกันหลายวันแล้ว รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่พอใจที่วันนั้นฉันปฏิเสธ รู้อยู่แล้วว่าเขาคงเข้าหาฉันเพราะอะไร เขาไม่เคยจริงจังกับใครแต่ทำไมหัวใจมันเจ็บจัง ก็แค่ผู้ชายเจ้าชู้คนเดียวที่เดินหายไปจากชีวิตเราเอง
“จะไปรู้ไหม” ฉันตอบไปเหมือนไม่ใส่ใจทั้งที่ตอนนี้ ก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายคล้ายกำลังถูกมือใครบางคนบีบรัดเบาๆ
“มาแปลกเว้ย ทุกทีแกก็กรี้ดๆ กับฉันหรือไม่ใช่สเปคเงียบเชียว”
“อืม...” ฉันตอบเบาๆ แล้วจึงก้มหน้าเขียนงานตัวเองต่อ แต่เสียงของยัยจินก็ยังดังรบกวนไม่หยุด
จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้ฉันก็บ้าๆ พวกผู้ชายไปกับมัน ไม่ได้จริงจังอะไรกับใครแค่เล่นกันสนุก แต่กับพี่ไมเนอร์มันข้ามเส้นนั้นไปแล้ว มันไม่ใช่แค่เล่นๆ แต่ความรู้สึกมันคือความชอบ ทว่าเป็นความชอบที่มีเส้นบางอย่างกั้นอยู่ นั่นคือความกลัว
“แก เขามาทางนี้แล้ว ใครวะ อยากรู้”
คำว่า ‘มาทางนี้แล้ว’ ทำให้ฉันต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่มันว่าเพราะเขาเดินตามทางเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉัน แต่เขามองไปตรงหน้าก่อนจะยิ้มให้ใครบางคน
ลูกตาดำของฉันเลื่อนช้าๆ ไปตามรัศมีสายตาของเขา แล้วมันก็หยุดเมื่อเห็นว่ามีผู้หญิงอีกคนกำลังเดินมา เธอคนนั้นยิ้มทักทายคนตรงหน้าก่อนจะเดินมาเกาะแขนของคนที่ยืนนิ่งอยู่ พวกเขาคุยอะไรบางอย่างก่อนจะเดินควงกันไปต่อหน้า
ทว่า เจ้าของอยู่ๆ ร่างสูงนั้นกลับหันมามองฉัน สายตาของเขาที่มองมานั้นไม่มีความรู้สึกใดเลยแฝงอยู่ มันเย็นชามากเหมือนกับว่าเราไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่รู้แม้แต่ชื่อของอีกฝ่ายเลยก็ว่าได้
“เสียใจ แต่คนหล่อขนาดนี้ถ้าโสดอยู่ก็คงคิดว่าไม่ชอบผู้หญิงแล้วอะ” เสียงของยัยจินดังแว่วๆ อยู่ข้างหู
แต่ฉันกลับตัวแข็งทื่อไปหมด ทั้งๆ ที่คิดว่าคงไม่เป็นไรเพราะฉันไม่ได้ชอบหรือคิดอะไรกับเขาขนาดนั้นแต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้มันกลับทำให้หัวใจสั่นไหวไม่น้อยเลย
เผลอไปตั้งความหวังกับคนแบบนี้ได้ยังไงกันนะ ทั้งเจ้าชู้ ทั้งฉวยโอกาส ถ้าวันนั้นฉันยอมตอนนี้คงรู้สึกแย่มาก โชคดีเท่าไหร่ที่ตัวเองไม่ยอมใจอ่อนกับคนทุเรศแบบนี้
ผู้ชายคนนั้นเดินจากไปแล้ว ฉันถึงรวบรวมสติหันกลับมาสนใจงานของตัวเองต่อ จากนี้ไปคงไม่คิดจะจริงจังกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ต้องระวังตัวมากขึ้น สนุกสนานไปกับเพื่อนดีกว่า ผู้ชายหลายคนมันก็หวังเรื่องอย่างว่า จะมีสักกี่คนกันที่คิดจริงใจแต่แรก
ในที่สุดก็ถึงวันประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัย งานถูกจัดในช่วงเย็นแต่วันนี้ทั้งวันฉันก็ต้องเตรียมตัวอยู่กับพวกรุ่นพี่ พยายามจะไม่ตื่นเต้นแต่มันก็ทำไม่ได้เลยจริงๆ
คนที่มาดูการประกวดอยู่กันเต็มหอประชุมของมหาวิทยาลัย ที่จุคนได้มากถึงห้าพันคน มีภาพกิจกรรมบนเวทีถูกฉายไปทุกด้าน
หลังจากผ่านช่วงแนะนำตัวแล้วก็เป็นการแสดง เราสองคนทำตามที่ฝึกซ้อมมาทั้งหมด แต่พออยู่บนเวทีความรู้สึกมันแปลกไปกว่าเดิมมาก ฉันนั่งประจำจุดของตัวเอง วางมือบนเครื่องดนตรีที่คุ้นเคยกับมันมาตลอด สูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อนจะค่อยๆ กดนิ้วไปตามโน้ตที่จำขึ้นใจ
เพลงที่เราเลือกมาลงแข่งเป็นเพลงที่มีเนื้อหากล่าวถึงผู้ชายคนหนึ่งได้ถูกคนรักทอดทิ้งไป ทำให้ทุกๆเช้าเขาไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยเพราะผู้หญิงที่เขารักจะอยู่แค่ในความฝัน พอตื่นมาเขาต้องรับรู้ความจริงว่าไม่มีเธอคนนั้นอยู่แล้ว จึงอยากจะอยู่ในความฝันนั้นตลอดไป
ในท่อนแรกของเพลงนั้นฉันกับกายยกเอาช่วงกลางๆ ของเพลงมาร้องเปิดกับดนตรีที่กำลังดังขึ้น ฉันเป็นฝ่ายร้องเปิด จากนั้นกายจะเป็นเสียงหลัก ส่วนฉันจะเล่นเปียโนแล้วร้องร่วมในบางท่อน ก่อนจะปิดท้ายด้วยตัวฉันที่ต้องร้องท่อนจบ
ฉันพยายามทำให้ตัวเองจิตใจแน่วแน่อยู่กับสิ่งตรงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด หรือเกิดน้อยที่สุด แต่อยู่ๆ สายตาของฉันมันก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนกอดอกมองอยู่ข้างเวที ถึงแม้ว่ามันจะเป็นมุมที่มืดมาก แต่กลับรู้ว่าเป็นเขา
'พี่ไมเนอร์...'
ฉันรีบเลื่อนสายตาตัวเองกลับมา แต่ดูเหมือนว่าภาพของเขาที่ยืนมองและประสานสายตากันเมื่อครู่มันไม่ยอมไปไหน ส่งผลให้สมองเริ่มตีรวนและเกิดความไม่มั่นใจ จังหวะหนึ่งฉันกดโน้ตพลาดลงไปจนได้
แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเพราะสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ซึ่งส่วนที่พลาดก็คงถูกหักคะแนนไป กลับถึงบ้านคงโดนแม่ตั้งคำถามแน่ว่าเกิดอะไรขึ้น
----------------------------
กดหัวใจและกดเข้าชั้นเลยค่ะคนสวย