สอนสวาทคุณครูสาว
ย้อนไปเมื่อพุทธศักราช 2525
ที่วิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่ง
‘มาร์วิน’ เสียงขานชื่อของครูสาววัยยี่สิบห้าปี เรียกชื่อนักเรียนชายนายหนึ่ง ทว่าไร้เสียงขานรับจากคนที่ถูกเรียก
“นี่นายมาร์วินขาดเรียนอีกแล้ว… ”
ครู ‘เกวลิน’ หรือที่นักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้มักจะเรียกชื่อหล่อนสั้นๆ ว่า ‘ครูแก้ว’ ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
หลังจากกวาดสายตาไปจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นร่างสูงใหญ่สะดุดตาที่ชอบนั่งท้ายห้อง
ทว่าครูแก้วก็ชินเสียแล้ว กับพฤติกรรมขาดเรียนเป็นประจำสม่ำเสมอของนายมาร์วิน เด็กโข่งหัวโจกจอมเกเรประจำห้องคนนี้
วันรุ่งขึ้น
ขวับๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงไม้เรียวฟาดรัวๆ ลงบนก้นของนายมาร์วิน แต่ชายหนุ่มกับไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยสักนิด แววตาคู่นั้นแข็งกระด้าง นิ่งเฉย เย็นชาเหมือนไม่อยากรับรู้ในความเจ็บปวดใดๆ ของโลกใบนี้อีกแล้ว
และสุดท้ายคนที่เจ็บ… กลับกลายเป็นครูประจำชั้นเสียเอง
เสร็จสิ้นการลงโทษ…
นายมาร์วินเดินออกไปแล้ว โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองครูสาวที่ต้องแอบคว้าทิชชู่มาซับหยาดน้ำตาของตัวเอง ในทุกครั้งที่ต้องลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์จอมดื้อด้านคนนี้
มาร์วินจะรู้บ้างไหมนะ… ว่าทุกครั้งที่เขาโดนตี ครูแก้วคนนี้เจ็บปวดกว่าหลายเท่านัก
“เด็กเหลือขอแบบนี้ปล่อยไปเถอะค่ะครูแก้ว”
เป็นคำพูดของเพื่อนครูผู้หญิงคนหนึ่งที่ลอยมากระทบหู หลังจากรู้ว่าเมื่อเช้านี้นายมาร์วินโดนครูแก้วลงโทษด้วยไม้เรียว
“เด็กคนนี้ดื้อด้านไม่เอาถ่าน พยายามเข็นเท่าไรก็ไม่ขึ้น… เคี่ยวเข็ญมากเรานั่นแหละจะเหนื่อยเอง… ”
ครูผู้ชายอีกคนเสริมขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับเด็กหลังห้องอย่างนายมาร์วิน
“เหลืออีกแค่เทอมสุดท้ายเท่านั้นเอง… อย่างน้อยถ้ามาร์วินมาเรียน เราก็ยังพอช่วยได้ แต่ขาดเรียนนานๆ แบบนี้เห็นทีคงจะไม่จบ ปวช.แน่ๆ… ”
ครูแก้วกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดายอนาคตของผู้ชายคนหนึ่ง
แค่เพียงฮึดสู้อีกอึดใจเดียว… อย่างน้อยก็ยังจบ ปวช. เพื่อจะเป็นสะพานทอดไปสู่การระดับศึกษาในชั้นที่สูงกว่า
คืนนั้นครูแก้วนอนครุ่นคิดแต่เรื่องของมาร์วิน ไม่รู้ว่าทำไมหล่อนจึงไม่อาจสลัดภาพของนักเรียนคนนี้ออกไปจากหัว
กระทั่งวันรุ่งขึ้น…
เป็นเช้าตรู่ของวันเสาร์ ครูแก้วตัดสินใจเดินทางไปที่บ้านของมาร์วิน
รถนิสสันมาร์ชสีเขียวคันเล็ก ขับมาจอดหน้าประตูรั้วสังกะสี โอบล้อมบ้านไม้หลังเล็กที่ด้านหลังเป็นแปลงผักและสวนกล้วยน้ำว้า ทอดยาวออกไปถึงลำคลองทอดผ่านมาทางหลังบ้าน
“ครูแก้ว… ครูมาทำอะไร… มาหาใครครับ… ”
เสียงดังของรถที่แล่นมาจอด ทำให้นายมาร์วินที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างบ้าน ต้องเดินออกมามองพร้อมยิงคำถามชุดใหญ่ สีหน้าตกใจ… เพราะไม่คิดว่าวันนี้ครูแก้วจะมาเยือนถึงบ้าน
“ครูมาหาเธอนั่นแหละ… ”
ครูสาวตอบขณะสายตาจับจ้องโครงร่างสูงใหญ่สะดุดตา ด้วยมาร์วินไม่สวมเสื้อ จึงเห็นแผงอกกว้างและต้นแขนกำยำบึกบึนไปด้วยมัดกล้าม
สาเหตุที่มาร์วินมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าผู้ชายในวัยเดียวกัน ทั้งสีผมและสีของดวงตาดูคล้ายชาวต่างชาติก็เพราะว่ามาร์วินเป็นลูกครึ่งฝรั่ง มีพ่อเป็นทหารอเมริกันที่มาได้เสียบกับแม่ของมาร์วินจนตั้งท้อง
แต่ฝรั่งคนนั้นก็กลับประเทศไปโดยที่ไม่รู้ว่าแม่ของมาร์วินตั้งท้อง ถึงตอนนี้มาร์วินได้รับรู้เรื่องราวของผู้เป็นพ่อจากการบอกเล่าของผู้เป็นแม่เท่านั้น
“ครูจะมาตามผมไปโรงเรียนใช่ไหมครับ สงสัยครูลืมว่าวันนี้เป็นวันหยุด…”
มาร์วินตีสำนวน…
“ครูรู้น่ะว่าเป็นวันหยุด… ”
ครูแก้วตอบ…
แสงแดดยามสายที่สาดมากระทบเรือนร่างของชายหนุ่ม ทำให้มองเห็นซิกแพ็คนูนเด่นขึ้นมาเป็นคลื่นลอนที่ท้อง
ทว่าสิ่งที่สะดุดตาของครูแก้วเข้าอย่างจัง ก็คือกางเกงขาสั้นผ้ายืดบางๆ ที่เปียกน้ำนั้นแนบไปกับสรีระช่วงล่าง จึงมองเห็นความเป็นชายชาตรีของมาร์วินนูนแน่นขึ้นมาเป็นรูปลำชัดเจนที่บริเวณเป้าเพราะว่าไม่ได้ใส่กางเกงใน
“ครูแก้วอยากคุยกับผมเรื่องอะไรครับ… ”
ถามทั้งที่มือยังจับสายยางฉีดน้ำรดไปยังแปลงตะไคร้ทอดยาวขนานไปกับแนวรั้ว
“เรื่องเรียน… ”
ครูแก้วบอกถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมา
“ผมคิดว่าจะไม่เรียนแล้วครับ… ”
มาร์วินกล่าวเสียงเศร้า
“ทำไมล่ะ… ”
ครูสาวตกใจ
“ตอนนี้ตาผมป่วย แกเดินไปเหยียบตะปูจนตีนบวม ทำงานไม่ได้มาเป็นอาทิตย์แล้วครับ… ”
นั่นคือสาเหตุที่มาร์วินต้องหยุดเรียนติดต่อกันหลายวัน
“ตายจริง… แล้วนี่ฉีดยากันบาดทะยักแล้วหรือยัง… ”
ครูแก้วเป็นห่วง…
เรื่องนี้ที่โรงเรียนไม่มีใครรู้ เพราะโดยอุปนิสัยนายมาร์วินไม่ค่อยเอาเรื่องที่บ้านไปคุยกับใคร อีกทั้งบ้านก็อยู่ไกลจากโรงเรียนมาก
“ไปฉีดยากันบาดทะยักที่อนามัยมาแล้วครับ… แต่ก็ยังบวมอยู่… ยังทำงานไม่ได้… ”
มาร์วินตอบ
“คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย”
“ช่วงนี้เลยไม่มีคนทำงานในสวน… ผมก็เลยต้องดูแลแทน… ทุกเช้าผมต้องเอาผักไปส่งที่ตลาด… ”
มาร์วินไม่เคยบอกใครถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องหยุดเรียนไปหลายวัน เพราะทุกวันนี้ตากับยายมีอาชีพปลูกผักขาย และผักกำลังโตใกล้จะส่งขายได้แล้ว จึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
“แล้วแม่เธอล่ะ… ”
ครูแก้วถามด้วยความสงสัย
“แม่ไปทำงานที่พัทยาครับ… ไม่ติดต่อมาเลย”
มาร์วินตอบ
“อันที่จริงถ้ามีความจำเป็นเธอจะหยุดเรียนบ้างก็ไม่เป็นไร… แต่ต้องบอกครูก่อน… ”
“ผมว่าจะเลิกเรียนแล้วครับ… ”
มาร์วินกล่าวเสียงเศร้า… หลังจากแอบคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน