ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าที่หน้าห้องพักคนไข้วีไอพีชั้นสิบหกของโรงพยาบาล เขาสูดลมหายใจลึก พยายามปั้นหน้าให้เครียดน้อยลง แม้จะแทบยิ้มไม่ออกเลยก็ตาม ก่อนเคาะประตูและเปิดเข้าไปพบพยาบาลส่วนตัวของคุณย่ากำลังอ่านหนังสือให้ท่านฟังพอดี
“คุณจักร”
พยาบาลวัยดึกหันมาก้มศีรษะทักเขานิดหนึ่ง ก่อนวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างเตียงคนไข้แล้วลุกเดินสวนเขาออกจากห้องไปอย่างรู้หน้าที่ จักรธนจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะปั้นรอยยิ้มอ่อนๆ ขณะก้าวไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงและจับมือเหี่ยวย่นของคุณย่ารมัยมากุมไว้อย่างห่วงใย
“วันนี้เป็นไงบ้างครับคุณย่า คุณหมอบอกว่าอีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้วนะ”
รมัยคลี่ยิ้มอ่อนโยนขณะเอื้อมอีกมือมาวางบนลงหลังมือแข็งแรงของหลานชายอย่างรักใคร่
“ก็ดีจ้ะ ย่าอยากกลับบ้านแย่แล้วลูก แล้วนี่แม่ต่ายไปไหนเสียล่ะ เมื่อวันก่อนเห็นคุยว่าสอบเสร็จแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนย่าทู๊กวัน แต่ตั้งแต่เมื่อวานไม่เห็นมาป่วนย่าเลย อยู่แต่กับพยาบาลแก่ๆ แบบแม่มาลีแบบนี้ ย่าเฉาตายกันพอดี”
จักรธนพยายามคงรอยยิ้มไว้ขณะเอ่ย
“แม่ตัวดีของคุณย่าไปออกค่ายอาสาอีกแล้วครับ เห็นว่ากะทันหันจนมาลาคุณย่าไม่ทัน ไปแทนเพื่อนหรืออะไรสักอย่าง ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย ก็อย่างที่เรารู้กันน่ะครับว่าเอาแน่เอานอนกับยัยต่ายไม่ได้ รายนั้นนึกอยากทำอะไรก็ทำเลย นี่รอบนี้เห็นว่าขึ้นเขา ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย ไม่รู้ว่าจะไปอยู่เป็นเดือนสองเดือนแบบคราวก่อนรึเปล่า”
เอ่ยบอกตามที่เตี๊ยมมากับทุกคนในบ้านและคนรู้จักของรมัยที่อาจเดินทางมาเยี่ยม เขายอมให้คุณย่าทราบเรื่องร้ายของเจลกาในเร็วๆ นี้ไม่ได้เด็ดขาด... หากท่านหัวใจวายขึ้นมาอีกรอบ อาจไม่โชคดีเท่าหนนี้ที่พากันนำส่งโรงพยาบาลและช่วยเหลือได้ทัน
“ยัยต่ายนี่ไม่ยอมโตเสียที” รมัยบ่น หากแต่ใบหน้านั้นชื่นชมกับการเสียสละความสะดวกสบายเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมของหลานสาว “แล้วเราล่ะพ่อจักร”
ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยชราหันมาสบตาหลานชายคนโตอย่างเป็นกังวล
“คดีนั่นถึงไหนแล้ว เราไม่ได้โกหกย่าแน่นะว่าไม่มีส่วนในยาเสพติดพวกนั้น ถ้าย่ารู้ว่าเราทำอะไรเลวๆ แบบนั้น ย่าขอตายเสียดีกว่า”
จักรธนรู้สึกเหมือนน้ำตาที่ซึมออกมาจากหัวตาของญาติผู้ใหญ่ที่รักยิ่งเป็นเหมือนมีดเหมือนหอกที่ทิ่มแทงใจเขา ทุกครั้งที่มาเยี่ยม รมัยจะถามความคืบหน้าของคดีที่เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยทุกครั้ง และจักรธนก็ไม่เดือดร้อนรำคาญที่ต้องเล่าให้คุณย่าฟัง แม้บางครั้งจะต้องเล่าเรื่องเดิมๆ ก็ตามที
“ก็อย่างที่คุณนนท์ยืนยันกับคุณย่าคราวก่อนละครับ” เขาหมายถึงร้อยตำรวจโทนนทพัทธ์ ผู้รับผิดชอบคดีนี้และสืบเรื่องเสี่ยสิงห์มากับเขาถึงสามปี “เสี่ยสิงห์ส่งคนมาป่วนเราเพื่อป้ายความผิดให้ผม แต่ทางตำรวจรู้อยู่แล้วว่าผมอยู่ฝั่งเดียวกับกฎหมาย ตอนนี้ผู้ต้องหาคนนั้น ก็รับสารภาพแล้วครับว่าถูกว่าจ้างมาใส่ร้ายผม คุณย่าอย่ากังวลไปเลยนะ เดี๋ยวจะไม่สบายอีก”
เมื่อไม่กี่วันก่อน มีข่าวประกาศทางสื่อโทรทัศน์ว่า จักรธน ธีรากิดากร ผู้บริหารผับหรูอย่าง Fullmoon House และนักธุรกิจหนุ่มผู้ถูกสื่อขนานนามว่าเนื้อหอมที่สุดแต่ก็ตามตัวยากที่สุด ถูกซัดทอดว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดล็อตใหญ่ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเนื้อหาข่าวบ้าบอ แค่ทางตำรวจไม่เล่นตามเกมของเสี่ยสิงห์ก็พอ
อย่างน้อยการที่เขาไม่แก้ข่าวก็ทำให้เสี่ยสิงห์ชะล่าใจไม่น้อย
แต่เพราะข่าวนั้นที่ทำให้รมัยถึงกับช็อคหัวใจวาย ต้องหามส่งโรงพยาบาลกันแบบนี้ แม้ตอนนี้ผู้ต้องหาจะถูกกดดันจนรับสารภาพแล้วว่าถูกส่งมาป้ายความผิดให้เขาโดยเฉพาะก็ตาม
รมัยถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“พ่อจักรเองก็นะ น่าจะขายๆ ผับนั่นไปได้แล้ว ย่าไม่เห็นประโยชน์ที่จะเก็บมันไว้เลย สร้างศัตรูเปล่าๆ ลูก”
จักรธนยิ้มรับ ก่อนเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น
“ผมจะขายครับ แต่ตอนนี้ยังมีปัญหาอีกนิดหน่อย... อีกไม่นานทุกอย่างจะเรียบร้อยครับคุณย่า ผมสัญญา”
ชายหนุ่มอยู่อ่านหนังสือต่อจากพยาบาลมาลีให้คุณย่าฟังได้ ครู่หนึ่ง รมัยก็พริ้มตาหลับและหายใจสม่ำเสมอด้วยสีหน้าสดชื่นขึ้นกว่าเก่ามากโข จักรธนวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างเตียง เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้หญิงชราจนถึงอก ก่อนผละออกมาจากห้องพักคนป่วย ปล่อยให้พยาบาลมาลีกลับเข้าไปดูแลท่านเหมือนเดิม
เขายกข้อมือดูเวลาและพบว่าเย็นมากแล้ว... จักรธนคิดจะโทรถามทางบ้านเรื่องกชนิภา หากแล้วก็เปลี่ยนใจ ถ้ามีอะไรทางนั้นคงโทรมารายงานเอง
ร่างสูงใหญ่ก้าวอาดไปทางแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล หยุดยืนที่กระจกใสมองเข้าไปภายในที่มีเด็กสาววัยมหาวิทยาลัยนอนหายใจรวยรินด้วยเครื่องช่วยหายใจ ท่ามกลางอุปกรณ์ช่วยชีวิตมากมายอยู่ในนั้น ศีรษะได้รูปสวยที่เคยถูกปกคลุมด้วยเรือนผมดกดำยาวสลวย ตอนนี้ถูกโกนออกจนหมด และถูกปิดด้วยผ้ากอซขนาดใหญ่
มือหนายกขึ้นแตะกระจกด้วยความห่วงใย ก่อนกำหมัดแน่นอย่างเจ็บแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้!
เขาทำได้เพียงแค่เฝ้ารอปาฏิหาริย์ที่อาจจะบันดาลให้เจลกาลืมตาขึ้นมาก่อความวุ่นวายเหมือนอย่างเคยเป็นมาอีกสักครั้ง เท่านั้นเอง...
หลังจากออกจากโรงพยาบาล จักรธนแวะไปดูความเรียบร้อยและจัดการงานเอกสารที่คั่งค้างส่วนหนึ่งใน Fullmoon House และตั้งใจจะนอนค้างที่นี่จะได้ไม่ต้องกลับบ้านให้วุ่นวาย หากแต่แค่ช่วงหัวค่ำเขาก็รู้สึกนั่งไม่ติด แม้ในส่วนของออฟฟิศจะอยู่ชั้นบนสุดในเพนเฮาส์ของผู้บริหารที่พ่อเขาสร้างไว้ แน่นอนว่าด้วยความสูงกว่าแปดชั้น ไม่มีทางที่เสียงเพลงจากผับชั้นใต้ดินจะทะลุขึ้นมาให้รำคาญใจได้
แต่ไม่รู้ทำไม จักรธนรู้สึกร้อนใจและเอาแต่เฝ้ามองโทรศัพท์เหมือนรอให้ใครสักคนโทรมา
ทั้งที่เขาไม่ได้ ‘รอ’ ฟังข่าวว่าลูกสาวของกสิณจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรเสียหน่อย!
เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น นั่นทำให้เขาวางมือจากปากกาครอสแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมามองหน้าจอทันที คิ้วหนาขมวดนิ่งเมื่อเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นชื่อเพื่อนสนิท นายแพทย์ณรงค์ฤทธิ์ ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์บ้าน...