บทนำ
เมื่อยามคิมหันตฤดูพัดผ่าน ทั่วทุกสารทิศก็ร้อนระอุประดุจดั่งสุริยะหมายจะผลาญทั่วทุกหย่อมหญ้าให้มอดไหม้ ชาวบ้านร้านตลาดต่างค้าขายไม่เป็นสุขนักด้วยเพลียกายกว่าที่เคยเป็น หากแต่นั่นก็หาได้มีผู้ใดใคร่สนใจนอกจากพากันไปมุงล้อมกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งมีผู้มาปลูกอาศัยอยู่ไม่นาน ก่อนเสียงหวีดร้องลั่นจะดังลอดออกมาพร้อมกับเสียงปาข้าวของแตกกระจาย ความร้อนรุ่มจากคนด้านในช่างเรียกความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนโดยรอบได้เป็นอย่างดี
“เจ้ามันเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง! หากแค้นมากนัก ไยไม่ฆ่าข้าแล้วตัดหัวส่งไปที่สำนักเสียเลยเล่า!”
เสียงถ้วยกระเบื้องเคลือบกระทบพื้นแตกดังลั่น ร่างใหญ่ของชายหนุ่มกระโดดหนีถ้วยที่ถูกขว้างออกมานอกกระท่อม ทำเอาวงล้อมด้านนอกแตกฮือไปคนละทิศละทาง ก่อนจะชี้นิ้วไปยังตัวต้นเหตุ ตวาดกลับอย่างเอาเรื่อง
“ก็จริงหรือไม่เล่า หากไม่เป็นเพราะเจ้า ชีวิตข้าคงหาได้ตกระกำลำบากเช่นนี้ไม่! ฮึ! โง่เง่าเสียจริงที่ต้องมาจมปลักกับเด็กไม่รู้โตเช่นเจ้า!”
“เจ้าหุบปากไปเลย! แล้วใครกันเล่าที่คะยั้นคะยอให้ตามมากันเล่า!”
“แล้วใครให้เจ้าหูเบาตามข้ามาเล่าเด็กโง่!”
“ฮึ่ย! อวี๋ว์เจิ้งเหอ! หากข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าวันนี้ ข้าคงตายตาไม่หลับแน่!”
เสียงคู่กรณีดังสวนอีกระลอก พร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มในสภาพผมเผ้ารุงรัง เหงื่อกาฬไหลอาบท่วมตัวให้คนโดยรอบรู้ว่าการวิวาทครั้งนี้คงหนักหนาเอาการ ในมือเล็กถือถ้วยกระเบื้องแบบเดียวกับที่ขว้างแตกก่อนหน้า พลางง้างหมายจะขว้างใส่คนตรงหน้าอีกรอบ
ใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มนามอวี๋ว์เจิ้งเหอพลันนิ่วทันใด แต่ก่อนที่จะได้เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำสอง เขาก็อาศัยความไว ปรี่เข้าไปคว้าข้อมือเด็กหนุ่มแน่น พลันแย่งถ้วยกระเบื้องในมือเล็กวางลงบนพื้น ทว่าแทนที่คนตัวเล็กจะยอมพ่าย กลับดิ้นสะบัดหมายให้หลุดจากการเกาะกุม จนชายหนุ่มต้องรวบกอดแล้วแผดเสียงดังเมื่อเห็นว่าคนใต้อาณัตินั้นไม่มีทีท่าอ่อนโอนแต่อย่างใด
“เจ้าปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้เลย!”
“หากปล่อย เจ้าก็เอาถ้วยข้าวของข้าไปขว้างแตกอีกน่ะสิ เดือนนี้เสียถ้วยกระเบื้องเพราะเจ้าไปกี่ใบแล้ว รู้หรือไม่!”
พอถูกว่าดังนั้น เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าหวานประดุจอิสตรีวัยแรกแย้มก็หน้าเสีย ซ้ำชาวบ้านที่มุงดูก็พลันหัวเราะร่ากับคำดุด่าของอวี๋ว์เจิ้งเหอ ยิ่งทำให้กวงจินมุ่ยหน้ายู่เข้าไปอีก
“แล้วจะทำไมเล่า! เห็นแตกทีไร เจ้าก็มาเอาของข้าไปใช้เสียทุกทีนี่!”
“แต่ข้าเป็นคนซื้อน่ะสิ รู้เอาไว้เสียบ้าง! อาศัยกระท่อมผู้อื่นซุกหัวนอนแล้วยังจะไม่สำนึกบุญคุณอีก อกตัญญูเช่นนี้น่าลงโทษเสียให้หลาบจำนัก!”
คนตัวเล็กชะงักพลันเมื่อได้ยินชายหนุ่มเอ่ยคาดโทษ หยุดดิ้นทันใดเพราะรู้ดีว่าการลงโทษของเขานั้นดุดันเหลือคณา แต่ก็ยังดื้อรั้น เถียงคอเป็นเอ็นให้เขาหมั่นเขี้ยวขึ้นไปอีก
“มีปัญญาหาเงิน ก็ต้องมีปัญญาซื้อ แค่ข้าคนเดียว ไม่มีปัญญาเลี้ยงหรือเช่นไร!”
“เจ้านี่มัน…”
“หยุดเถียงกันได้แล้วน่าคุณชายทั้งสอง ชาวบ้านทั้งตลาดแตกตื่นกันเพราะท่านหมดแล้วรู้หรือไม่”
ไม่ทันจะได้พูดต่อ เสียงของใครบางคนก็ขัดขึ้น อวี๋ว์เจิ้งเหอและกวงจินหันขวับไปยังผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง พลันก็ปะทะเข้ากับร่างโปร่งของจอมยุทธ์หญิงซึ่งแหวกกลุ่มคนเดินตรงมายังทั้งคู่ ใบหน้างดงามชดช้อยของสตรีรุ่นฉาบรอยยิ้มพร่างพราย
“ท่านหรือ ยอดยุทธ์มังกรสาวที่ท่านอาจารย์ว่า” อวี๋ว์เจิ้งเหอเอ่ยถาม นางเพียงพยักหน้ารับ
“เรียกชื่อข้าแทนสมญานามคงน่าฟังกว่าไม่น้อย ไม่ก็เรียกศิษย์พี่ อย่างไรเสีย เราก็มีอาจารย์เดียวกัน”
ผู้ถูกทักกลั้วหัวเราะน้อยๆ พอทำให้ทั้งอวี๋ว์เจิ้งเหอและกวงจินหยุดวิวาทกันชั่วคราว ก่อนผละออกจากกันอย่างมิได้นัดหมาย
“เช่นนั้นศิษย์พี่ก็มาตามสาสน์ของท่านอาจารย์สินะ”
ความสนใจทั้งหมดเบนไปยังจอมยุทธ์สาวซึ่งเข้ามาห้ามทัพอย่างไม่ได้ตั้งใจ นางยิ้มรับเล็กน้อย
“ใช่ ข้ารีบมารับพวกเจ้าก็เพราะท่านอาจารย์กำชับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่พอได้เห็นเจ้าสองคนแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงมีเวลามากพอที่จะทะเลาะกันมากกว่าไปกับข้ากระมัง”
พอถูกเอ่ยล้อเลียน อวี๋ว์เจิ้งเหอก็แทรกขัดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นักแต่ก็แสดงออกมากไม่ได้นัก เนื่องจากจอมยุทธ์หญิงผู้นี้เป็นผู้ที่จะช่วยเหลือเขาไปกาลต่อจากนี้ ส่วนกวงจินก็เลี่ยงสายตาคนรอบข้างเมื่อเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าสิ่งที่ตนทำไปเมื่อครู่นี้ เป็นที่สนใจของชาวบ้านเกินความคาดหมายเสียเหลือเกิน
“ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องมาเห็นสภาพอันน่าอับอายเยี่ยงนี้ อย่างไรเสียก็พักให้หายเหนื่อยก่อนเถิด ข้ากับเจ้าเด็กนี่ขอเวลาจัดเตรียมสัมภาระเพียงครู่แล้วจะได้ออกเดินทางกัน”
อวี๋ว์เจิ้งเหอออกปากเชื้อเชิญให้นางเข้าไปรอในกระท่อมหลีกลี้สายตาของชาวบ้านหลายสิบคู่เพียงครู่ จอมยุทธ์หญิงพอจะเดาใจออก ก่อนรับคำเชิญ ย่างกรายเข้าไปในกระท่อมโดยมีกวงจินรีบเดินตาม ทว่าเด็กหนุ่มแทนที่จะเดินตามไปเฉยๆ ก็ไม่วายหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อวี๋ว์เจิ้งเหอที่ขมวดคิ้วค้าง ก่อนทำปากขมุบขมิบเป็นคำพูดพอให้จับใจความได้
‘ข้าไม่ยอมจบง่ายๆ แน่เจ้าลูกไก่...’
ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะเบาๆ ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดนัก ก่อนจะพาตามทั้งสองเข้าไปข้างใน พลางคิดย้อนถึงเรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นมาในหัวกะทันหัน แล้วนึกตัดพ้อชะตากรรมตนเองอย่างเสียมิได้
พลันนึกย้อนวันวานเมื่อครั้งเก่า
ดุจเรื่องเล่าตำนานเป็นเกียรติศรี
สองบุรุษวิวาทไม่ปรานี
ด้วยศักดิ์ศรีสำนักต่างตำรา
ต่างฉุดใช้เล่ห์กลแลอุบาย
ช่วงชิงชัยทั้งบุปผาแลปักษา
หากใคร่หมายประจักษ์เป็นบุญตา
เชิญน้องยาแง้มยลบัดนี้เอย.