“...งั้นฆ่าเลยค่ะ” เพราะพ่อเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ จากที่เมื่อคืนร้องขอชีวิตด้วยการอ้างว่าจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากการถูกจองจำ ก็กลายเป็นว่าจะยอมละทิ้งทุกอย่าง แม้กระทั่งชีวิตอันแสนมีค่า ทั้งหมดนี้เพียงเพราะ... “นายฆ่าฉันก็ได้ แต่อย่าทำอะไรพ่อเลยนะ...”
ฉันรักพ่อมาก
จริงอยู่พ่ออาจไม่ใช่คนดี ท่านทารุณกรรมเขาสารพัด กักขังหน่วงเหนี่ยวคนคนหนึ่งเยี่ยงสัตว์ยาวนานกว่าสองปี ต่อให้ตัวฉันจะเข้าใจหัวอกคนถูกทำร้าย แต่เพราะไม่ได้เจอด้วยตัวเอง จึงอาจฟังดูเห็นแก่ตัวที่อยู่ ๆ ก็มาขอให้เขา...ไว้ชีวิตท่าน
โดยแลกกับชีวิตของฉันแทน
สิ้นคำขอของฉัน นัยน์ตาสีมรกตพลันมืดครึ้ม ก่อนริมฝีปากเรียบตึงไร้คลื่นอารมณ์จะขยับเอ่ย “มันมีดีอะไรให้เธอมาตายแทน”
“เพราะท่านเป็นพ่อที่ฉันรักค่ะ” เค้นคำตอบผ่านเส้นเสียงที่แหบแห้งเสร็จ จึงยกมือซ้ายซึ่งยังคงสั่นระริกไปแตะหลังมือหนาอันเต็มด้วยเส้นเลือดปูดโปน...คล้ายว่านี่เป็นการร้องขอ หรืออาจจะใช้คำว่าอ้อนวอนก็คงไม่ผิดอะไร
ทันทีที่สัมผัสโดน ฉันค้นพบว่าผิวของคีธทั้งเย็นยะเยือกและร้อนผ่าวในคราวเดียว รับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายแล้วก็กลั้นหายใจ แสร้งทำเป็นกล้าหาญชาญชัย ก่อนเปลี่ยนมาคว้าข้อมือของเขา ออกแรงทั้งหมดที่มีหมายให้เขาใช้มือข้างนั้นทำร้ายกัน...เหมือนอย่างที่ทำกับโจรชั่ว “ฉันทนเห็นพ่อมีสภาพเดียวกับคนพวกนั้นไม่ได้หรอก”
“...”
“แต่ถ้าการฆ่าฉันมันจะทำให้อารมณ์นายเย็นลงหรือล้มเลิกความตั้งใจ...” ขณะพูด ฉันรับรู้ได้ถึงสภาพจิตใจที่อ่อนแอลงอย่างน่าประหลาดของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจากเหตุสะเทือนขวัญเมื่อไม่กี่นาทีก่อน “...ฉันก็ยอม อึก”
หมับ
กล่าวจบ คีธก็เปลี่ยนมาตะปบมือหนาลงบนข้อมือข้างเดียวกันกับที่เพิ่งสัมผัสเขา แรกเริ่มเขาทำเพียงกอบกุม แต่สักพักกลับออกแรงกระทั่งส่วนนั้นร้าวระบมคล้ายกระดูกเริ่มแตกหักเป็นชิ้นส่วนจากภายใน
ฉันหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลทั้ง ๆ ที่เปลือกตาปิดสนิท เจ็บแค่ไหนก็กัดฟันอดกลั้น ไม่กรีดร้องโวยวาย
และวูบเดียวสั้น ๆ จมูกก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นคาวจากส่วนที่ถูกบีบ
แม้จะหลับตา แต่ยามที่ส่วนปลายของเล็บแหลมคมจิกลงบนผิวเนื้อจนเลือดไหล ฉันรับรู้ถึงมันได้เป็นอย่างดี ความรู้สึกนี้...คล้ายตอนถูกมีดบาด แต่ระดับความเจ็บปวดมีมากกว่าหลายเท่า
“...”
“อึก ฮึก” พยายามแล้วที่จะไม่ส่งเสียง แต่เพราะความรุนแรงที่คีธมอบให้นั้นไร้ซึ่งความปรานีปราศรัยอย่างสิ้นเชิง ฉันจึงเผลอปล่อยเสียงร้องออกมาโดยอัตโนมัติ
คิดว่าคีธต้องโมโหจนกระชากศีรษะฉันหลุดออกจากคอแน่ แต่เปล่าเลย...ไม่ถึงสองวินาทีนับจากนั้น ความรุนแรงที่เขามอบให้กลับกลายเป็นการกอบกุมข้อมือธรรมดา เสียงพรูลมหายใจหนักหน่วงถูกพ่นออกมา เรียกให้ฉันลืมตาขึ้น จนได้เห็นภาพที่เขาขยับหน้าเข้าไปใกล้ข้อมือด้านซ้ายของฉัน...ซึ่งยังมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
และเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากหยักลึกก็กดลงตรงปากแผล ขบเม้มและตวัดเลียของเหลวสีเข้มอย่างเนิบช้า หากแต่หนักหน่วงในทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของปลายลิ้น
ฉันช็อกจนร่างกายแข็งค้าง
เหม่อมองเขาดื่มกินหยาดเลือดของตัวเองอย่างไร้สตินานเกือบสองนาที กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีอะไรไหลออกมาจากบาดแผลที่ตนเป็นคนสร้างแล้ว...คีธจึงช้อนนัยน์ตาคมกริบขึ้นมอง โดยริมฝีปากซึ่งเปรอะไปด้วยเลือดของฉันอยู่ห่างจากข้อมือเพียงไม่กี่มิลลิเมตร
คีธแสดงอาการแปลก ๆ ออกมาให้เห็นเพียงแวบเดียว ก่อนขยับริมฝีปากเป็นเส้นเสียงแข็งกระด้าง
“เธอนี่มัน...”
“...”
“ยัยมนุษย์หน้าโง่”
เฮือก...
ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันอันน่าสยดสยอง รีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนยกมือขยุ้มทรวงอกด้านซ้ายซึ่งเป็นจุดที่หัวใจกำลังสั่นระทึกเพราะความตื่นตระหนก ต้องใช้เวลาเนิ่นนานเป็นนาทีกว่าจะสงบลงและอยู่ในระดับปกติ...
“ฝันอะไรเนี่ย...”
กระทั่งแน่ใจว่าหลุดพ้นจากอาการหวาดผวาแล้วถึงพึมพำ จากนั้นจึงเคลื่อนสายตาไปยังนาฬิกาเรือนเก่าที่แขวนอยู่บนฝาผนัง เพราะอยากเช็กให้แน่ใจว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว
แต่แล้วเรียวคิ้วจำต้องขมวดมุ่น หลังพบว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง...ซึ่งโดยปกติแล้ว หากนอนช่วงกลางวัน ฉันจะตื่นไม่เกินห้าโมงเย็น หรือถ้าเข้านอนเร็วหน่อย ก็อาจตื่นสักตีสี่ตีห้า โอกาสตื่นในช่วงเวลานี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
แปลกมาก...
ด้วยความงุนงงปนสงสัย ฉันจึงดึงสายตากลับมา เปลี่ยนไปเอื้อมหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะมาดูให้แน่ใจอีกสักครั้ง
และแล้วก็ได้คำตอบว่านี่ยังเป็นวันเดียวกันกับที่พ่อออกจากบ้านไปล่าสัตว์ และเป็นวันที่...
คิดมาถึงตรงนี้ร่างกายก็แข็งทื่อ
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด พรูออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนค่อย ๆ วางปฏิทินลงบนโต๊ะดังเดิม นั่งตั้งสติไม่นานก็ก้มสำรวจสภาพร่างกายตัวเองที่ตอนนี้อยู่ในชุดไปรเวทสีฟ้า ซึ่งเป็นคนละชุดกับที่สวมใส่เมื่อช่วงเช้า
ฉันพยายามกล่อมตัวเองอย่างเต็มที่ว่าไม่ใช่ แต่ทันทีที่สมองออกคำสั่งให้ยกข้อมือด้านซ้ายขึ้นสำรวจ กระทั่งพบบาดแผลจากปลายเล็บแหลมคมซึ่งยังคงสดใหม่...หัวใจก็คล้ายถูกเกาะด้วยเกล็ดน้ำแข็งเย็นเฉียบ
ฉับพลันภาพเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญไหลย้อนเข้ามาในหัว ประหนึ่งต้องการตอกย้ำให้มั่นใจว่าฉันไม่ได้ฝันไป ทั้งเรื่องโจรที่เข้ามาบุกรุกบ้าน อันนำมาซึ่งเหตุฆาตกรรมสุดเหี้ยมโหด และผู้ลงมือไม่ใช่ใครที่ไหน...
คีธ...
สิ่งมีชีวิตที่ฉันไม่อาจนิยามว่าเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับตัวเอง
เพราะเขาไม่ลังเลที่จะฆ่าแกงใคร ไหนจะพละกำลังมหาศาล กรงเล็บที่ผิดแปลก รวมถึงพฤติกรรมสุดประหลาด...ที่เขาดูดกลืนเลือดสด ๆ ของฉันได้หน้าตาเฉย ราวกับว่าสิ่งสิ่งนั้นเป็นเครื่องดื่ม หรืออาหารที่เขากินเป็นประจำอยู่แล้ว
ฉันโตมากับนิทานปรัมปราที่พวกผู้ใหญ่เล่าขานกันมาช้านาน แต่ไม่เคยเชื่อเลยสักครั้งว่าพวกนั้นมีอยู่จริงในโลกนี้
แม้กระทั่งคนในหมู่บ้านทยอยกันหายสาบสูญ จนผุดความเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของปีศาจในตำนานที่ยังมีลมหายใจ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยการกินเนื้อและเลือดสด ๆ
จนถึงตอนนี้ แม้ยังยืนหยัดอยู่ข้างเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แต่เพราะคีธแสดงให้เห็นถึงความผิดแปลกที่ไม่สามารถอธิบายได้ วูบหนึ่งฉันจึงแอบนึกถึงสิ่งที่คุณไดแอนเล่าให้ฟังตอนทำพิธีสังเวยกวางเมื่อเดือนก่อน เกี่ยวกับ 'ฟีนด์' ซึ่งเป็นชื่อเรียกของปีศาจในตำนานที่คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เกรงกลัวกัน
แต่เอาเถอะ...
ฉันสลัดศีรษะขับไล่เรื่องไร้สาระ สูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งขณะกดความกลัวที่ยังคงอัดแน่นอยู่ทั่วอณูของร่างกาย เมื่อตั้งสติได้แล้วจึงหย่อนเท้าเปล่าเปลือยลงบนความเย็นเฉียบของพื้นห้อง ซึ่งเกิดจากความฉ่ำชื้นของบรรยากาศด้านนอกที่พลอยทำให้อุณภูมิภายในห้องเปลี่ยนไป
ฉันค่อย ๆ เปิดประตูอย่างระมัดระวัง นำพาร่างกายที่ยังคงอ่อนแรงเพราะพิษไข้ลงไปยังชั้นล่างของบ้านด้วยความหวังที่ว่า...
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงความฝัน
ยังคงหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
ทั้งที่ความจริง...
ความคิดสุดเพ้อเจ้อนั้นถูกพับเก็บ เมื่อพบว่าบริเวณชั้นล่างของบ้านยังอยู่ในสภาพเดิมไม่ต่างไปจากหลายชั่วโมงก่อน จะต่างก็ตรงศพถูกลากออกไปด้านนอกแล้ว
สองขาเกิดสั่นเทิ้มขึ้นมาอีกครั้ง...
ทว่าถึงแม้จะกลัวจนฉี่แทบราดก็ไม่อาจนิ่งเฉยหรือเอาแต่หลบซ่อน
นี่มันบ้านของฉันนะ บ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิดเลยนะ
หยุดนิ่งเพื่อเรียกขวัญกำลังใจสักพัก ก่อนจะมุ่งหน้าเดินตามรอยเลือดที่ถูกลากเป็นทางยาว
จนได้คำตอบว่ารอยเลือดที่คาดว่าเป็นของศพทั้งสามรายนั้นถูกลากไปยังป่าทิศตะวันตก...
แม้ตอนนี้ฝนจะหยุดตกและหลงเหลือเพียงความเปียกชื้นของบรรยากาศ แต่เพราะป่าดังกล่าวเป็นเขตหวงห้ามซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความอันตราย กอปรกับความมืดโรยตัวปกคลุมแทบมองไม่เห็นอะไร ฉันจึงแน่นิ่งอยู่ในจุดที่ปลอดภัย เพียงทอดสายตาเข้าไปในความมืดมิดน่าพิศวงนั่นนานเกือบห้านาที
เมื่อได้รับความเงียบสงัดกลับมา ฉันจึงคิดว่าคีธคงเอาศพสามคนนั้นไปฝังในที่ไกลแสนไกล และตัวเขาอาจไม่กลับมาอีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี...
ทว่าเมื่อหันหลังกลับ โดยมีจุดมุ่งหมายจะเข้าบ้านไปจัดการคราบเลือดให้เสร็จสิ้นก่อนพ่อมา...ก็ต้องผงะ ก้าวถอยหลังแทบไม่ทัน
“นะ นาย” เสียงของฉันกลับมาแหบแห้งและตะกุกตะกักอีกครั้งหลังจากพบว่าคีธซึ่งตอนนี้สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วยังไม่ได้ไปไหน เขายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า คล้ายเฝ้ามองฉันจากจุดนี้มาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ฉันไม่รู้ตัว “ทะ...ทำไมนายยังไม่ไปอีก”
ถามเสียงสั่นพลางก้าวถอยหลัง
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกลัวใครขนาดนี้มาก่อนเลย
“...”
“ฉะ ฉันตัดสินใจแล้ว” กล่าวกระท่อนกระแท่นและยังคงขยับถอยหลังเรื่อย ๆ เนื่องจากคีธเดินตามมาทุกย่างก้าว “ที่นี่เป็นบ้านของฉัน ถ้าเจ้าของบ้านบอกให้ไปก็ต้องไปนะ ห้าม...”
หมับ
จากตอนแรกขยับเชื่องช้าไม่เร่งรีบ สักพักก็เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้ามาประชิดตัว ฉันถึงกับกลืนทุกอย่างลงคอเมื่อท่อนแขนแข็งแกร่งของอีกฝ่ายคว้าเข้าที่เอว ก่อนกระชากเข้าไปหาจนเรือนกายส่วนหน้าสัมผัสกัน...
การใกล้ชิดจนเกินจำเป็นส่งผลให้ฉันรับรู้ถึงอุณหภูมิจากตัวเขาทันที
แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับการที่เมื่อเงยหน้าขึ้น แล้วพบว่าดวงตาทั้งสองข้างซึ่งเคยเป็นสีมรกตนั้น เปลี่ยนมาสว่างวาบเหมือนเปลวไฟชั่ววูบหนึ่ง...ส่งผลให้ฉันเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นชัดเจน แทบไม่ต่างไปจากตอนส่องกระจก
“ฉันไม่มีที่ไป” ขณะช็อกกับสิ่งที่เห็น สุ้มเสียงทุ้มต่ำ ทว่ายังคงความดุกร้าวก็ดังเล็ดลอดผ่านริมฝีปากหยักบาง
ไม่มีที่ไปเหรอ?
พูดแบบนี้ได้ยังไง ไหนว่าอยากเป็นอิสระเพื่อไปจากที่นี่ไง
อีกอย่าง เขาบอกเองว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อรอให้พ่อกลับมา รอเพื่อที่จะได้ปลิดชีวิตท่าน
ให้อยู่ต่อก็บ้าแล้วนะ
“นั่น...ไม่ใช่ปัญหาของฉันแล้วค่ะ” ฉันอวดดีกลับไป...ทั้งที่หวาดกลัวจนหายใจแทบไม่ออก “เข้าใจแล้วก็ปล่อย โอ๊ย”
Third person Describe.
ไม่รอให้ไมอากล่าวจบ ท่อนแขนแข็งแกร่งซึ่งคราวแรกทำเพียงโอบธรรมดา ก็เปลี่ยนมารัดแน่นจนร่างบางที่เสียเปรียบในทุกทางแทบแหลกสลายคาอ้อมกอด ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเบ้หน้าคล้ายเจ็บปวดทรมาน ความรุนแรงที่คีธมอบให้ยิ่งทวีคูณ... “เจ็บ...ฉันเจ็บนะ...”
“ถ้าไม่อยากเจ็บก็อนุญาตซะ” ได้ยินชัดเต็มสองหูว่าเจ้าของบ้านไม่อนุญาตให้อยู่ที่นี่ แต่เพราะตัวคีธนั้นสูญเสียความทรงจำช่วงอดีตไปจนหมดสิ้น จะให้ระหกระเหินโดยไม่รู้ต้นกำเนิดก็เห็นจะสิ้นคิดไปหน่อย ดังนั้น... “บอกให้อนุญาตซะ!”
“ไม่ค่ะ...” ต่อให้กระดูกต้องแหลกละเอียดเป็นผุยผง ทว่าด้วยความห่วงใยที่มีต่อบุพาการี ทั้งยังตระหนักรู้ถึงความอันตรายที่คีธมี เธอจึงกล่าวปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ อึก”
แน่นอนว่าคำปฏิเสธที่ไมอามอบให้ทำเอาคนฟังฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม รู้อีกทีสิ่งมีชีวิตหน้าโง่ที่คีธมีความคิดอยากจับยัดลงท้องไม่ต่ำกว่าสิบครั้งก็เขียวคล้ำไปทั้งตัว เนื่องจากถูกรัดด้วยความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น
สุดท้าย...สองเท้าที่ยังพอหยัดยืนอยู่ได้ก็อ่อนกำลัง แต่ที่ไม่ล้มลงไปกองกับพื้นในทันที นั่นเพราะตัวคีธยังโอบรัดเธออยู่นั่นเอง
นี่น่ะเหรอ ยัยตัวเมียนี่น่ะเหรอ...?
คีธก้มมองคนในอ้อมแขนอย่างใกล้ชิด คิ้วเข้มขมวดมุ่นคล้ายไม่สบอารมณ์อย่างมากที่นอกจากจะถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดีแล้ว เธอคนนี้ยัง...
ฉับพลันภาพเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไหลย้อนกลับมา ภาพตอนเขาลิ้มชิมเลือดของไมอาเป็นครั้งแรก