บทที่3.2

1534 Words
“อะไรวะเนี่ย” เห็นได้ชัดว่าคนที่เดินไปเปิดประตูโดยไม่รู้ว่าชั้นใต้ดินบ้านฉันมีอะไรซุกซ่อนอยู่งุนงงและตกใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้ตัวคีธที่ยืนอยู่เบื้องหน้าดูเหมือนคนปกติทั่วไปมากแค่ไหน ทว่าในส่วนปลายของนิ้วมือกลับมีกรงเล็บแหลมคมงอกออกมา ลักษณะงุ้มงอและใหญ่โตคล้ายสัตว์จำพวกล่าเนื้อ ซ้ำเนื้อตัวเปล่าเปลือยยังปรากฏบาดแผลมากมายนับไม่ถ้วนจากการถูกทารุณกรรมมาอย่างยาวนานอีกด้วย “...” และจนถึงตอนนี้ นัยน์ตาคมกริบยังคงฉายแววดุกร้าว เขาไม่มองชายตรงหน้าที่เป็นคนไขกุญแจให้ด้วยซ้ำ มีเพียงฉันเท่านั้นที่คีธจับจ้องไม่วางตา แม้จะเป็นการจับจ้องที่แฝงไปด้วยความรู้สึกชวนขนหัวลุกก็ตาม “นี่...” ชายซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าส่งเสียงอีกครั้ง คีธจึงยอมเปลี่ยนทิศทางการมองไปยังต้นของเสียง แต่ไม่ทันได้มีการตอบโต้ผ่านบทสนทนาเช่นปกติ... ฉึบ! ตุ้บ! กรงเล็บดำทะมึนก็ตวัดเข้าเต็มลำคอของคนตรงหน้า... ส่วนหัวของผู้บุกรุกหลุดออกจากลำคอด้วยแรงตวัดเพียงครั้งเดียว ก่อนลอยลิ่วไปกระแทกผนังสีขาวและตกลงบนพื้นใกล้กับฝ่าเท้าเจ้าของร่างไร้วิญญาณที่เพิ่งล้มลงกับพื้น ในครั้งที่ทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว พบว่าทิศทางที่ศีรษะหันมานั้นเป็นทิศทางที่ฉันมองอยู่พอดี จึงทำให้เห็นสีหน้าของผู้ตายในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิตชัดเจนเต็มสองตา ดวงตาเปิดกว้างในระดับปกติ ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อย ดูรวม ๆ แล้วตัวผู้ตายแทบไม่แสดงอาการหวาดผวา อาจเพราะมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าตัวเองต้องมาตายอย่างฉุกละหุกในสภาพน่าอดสูแบบนี้ล่ะมั้ง เพราะระยะเวลาเตรียมใจแม้เพียงเสี้ยววินาที...คีธยังไม่มีให้ “...อึก” แม้ภาพนั้นแทบไม่ต่างจากตอนที่คีธบี้ศีรษะเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจนยุบแบน หากแต่ฉันกลับไม่สามารถทำตัวให้ชินกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นซ้ำสองได้ ดังนั้นต่อให้ตอนนี้ลมหายใจริบหรี่เพราะลำคอถูกรัดแน่น ฉันก็ไม่อาจเก็บซ่อนความกลัวที่ก่อตัวขึ้นอย่างเฉียบพลันได้เช่นเดียวกัน ฉันน้ำตาไหลพราก เนื้อตัวสั่นเทิ้ม หวาดผวาจนอยากกรีดร้อง ทว่าเสียงทั้งหมดทั้งมวลกลับแหบแห้งสิ้นดี... ซึ่งอาจเพราะโจรอีกสองคนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่ถึงสองวินาทีนับจากนั้นร่างที่เคยอ่อนปวกเปียกอยู่ในพันธนาการจึงถูกปล่อยอย่างง่ายดาย ฉันหล่นกระแทกพื้นบ้านจากการปลดปล่อยที่ไม่ปรานี ตามด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายผสมผสานการกระทบกระทั่งของอาวุธ รวมถึงผิวเนื้อและกระดูก ฉันหูอื้อตาลาย ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทุกสิ่งทุกอย่างประเดประดังเข้ามาคล้ายว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่ด้วยยังพอหลงเหลือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดอยู่บ้าง แม้จะแค่เศษเสี้ยวเดียว ขณะได้ยินเสียงคล้ายมีคนถูกทำร้าย ฉันจึงล้มลุกคลุกคลานไปยังทิศทางของแสงสว่างซึ่งสาดเข้ามาจากประตูบ้านที่พังยับเยิน... ทว่าเคลื่อนไหวได้เพียงเล็กน้อยก็ต้องชะงักค้าง เพราะอยู่ดี ๆ ร่างของหนึ่งในโจรชั่วซึ่งจำได้ว่าเป็นคนเดียวกันกับที่ล็อกคอฉัน...ก็ลอยข้ามหัวไป ก่อนตกลงตรงหน้าประตูบ้านพอดิบพอดี ตึก ครืด...ตึก...ครืด...ครืด... ระยะเวลาไล่เลี่ยกัน หูพลันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักหน่วงย่ำลงพื้นอย่างเนิบช้าหากแต่ชวนหวาดผวาในทุกย่างก้าว แรกเริ่มเสียงนั้นค่อนข้างเบาบาง แต่เพียงไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นชัดเจน... กระทั่งเสียงดังกล่าวหยุดเคลื่อนไหว แน่นิ่งอยู่ฝั่งซ้ายของตัวฉัน จึงพบเข้ากับข้อเท้าซึ่งยังถูกล่ามด้วยโซ่เช่นเดิม เพียงแต่มันขาดออกจากต้นขั้วแล้ว ความยาวเกือบหนึ่งเมตรของโซ่ที่ติดข้อเท้ามาจึงครูดกับพื้นบ้าน ก่อเกิดเป็นเสียงสั่นประสาท คีธ...เขาหลุดออกมาได้เหรอ? ตลอดมาไม่เคยทำได้ แล้วทำไมวันนี้... “...” ฉันเก็บความเคลือบแคลงนั้นไว้ ค่อย ๆ มองตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นไป กระทั่งพบเข้ากับเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ ซึ่งแม้จะหยุดยืนอยู่ข้างกายฉัน ทว่ากลับจับจ้องเพียงคนชั่วที่นอนหมดสภาพอยู่ตรงนั้นและยังคงหายใจอย่างรวยริน มันกระอักไอออกมาเป็นลิ่มเลือดข้นคลั่ก ตะเกียกตะกายเตรียมวิ่งหนี แต่ไม่ทันไร... หมับ คีธก็กระโจนเข้าไปเหยียบลงกลางแผ่นหลัง ออกแรงกดจนผู้เสียเปรียบแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จากนั้นจึงใช้เท้าข้างขวากระทืบลงบนศีรษะผู้เคราะห์ร้ายซ้ำไปซ้ำมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน... อันที่จริงครั้งเดียวก็มากพอแล้ว แต่คีธกลับไม่ยอมหยุด นัยน์ตาวาวโรจน์ก้มมองเหยื่อใต้อาณัติที่ส่วนของศีรษะอยู่ในลักษณะแบนราบ ของเหลวจากมันสมองรวมถึงอวัยวะส่วนใกล้เคียงสาดกระจายเปรอะพื้นไม่เหลือเค้าเดิม สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่คือเส้นผมของผู้ตายซึ่งชุ่มโชกไปด้วยเลือด คีธจิกกระชากเศษเนื้อที่ติดอยู่บนเส้นผมเกรอะกรัง จัดการเขวี้ยงทิ้งไปอีกทางแล้วเคลื่อนสายตากลับมาทางฉัน...ที่ตอนนี้ร่างกายแข็งค้างคล้ายถูกสาป ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้คำสั่งจากสมองจะร้องเตือนเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง สวบ... “ฮึก” แค่เพียงสบตาฉันก็ผวาจนเขยิบหนี ทว่าการร่นถอยอย่างสุดชีวิตด้วยเรี่ยวแรงเพียงหยิบมือได้สิ้นสุดลง...เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับผนังห้องอันเป็นทางตัน และนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เจ้าของร่างสูงราวร้อยเก้าสิบเซนติเมตรเคลื่อนเข้ามาใกล้จนบดบังแสดงสว่างจากภายนอก ก่อนใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเปรอะเลอะไปด้วยเลือดจะแจ่มชัดขึ้นในเวลาต่อมา คีธจ้องมองฉันด้วยสายตาชนิดหนึ่ง มันทั้งลึกลับ ทั้งอ่านยาก ขณะย่อตัวลงตรงหน้าในลักษณะที่เข่าข้างหนึ่งยันติดพื้น เชื่อไหม ความคิดที่อยากช่วยเหลือเขาก่อนหน้านี้คล้ายถูกกระแสลมพัดปลิวหายไป หลงเหลือเพียงความหวาดกลัวซึ่งเกาะกุมไปทั่วทุกอณูของร่างกาย... เขาลงมือฆ่าคนได้อย่างง่ายดาย ปลิดลมหายใจคนอื่นด้วยการกระทำที่ห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ มันมีแต่ความครุ่นแค้น อยากทำลาย บันดาลโทสะ และคลุ้มคลั่งเกินกว่าจะเข้าใกล้ หรือจริง ๆ แล้ว...โครงกระดูกนับสิบในห้องใต้ดินจะเป็นโครงกระดูกของคนที่หายสาบสูญ และเขา...เป็นคนลงมือฆ่า เป็นเขาใช่ไหม? ระหว่างที่ฉันเริ่มสติแตกเพราะภาพสยดสยองยังตามหลอกหลอน ก็พลันสะดุ้งเฮือก เพราะไม่กี่วินาทีให้หลัง...ชายผู้โหดเหี้ยมยกมือซ้ายขึ้นเล็กน้อย ทำท่าจะยื่นมาแตะส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้าฉัน แต่เมื่อฉันแสดงท่าทีต่อต้านผ่านเนื้อตัวสั่นระริก เขาจึงชะงักไป เขาค้างปลายนิ้วอันเต็มไปด้วยคราบเลือดและเศษเนื้อกลางอากาศเพียงชั่วครู่ หยุดนิ่งใคร่ครวญอะไรบางอย่างก่อนชักมันกลับไป ในขณะที่สีหน้าและแววตาของคีธยังคลุมเครือ ริมฝีปากเรียบตึงพลันขยับเขยื้อนเป็นประโยค “เมื่อเช้ายังคุยกับฉันแท้ ๆ” “...” อะไร... “เปราะบาง ไม่ได้เรื่อง” สุ้มเสียงนั้นแข็งกระด้าง เย็นเยียบ แฝงการดูแคลน คล้ายฉันมันอ่อนแอ ไร้ประโยชน์และน่าสมเพช พรึ่บ ทิ้งท้ายด้วยการแค่นเสียงหึในคอหนึ่งครั้งแล้วจึงหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง แม้ฉงนสงสัยกับท่าทางเหล่านั้นของเขามากจนลึก ๆ แล้วอยากได้คำอธิบาย หากแต่ฉันกลับทำได้เพียงปิดปากเงียบ จับจ้องเจ้าของแผ่นหลังกว้างหมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบงัน คีธขยับไปหยุดตรงจุดที่ศพไร้ศีรษะนอนแน่นิ่งจมกองเลือดเจิ่งนองอีกครั้ง ก้มมองด้วยสายตาเดือดดาล คล้ายว่าเมื่อครั้งยังมีลมหายใจ มันคนนั้นได้ทำเรื่องร้ายแรงกว่าใครในบรรดาโจรทั้งหมดที่เข้ามาบุกรุกบ้าน ส่งผลให้ความแค้นที่เขามีต่อชายคนนั้น...มันมากกว่าอีกสองคน จ้องมองสักพักก็ใช้เท้าเขี่ยร่างนั้นกระเด็นไปอีกทาง ก่อนออกไปหยุดยืนที่ด้านนอก...ซึ่งจนถึงตอนนี้สายฝนเย็นฉ่ำยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย เขาหยุดยืน ณ พื้นที่ดังกล่าว ปล่อยให้ความเปียกชื้นไหลชโลมร่างกายเปล่าเปลือยอันเต็มไปด้วยรอยกระเซ็นของเลือด รวมถึงร่องรอยการถูกทำร้ายแทบทุกตารางนิ้ว โดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่ออุณภูหมิเย็นเฉียบโดยรอบเลยแม้แต่น้อย ฉันจับจ้องเขาอย่างไร้ปากเสียง เฝ้ามองฆาตกรเลือดเย็นกวาดสายตาสำรวจผืนป่ากว้างและภูเขาลูกใหญ่ซึ่งโอบล้อมบ้านหลังนี้อยู่รอบทิศ ท่าทางเขาคล้ายตื่นตาตื่นใจกับโลกภายนอก แม้ไม่ได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งก็ตาม ซึ่งไม่แปลกหรอก เขาถูกขังอยู่ในห้องคับแคบนานกว่าสองปีนี่นา... ไม่พบเจอแม้กระทั่งแสงแดดหรือลมหนาว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD