ตุ๊กตา

2253 Words
‘ผัวเก่าโหด....บุกขอคืนดีอดีตเมียกลางดึก คาดเคลียร์กันไม่ลงตัว ลั่นไกดับ 2 ศพ....’ พาดหัวข่าวที่ฉันตัดมาจากหน้าหนังสือพิมพ์ ถูกหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง นี่คือการพิสูจน์ความปกติของสภาพจิตใจตัวเอง ที่ฉันแอบทำโดยไม่บอกให้ใครรู้ โศกนาฏกรรมอันโหดร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน ภาพจำยังคงชัดเจน เหมือนว่ามันเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เพียงแต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่กลางหัวใจ ค่อยๆ เบาบางลงจนแทบไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว กว่าฉันจะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมากว่า 5 ปี ฉันตามไม่ทันโลก เพราะไม่ได้เสพสื่อจากทางไหนเลย แม้แต่โทรทัศน์ ฉันไม่ได้ติดต่อกับใครเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านยายที่น่าน ก่อนหน้านี้แม่ป้อนข้อมูลให้ฉันว่าเราไม่มีญาติที่ไหนมาโดยตลอด และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นอกจากยายฉันก็ไม่มีญาติฝ่ายไหนให้ติดต่ออีกเลย ชีวิตผ่านไปแต่ละวัน โดยที่ไม่ได้รับข่าวสารภายนอกเลย มีเพียงกองหนังสือธรรมมะของยาย ที่เป็นสิ่งเยียวยาจิตใจ แรกๆ ก็ไม่ค่อยชอบนักหรอก แล้วก็อึดอัดมากๆ ที่ต้องอยู่กับคนแปลกหน้า ที่บอกแบบนี้ก็เพราะฉันไม่เคยเจอยายมาก่อนเลย แต่พอเวลาผ่านไป ยายและญาติๆ พยายามเข้าหาฉัน จนในที่สุดฉันก็เปิดใจยอมรับทุกคน พร้อมกับเปิดใจยอมรับการใช้ชีวิตอยู่กับหนังสือธรรมมะ แล้วละจากทางโลก "เสร็จหรือยังตุ๊กตา" เสียงยายตะโกนเรียกฉัน 'ตุ๊กตา' คือชื่อใหม่ที่พระตั้งให้ โดยมีความเชื่อว่าชื่อเก่าขวัญหายไปแล้ว ต้องตั้งชื่อใหม่ให้ขวัญกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า มันช่วยได้จริงๆ หรือเปล่า แต่ถ้ามันทำให้ทุกคนสบายใจขึ้น ฉันก็ยินดีจะใช้ชื่อนี้ แทนชื่อ 'สตาร์' ที่แม่ตั้งให้ "เสร็จแล้วจ่ะยาย" ฉันร้องตอบ ก่อนจะเก็บเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ สอดไว้ในหนังสือ แล้วเก็บใส่ลงในลิ้นชักตามเดิม วันนี้้ราจะไปบ้านเพื่อนของยายที่ อ.พบพระ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า มันคือที่ไหน ฉันไม่ได้เก่งเรื่องภูมิศาสตร์อยู่แล้ว "กินยาแล้วใช่ไหม?" "จ่ะ" นอกจากข้าวกับน้ำ ที่ฉันต้องกินทุกวัน ก็มียาที่ต้องกินทั้งเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เพื่อช่วยบรรเทาอาการป่วยของฉัน บ้านของยายเป็นครัวใหญ่ อยู่กันหลายครอบครัว มีลูกคนโตชื่อลุงสน และมีป้าแป้วเป็นสะใภ้ใหญ่ของบ้าน แล้วก็ลูกน้อยชื่อน้องทรายกับน้องซิน ลูกสาวตัวน้อยวัย 12 ปีและ 7 ขวบตามลำดับ ลูกคนรองของยายคือแม่ของฉัน และลูกคนที่สามของยายชื่อน้าสาว น้าสาวเป็นสาวหม้าย สามีเสียไปตั้งแต่ตอนที่ท่านกำลังท้องแก่ แต่ถึงอย่างนั้นน้าสาวก็ไม่เคยมีสามีใหม่ ใจเด็ดไม่ต่างจากแม่ของฉันเลย และลูกชายคนสุดท้องน้าสม แต่งงานกับน้าเงี้ยว สองคนนี้ไม่มีลูกเพราะน้าสมเป็นหมัน ส่วนตานั้น ยายเล่าให้ฟังว่าเสียไปนานแล้ว แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก รู้แค่ว่าป่วยหนัก จนสุดท้ายก็เสียชีวิตไป ยายเป็นคนมีฐานะในพื้นที่ เนื่องจากมีที่หลายร้อยไร่ แบ่งให้ลูกๆ เอาไปทำการเกษตรคนละ 50-60 ไร่ ส่วนใหญ่ก็เอามาทำสวนผลไม้กัน และที่ดินส่วนที่เหลือยายก็ปล่อยเช่า นอกจากนี้ ยายยังมีร้านขายปุ๋ย ขายยา ขายเมล็ดพันธุ์ ที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน บางครั้งฉันก็ได้ออกไปช่วยงานที่ร้านบ้าง แต่ยายไม่ค่อยอยากให้ไปเท่าไหร่ เพราะกลัวฉันจะเหนื่อย แล้วอาการกำเริบขึ้นมาอีก "วันนี้ยายจะพาไปเที่ยวแม่สอดนะ พอดีว่าแม่น้าเงี้ยวไม่สบาย เราก็เลยถือโอกาสพากันไปเยี่ยมเขาด้วย" ขณะที่อยู่บนรถตู้ ยายหันมาบอกกับฉัน เราเช่ารถตู้มากัน เพราะยกกันมาทั้งบ้าน มีแค่น้าสมกับน้าเงี้ยวที่ขับรถกระบะนำหน้าไป พร้อมกับผลไม้ที่เต็มท้ายรถ ไม่ได้เอามาขายหรอกนะ เอามาฝากบ้านน้าเงี้ยว นี่เป็นการออกจากบ้าน ที่ต้องเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ถ้าไม่นับการไปหาหมอตามนัด ที่ฉันต้องไปเป็นประจำทุกๆ เดือน "พี่ตุ๊กตาเคยไปเที่ยวตากไหมคะ?" เสียงน้องซินที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยถามฉัน 'ตากเหรอ?' ถึงฉันจะเสียสติไปเป็นหลายปี แต่ฉันไม่เคยลืม ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยมีความทรงจำที่ดีมากๆ ที่ตาก "ไม่เคยหรอก พี่อยู่แต่กรุงเทพ" แต่ฉันเลือกที่จะไม่พูดมันออกไป เก็บไว้ให้เป็นแค่ความทรงจำในใจไปตลอดกาลก็พอ "น้องซินเคยไปครั้งหนึ่งค่ะ ตอนน้องซินตัวเล็กๆ น้องซินจำไม่ได้หรอก แม่เล่าให้ฟัง" น้องซินเป็นเด็กที่อยู่ในวัยกำลังช่างพูด ถือเป็นอีกคนที่มีส่วนช่วยให้ฉันอาการดีขึ้น น้องซินมักจะเข้ามาหาฉันบ่อยๆ หาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง และชอบชวนฉันออกไปเล่นด้วยกันข้างนอก แต่ก็ผิดหวังอยู่บ่อยๆ เพราะยายไม่อนุญาต ฉันนั่งเล่น นั่งคุยกับน้องซินมาตลอดทาง ในขณะที่คนอื่นๆ พากันนอนหลับ ระหว่างทาง ยิ่งป้ายบอกทางชี้เส้นทางมุ่งหน้าสู่ตากมากแค่ไหน ใจของฉันมันก็ยิ่งเต้นตึกตัก ไม่เป็นตัวเองเลย ภาพความทรงจำสมัยที่หนีตามใครบางคนมาที่นี่ ค่อยๆ ชัดขึ้น หัวใจที่เหมือนตายไปแล้ว เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 'ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ สบายดีหรือเปล่า' ภาพของภูเขาวางสลับซับซ้อนกัน เหมือนกับภาพวาด สายหมอกจางๆ ปกคลุมภูเขาลูกที่ห่างออกไปให้เลือนรางราวกับอยู่ในโลกของความฝัน ที่รู้สึกแบบนั้นไม่ใช่เพราะฉันฝันแบบนี้หรอกนะ ความฝันของฉันน่ะมันทั้งน่ากลัว และโหดร้ายเสียจนหมอไม่อนุญาตให้ฝันเลยล่ะ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ฉันไม่แน่ใจเลยว่าระหว่างข้าวกับยา ฉันกินอะไรเข้าไปมากกว่ากัน แต่ไม่กินก็ไม่ได้เสียด้วยสิ เพราะหมอที่ฉันต้องไปหาทุกเดือนบอกว่า ถึงฉันจะอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่กล้าให้หยุดยา ก็เลยต้องกินมาเรื่อยๆ เมื่อเดินทางมาถึง ที่นี่ดูเป็นเมืองที่เจริญมากๆ มากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลย บ้านเมืองดูเยอะ ทั้งที่กว่าจะขึ้นมาดูเป็นภูเขา ป่า แต่พอมาถึงกลับเหมือนว่าฉันกำลังยืนอยู่ในกรุงเทพ แต่หากสังเกตดูดีๆ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ก็แอบต่างกันนะ ผู้คนดูเป็นเพื่อนบ้านมากกว่า ชาวเมียนมาร์ที่นุ่งโสร่ง หรือชาวมุสลิมก็เลยอะมากๆ บ้านของน้าเงี้ยวตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ที่ต้องขับรถเข้าซอยมาจนสุดทาง บ้านเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ มีรั้วล้อมมิดชิด บรรยากาศรอบๆ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และไม้ประดับ "สวัสดีจ่ะแม่" "สวัสดีๆ เป็นไงบ้างสบายดีไหม" หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามายกมือทักทายยาย ด้วยท่าทางที่ดูคุ้นเคยกัน พร้อมกับผู้ชายในชุดทำงานสองคนที่มาช่วยกันยกของลงจากรถ "สบายดีแม่ แล้วนี่..." "หลานสาว ลูกของลูกสาวที่...เพิ่งเสียไป" ยายเว้นระยะครู่หนึ่งก่อนจะพูดประโยคหลัง คงกลัวจะกระทบความรู้สึกของฉันนั่นแหละ "หนูเพิ่งจะเห็นนี่แหละ โอ๊ย...สวยอย่างกับดารา ผิวพรรณก็ดี" ผู้หญิงรูปร่างผอม ผมหยักศกยาวพอประมาณถูกมัดรวบต่ำๆ เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูจะบอกว่าเป็นคนมีฐานะ ฉันเดาว่านี่อาจจะเป็นน้องสาวของน้าเงี้ยว เขาเอ่ยชมฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและสายตาที่รู้สึกชื่นชมจริงๆ ฉันยกมือไหว้เป็นการทักทายพร้อมกับขอบคุณในคราวเดียว "นี่น้างาม น้องสาวน้าเงี้ยว" ยายหันมาบอกกับฉัน และนี่ก็เป็นคำเฉลยว่าฉันเดาถูก "สวัสดีค่ะ" เราพากันเข้าไปนั่งในบ้าน ที่ห้องโถงใหญ่มีโต๊ะไม้ที่กว้างพอจะรับแขกราวๆ 20 คนได้ ฉันนั่งติดกับยาย โดยมีน้องซินประกบข้างไม่ห่างตัว "แม่เป็นไงบ้าง" น้าเงี้ยวกระซิบถามน้องสาว ที่กำลังแจกจ่ายน้ำให้กับแขก "ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ หมอว่าให้ทำใจไว้บ้าง อาการมันก็ 50/50 " สีหน้าของน้าเงี้ยวดูแย่ลงทันที เมื่อน้องสาวตอบแบบนั้น ฉันเข้าใจนะว่ามันแย่แค่ไหน แต่น้าเงี้ยวยังถือว่ามีโอกาสได้ล่ำลาดูใจกันบ้าง ฉันสิ...ไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเลย ผู้ใหญ่นั่งคุยกันสักพัก อาหารที่เตรียมไว้รอก็มาขึ้นโต๊ะจนครบ พวกเรากินข้าวกันเสร็จ เด็กๆ ก็ออกมาเล่นสนุกในที่ลานนอกบ้าน ส่วนผู้ใหญ่ก็นั่งคุยกันต่อตามประสา "พี่ตุ๊กตาไปร้านกาแฟกับหนูไหม" น้องเมยเดินเข้ามาถามฉัน มองไปข้างหลังเห็นน้าสาวยืนรออยู่ ท่าทางคงจะให้น้าสาวพาไป "ยายอนุญาตหรือเปล่า" อย่างที่รู้ ว่าฉันไม่ได้ปกติเหมือนคนอื่น จะไปไหน ทำอะไรต้องรอให้ยายอนุญาตก่อน เพราะไม่อยากจะทำให้ยายไม่สบายใจ ฉันรู้สึกว่าอาจจะเพราะที่ยายทะเลาะกับแม่ จนแม่หนีหายไปด้วยส่วนหนึ่ง บวกกับที่ฉันเสียสติตอนที่เสียแม่ไปก็อีกส่วนหนึ่ง ทำให้ยายดูจะเป็นห่วงฉันมากๆ "หนูขอยายแล้ว ยายให้ไป หนูเลยมาชวนพี่ว่าพี่อยากไปหรือเปล่า" ฉันพยักหน้ารับ ดีเหมือนกัน ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา นานๆ ยายจะอนุญาตให้ไปไหนสักที เราออกมากัน 5 คน โดยมีน้าสาวเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องดูแลพวกเราทั้ง 4 คน “ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาแล้วรู้สึกยังไงบ้าง” เสียงน้าสาวเอ่ยถามขึ้น “ก็ดีค่ะ หลายๆ อย่างดูแปลกตาไปมากเลย” ฉันไม่เคยมาแม่สอดหรอก แต่ทางผ่านพอจำได้คับคล้ายคับคลาว่าเคยผ่านอยู่บ้าง "พูดอย่างกับเคยมาเลยนะ" ฉันเพิ่งจะได้สติก็ตอนที่ได้ยินเสียงน้าสาวบอกแบบนั้น ก็เลยยิ้มแล้วส่ายหน้า "ไม่เคยมาหรอกค่ะ แต่เหมือนเคยเห็นในทีวี" ฉันก็เลยพูดแก้ห้าไปก่อน พอพวกเราทั้งสามคนนั่งเล่นกันจนเบื่อแล้ว จึงได้พากันเดินกลับ แต่ขากลับดูเหมือนว่าผู้คนจะพลุกพล่านขึ้นเป็นเท่าตัว ฉันต้องพยายามเดินเกาะกลุ่มกัน เพราะกลัวจะพลัดหลง ใช่...คนเยอะขนาดที่ว่าถ้าเผลอปล่อยมือจากกันล่ะก็ หลงกันแน่ "อ๊ะ!! น้าสาว น้าสาวคะ" เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับฉันเข้าให้แล้ว เพราะขนาดว่าฉันพยายามที่จะจับมือกับน้าสาวไว้ให้แน่น แต่ก็ถูกคนเดินมาชนจนมือหลุดจากแขนของน้าสาวจนได้ และเพียงไม่นานฝูงผู้คนก็กลืนกลุ่มน้าสาวและน้องๆ ที่มาด้วยกันหายไปจากฉันในทันที และไม่ว่าฉันจะพยายามร้องเรียกดังแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจจะสู้กับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ เสียงแตร หรือแม้แต่เสียงของแม่ค้าที่ร้องขายของสองฝั่งทาง ฉันพยายามยืนอยู่ที่เดิม เผื่อว่าน้าสาวจะกลับมารับ แต่ก็ถูกผู้คนพาขยับออกมาจากจุดหลง ไกลออกมาเรื่อยๆ จนมั่นใจแล้วว่า คงจะหากับน้าสาวได้ยากเสียแล้ว "เอายังไงดีล่ะทีนี้ โทรศัพท์ก็ไม่มีซะด้วยสิ" ฉันบ่นกับตัวเอง ก่อนจะคิดได้ว่า ควรเดินย้อนไปที่ร้ากาแฟร้านเดิม เพื่อรอน้าสาวอยู่ที่นั่น คนตรงนี้เบาบางกว่าตรงที่หลังกันมาก ทำให้ฉันสามารถเดินได้สะดวกกว่า "ขอโทษค่ะ/ขอโทษครับ" แต่ก็ไม่วายที่จะเดินไปชนกับคนอื่นเข้า เพราะมัวแต่เหม่อกังวลเรื่องที่หลงกับน้า "สตาร์...ใช่มั้ย?" แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ฉันเดินชน เหมือนว่าโลกมันหยุดหมุนเลยล่ะ ถึงเขาจะดูอ้วนขึ้นมาก ผิวดูคล้ำขึ้น ผมเผ้าดูไม่เป็นทรงเลย แต่เสียงของเขาที่เอ่ยเรียกชื่อของฉันเมื่อครู่ ก็ทำให้ฉันมั่นใจว่าเขาคือใคร "เฟิร์ส..." มีคนเคยบอกไว้ว่า เรื่องบังเอิญไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักบนโลกใบนี้ ฉันไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะได้เจอกันอีก นับจากวันที่ฉันไปเยี่ยมเขาที่สถานีตำรวจคราวก่อน แม้จะไม่ได้นึกถึงอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคยลืมเขาไปจากความทรงจำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD