การที่คุณย่าหานตกใจจนเข่าอ่อนก็เป็นเหมือนกับการยืนยันว่าคุณย่าหานเอาโฉนดที่ดินของบ้านสามไปจริง ๆ ป้าสะใภ้ใหญ่ที่ได้ยินแม่สามีบอกว่าเป็นของลูกชายของนางก็ทำตัวไม่ยอมขึ้นมา แม่สามีของนางตั้งใจจะเอาให้หลานชาย ซึ่งคนนั้นก็คือลูกชายของนางและนางไม่ยอมให้มันหลุดมือไป
“เดี๋ยวสิ! หากมันเป็นของหลานชายจริง มันก็ต้องอยู่กับพวกเธอสิ” ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าว
กัวเหม่ยอิงหัวเราะ “ขนาดนี้แล้วป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงจะไม่ยอมรับสินะคะ แต่อย่าลืมเรื่องเงินที่ยืมไปด้วยค่ะ” กัวเหม่ยอิงเปลี่ยนเรื่องให้ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่ง
ลุงใหญ่มาเอาเงินไปมากกว่าห้าร้อยหยวนโดยที่พวกนางไม่รู้ก็ว่าแย่แล้ว นางที่มีลายมือการยืมเงินบนเอกสารก็ยิ่งมีชะงักติดหลัง แม่สามีของนางถึงจะไม่ได้ถือเงินเองแล้วแต่นางก็ต้องรับรู้เรื่องเงินที่เข้ามาและออกไป
“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเธอไม่ได้โกหก อีกอย่างปู่ของเธอก็ตายไปแล้ว จะให้ไปปลุกสหายของปู่เธอขึ้นมาอีกคนก็คงจะไม่ได้” คุณย่าหานที่มีหลานสาวเข้ามาพยุงเอ่ยขึ้น
นางผ่านโลกมานานกว่าหลานสะใภ้จึงปรับอาการได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นชื่อของหลานชายแต่นางก็หาข้อโต้แย้งไม่ได้ ขนาดนางยังจะเอาให้หลานชายคนโตแล้วคนเป็นพ่ออย่างลูกชายคนที่สามย่อมต้องเอาให้ลูกคนโตเหมือนกัน ครั้งนี้พวกนางพลาดแล้ว
“บนโฉนดจะมีชื่อของสามีฉันค่ะ ให้คุณย่าไปเอามาก็รู้แล้วว่ามันเป็นชื่อใคร” กัวเหม่ยอิงยิ้ม
“ได้!”
กัวเหม่ยอิงมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของคนบ้านใหญ่ด้วยความอารมณ์ดี จะว่าไปแล้วย่าสามีของเธอไม่คิดว่านางจะลำเอียงได้ขนาดนี้ นางเอ่ยปากออกมาเองว่าเป็นชื่อของพี่ใหญ่หานเซินลูกพี่ลูกน้องของสามีเธอ และกัวเหม่ยอิงคิดว่านอกจากย่าสามีแล้วก็ไม่มีคนอื่นรู้ ไม่งั้นจะมีอาการตกใจหรือเมื่อย่าสามีบอกว่าเป็นของพี่ใหญ่หานเซิน
พี่ใหญ่หานเซินไม่ได้ทำงานในอำเภอหรือรับตำแหน่งใด ๆ ภายในหมู่บ้าน เขาทำงานเก็บแต้มเหมือนกับคนอื่น ๆ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะซื้อที่ดินผืนนั้นได้ อีกอย่างทุกคนยังไม่ได้แยกบ้านแล้วพี่ใหญ่หานเซินจะไปเอาเงินมาแต่ไหน
คนที่ทำหน้าไม่ยอมรับที่สุดก็คงจะเป็นป้าสะใภ้ใหญ่ นางคิดว่าลูกชายของนางจะได้ที่ดินผืนนั้นในวันที่มันกลับคืนเจ้าของอย่างถูกต้อง
“ต้องขอบคุณเลขาธิการด้วยนะคะ ฉันกับน้องสะใภ้และน้องชายสามต้องขอตัวลาก่อน” กัวเหม่ยอิงหันไปพูดกับเลขาธิการหลังบ้านใหญ่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
“ดูแลตัวเองกันดี ๆ ส่วนอีกเรื่องพรุ่งนี้ลุงกับคณะกรรมจะจัดการให้” เลขาธิการตอบ
“ขอบคุณค่ะ”
รอบนี้กัวเหม่ยอิงเดินตามน้องชายสามกลับเพราะไม่ต้องแวะที่ไหนอีกจึงไม่ต้องรีบก็ได้ สองข้างทางเต็มไปด้วยธัญพืชที่เริ่มแตกหน่อขึ้นมา
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เธอไม่ต้องไปลงแปลงนาแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่เดินข้างกัน
“ทำไมคะ? ถ้าฉันไม่ลงแปลงนางแล้วเราจะมีอะไรกิน” สะใภ้รองแย้ง
เพราะตอนนี้เสาหลักของครอบครัวไม่สามารถส่งเงินมาได้แล้ว ไหนจะน้องสามีที่เรียนกำลังจะจบ หลานสาวสองคนที่ยังเล็ก และแม่สามีที่ป่วยอีก หากหล่อนมัวแต่อู้ทุกคนจะกินอะไรกัน
“ไม่ใช่ว่าเธอรับปากน้องชายสามหรือว่าจะเลี้ยงหลานให้? เธอก็รู้ว่าลำพังแค่เสี่ยวลู่ฉันก็ไม่ไหวแล้ว จะเอาให้แม่สามีเลี้ยงเธอก็คงรู้ว่ามันจะเป็นยังไง” กัวเหม่ยอิงอธิบาย
สะใภ้รองที่แต่งเข้าบ้านสามหลังจากเธอแต่งเข้าไม่ถึงเดือนในตอนนี้หล่อนยังไม่ตั้งครรภ์ น้องชายรองที่ได้รับบาดเจ็บไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หากสะใภ้รองยังอยากจะมีลูกก็คงต้องพักร่างกายเพราะตั้งแต่แต่งเข้ามานางก็ทำงานหนักมาตลอด ยิ่งช่วงเธอท้องสะใภ้รองยิ่งทำงานหนักกว่าเดิมจนแทบจะไม่ได้พัก
“แต่เราไม่มีเงิน…”
“เธอคิดว่าตอนนี้เราไม่มีเงิน? เธอคงจะลืมไปว่าอีกไม่นานค่าพลีชีพของสามีฉันคงจะถูกส่งมาให้ และสามีเธอถึงเขาจะถูกปลดก็มีเงินเดือนจ่ายให้ในวันสุดท้ายที่ปฏิบัติหน้าที่” กัวเหม่ยอิงว่า
เงินค่าพลีชีพหรือก็คือค่าทำขวัญของครอบครัวนั้นจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญในค่าย หากเป็นทหารใหม่ก็ร้อยกว่าหยวน ทหารที่ผ่านการฝึกก็คงจะ 200-300 ร้อยหยวน เป็นขั้น ๆ ไป และสามีของเธอก็เป็นทหารที่ประจำนานแล้วย่อมไม่ต่ำกว่า 1,000 หยวน
“แต่ตอนนี้ยังไม่ได้นี่คะ” สะใภ้รองกังวล
หล่อนไม่ได้กังวลว่าจะไม่ได้เงิน แต่หล่อนกังวลว่าเงินและธัญพืชที่มีอยู่ในตอนนี้จะไม่พอใช้ ยิ่งมีเด็กเล็กและไม่มีนมให้กินอีกยิ่งต้องมีเงินสำรอง ถึงแม้งานในแปลงนาจะทำให้หล่อนได้เงินไม่เยอะ แต่ก็เป็นทางเดียวที่ทำให้มีเงินไว้ซื้อธัญพืชและได้ธัญพืชมาเป็นเสบียงสำรองอีก
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันที่บ้าน ส่วนนายระหว่างรอกลับไปเรียนก็หาฟืนมาเก็บไว้ก็แล้วกัน” กัวเหม่ยอิงหยุดพูดเพราะอยู่นอกบ้าน อีกอย่างชาวบ้านที่อยู่ใกล้ต่างเอียงคอมองใกล้จะเคล็ดอยู่แล้ว
“ค่ะ/ครับ”
บรรยากาศของสมาชิกบ้านสามสกุลหานยามเดินกลับนั้นมีเพียงความเงียบ ช่างแตกต่างจากบ้านใหญ่ที่เดินลากถูกันกลับบ้านพร้อมกับเสียงประท้วงผู้เป็นแม่สามี
ก็แน่สิหากนับรวม ๆ แล้ว หลานชายของคุณย่าหานมีมากกว่าสิบห้าคน แต่คุณย่าหานกลับจะเอาโฉนดที่ดินที่ได้มาจากบ้านสามให้หลานชายคนโต ทุกคนต่างไม่พอใจ พวกเขาที่เป็นลูกและหลานชายต่างก็มีสิทธิ์ในโฉนดนี้
กัวเหม่ยอิงชวนสะใภ้รองปอกหน่อไม้ เธอจะต้มแล้วเก็บเอาไว้กินในวันหน้า ส่วนน้องชายสามให้เขาไปหาฟืนและหากเจอหน่อไม้ก็ให้เก็บมาด้วย ถึงแม้เธอจะบอกแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้คาดหวังเพราะยามนี้ทุกคนคงจะไปเก็บหมดแล้ว
หน่อไม้แปรรูปออกมาได้สองอย่าง อย่างแรกกัวเหม่ยอิงนำไปนึ่งครึ่งชั่วโมงให้มันสุก หากเป็นอนาคตคงจะเก็บด้วยการนำใส่ถึงแล้วแขวนไว้ แต่เพราะตอนนี้ไม่มีเธอจึงต้องนำไหที่มีในบ้านไปต้มฆ่าเชื้อในน้ำเดือดแล้วรอให้แห้งค่อยเอามาใส่ อย่างที่สองกัวเหม่ยอิงสับให้เป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำไปใส่ไหที่ต้มฆ่าเชื้อแล้ว
หน่อไม้ที่ได้มามันสามารถทำให้พวกเธอเก็บไว้กินได้เป็นเดือน เพราะพวกเธอมีแต่คนที่กินไม่เยอะ ไหนจะเห็นที่ตากแห้งไว้อีก พวกเธอคงจะมีเสบียงเก็บไว้กินได้อีกนาง
กุ้งที่จับมามันยังเหลือ อาหารมื้อกลางวันกัวเหม่ยอิงจึงผัดหน่อไม้ใส่กุ้งตัวโต ๆ ปรุงรสด้วยเกลือและซอสมักเค็มก็พอใช้ได้ นอกจากผัดหน่อไม้ใส่กุ้งกัวเหม่ยอิงยังตุ๋นไข่ใส่กุ้งสับและผักที่มีให้แม่สามีกินอีก เพราะผัดหน่อไม้มีรสจัดกัวเหม่ยอิงจึงเพิ่มอย่างอื่นให้แค่แม่สามี
เสี่ยวลู่กับเสี่ยวหนิงนั้นรู้ความมากหลังจากดื่มนมอิ่มก็หลับไป กัวเหม่ยอิงจึงให้สะใภ้รองเอากับข้าวไปให้แม่สามีส่วนเด็ก ๆ เธอก็เช็ดตัวให้ระหว่างรอแม่สามีกินข้าวเสร็จ พอทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็เอาเด็ก ๆ ย้ายเข้าไปนอนในห้องของแม่สามีให้นางไม่เหงาเกินไป
ส่วนเธอกับสะใภ้รองก็พากันกินข้าวก่อนน้องชายสามเพราะเธอแยกเอาไว้แล้ว และกว่าจะรอน้องชายสามกลับมาก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานไหม จึงกินข้าวก่อนและเก็บในส่วนของน้องชายสามเอาไว้
ปลาตัวเล็กถูกกัวเหม่ยอิงขอดเกล็ดและแล่แผ่ออก เธอจะนำไปหมักแล้วก็ตากแดดเอาไว้ ตอนนี้กับข้าวที่บ้านมีแต่จานเนื้อที่เธอคิดว่าสำคัญต่อครอบครัวเพียงพอจึงต้องนำปลาที่ได้มาตากแดด ส่วนปลาตัวใหญ่ค่อยตุ๋นเย็นนี้
“นายได้อะไรมาเยอะแยะ” สะใภ้รองถามน้องชายสามีที่สะพายกระเป๋ากับฟืนเข้าบ้าน
“หน่อไม้ครับ ผมเห็นมันขึ้นเยอะเลยใช้เวลานาน” น้องชายสามตอบเสียงเบาเพราะกลัวบ้านอื่นได้ยิน
จริง ๆ เขาก็คำนวนเวลาในการกลับมาแล้ว แต่ระหว่างกลับบ้านเขาบังเอิญเห็นหน่อไม้พอดีจึงเก็บกลับมาด้วย
“ดี ๆ ” สะใภ้รองว่าพลางลุกเอาข้าวไปให้น้องชายสามี
ส่วนกัวเหม่ยอิงนั้นหมักปลาที่กำลังจะนำไปตากแดดจึงไม่สามารถลุกไปคุยกับน้องชายสามได้
หน่อไม้ถูกปอกอีกครั้งด้วยสองสะใภ้และเพราะทำคล่องมือแล้วการปลอกหน่อไม้เกือบร้อยหน่อจึงใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง แต่ถึงจะปอกเสร็จแต่ถ้าไม่นึ่งก็ไม่เสร็จ กว่าจะทำเรียบร้อยก็ปาไปสามชั่วโมง ส่วนปลาที่หมักไว้นั้นเอาไปตากตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนแล้ว
กัวเหม่ยอิงต้มน้ำร้อนเสียดายที่เธอไม่สามารถหาซื้อขาดนมให้เด็ก ๆ ได้ ไม่อย่างงั้นเด็ก ๆ ก็คงไม่ต้องนอนรอให้พวกเธอใช้ช้อนป้อนแบบนี้
“ต้มน้ำให้เด็ก ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองที่ยกไหหน่อไม้ไปเก็บถาม
“อืม น้ำที่ต้มไว้เหลือก็จริงแต่มันก็สกปรกแล้ว” เพราะพวกเธอต้มน้ำแล้วเทใส่ชามไว้ พอทิ้งไว้สักพักฝุ่นก็เริ่มจับ จึงไม่ควรจะดื่มมัน
“ฉันไปแจ้งเลขาธิการแล้วนะคะ เขาตกใจมาก” สะใภ้รองหัวเราะ
เพราะกัวเหม่ยอิงให้เหตุผลสะใภ้รองว่าทำไมหล่อนต้องหยุดงาน ในที่สุดสะใภ้รองก็ไปบอกกับเลขาธิการว่าจะหยุดงานเพราะต้องเลี้ยงเด็กเพิ่ม ส่วนงานที่ทำไปก่อนหน้านี้ก็รอแค่แจกจ่าย ซึ่งทางเลขาธิการก็ไม่ได้ห้ามเพราะมันไม่เกี่ยวกับเขา
“ดีแล้ว แล้วเธอได้ไปถามข่าวน้องชายรองหรือเปล่า” เพราะคนที่มาแจ้งข่าวคือสหายของน้องชายรอง ซึ่งกัวเหม่ยอิงไม่รู้จักและหากจะไปถามก็ยังไง ๆ อยู่เพราะเธอเป็นที่สะใภ้ของเขา จึงต้องให้สะใภ้รองเป็นคนไปถามเอาเอง
“ฉันถามสหายเขาแล้วค่ะ เขาบอกเดี๋ยวจะถามทางนู้นให้” สะใภ้รองพยักหน้า
เพราะสหายของน้องชายรองนั้นไม่ได้เป็นทหารแต่ก็ทำงานในที่เดียวกัน การติดต่อจึงง่ายกว่าพวกเธอที่ต้องไปขอติดต่อและยืนยันตัวตนอีกมากมาย
“อืม” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
พรุ่งนี้คงต้องไปดูที่ดินผืนนั้นซะแล้ว บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบ้านอื่นก็จริงแต่มันก็ทำให้เธออึดอัด สู้ย้ายไปอยู่อีกที่ที่ปลอดภัยจะดีกว่า
“อีกไม่นานน้องชายสามก็คงเรียนจบแล้ว” สะใภ้รองกล่าว
น้องชายสามเรียนอีก 1 เดือนก็น่าจะได้จบแล้วหากคะแนนหรือการสอบครบก็ไม่มีจะมีอะไรที่น่าผิดคาด ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องหาที่ทำงาน และที่รู้ ๆ กันว่าหากไม่มีเส้นสายงานก็จะหายากมาก
“ใช่ ค่าใช้จ่ายก็คงจะลดลงพอสมควร ให้เขากลับมาอยู่ที่บ้านหลังเรียนจบ” เพราะไม่รู้ว่าเขาจะสามารถหางานได้หรือเปล่า การที่เรียนจบแล้วกลับมาพักอยู่บ้านก่อนเพื่อหางานเป็นการประหยัดเงินได้บ้าง
เธอไม่ได้ว่าเขาเป็นภาระเพราะหากว่ากันตามจริงเธอก็คงจะเหมือนภาระมากกว่า พ่อสามีและพี่ชายต่างคาดหวังให้เขาได้เรียนจบในระดับที่สูง และหาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัวเหมือนกับที่พวกเขาเคยหาให้
“เดี๋ยวฉันทำเองดีกว่าค่ะ พี่ไปดูหลานสาวเถอะ” เพราะเธอได้ยินเสียงเด็กร้อง หากปล่อยไว้นานเกรงว่าแม่สามีจะแย่เอา
“ได้”