เต็มไปด้วยความตื่นเต้น อันตราย กระหายการผจญภัย โหยหาความท้าทายในชีวิต กระทั่งมาหยุดลงก็ตอนที่ทั้งคู่มีครอบครัว
“นี่ถ้าไม่ได้นัดหมายว่าเป็นหนูพริมที่มาหา ลุงคงจำไม่ได้แน่ๆ”
คนกล่าวพิจารณาใบหน้าสวยสะอางของหญิงสาว ทั้งริมฝีปากและดวงตา ช่างเหมือนกับผู้เป็นบิดาไม่ผิดเพี้ยน
ซึ่งในอดีต คุณทรงชัยจัดเป็นผู้ชายหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์และเจ้าชู้ขึ้นชื่อ บรรดาเพื่อนฝูงเก่าๆต่างรู้ถึงกิตติศัพท์เป็นอย่างดีในเรื่องความเป็นนักรักของคุณทรงชัย
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ คุณพิทยาก็อดไม่ได้ที่จะถามถึงเกลอเก่าขึ้นมาในทันที ด้วยความคิดถึง
“ฝากกลับไปบอกพ่อของหนูด้วยว่าลุงเองก็คิดถึงสหายเก่าเช่นกัน...ลุงไม่เคยลืมเพื่อนรักที่เคยพากันย่ำผืนป่าสาละวินมาด้วยกันเมื่ออดีต ผ่านความยากลำบากด้วยกันมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเมื่อสมัยยังหนุ่มแน่น”
“ขอบคุณค่ะคุณลุง…ถ้าคุณพ่อได้ยินคงดีใจ”
“บอกกับพ่อหนูว่าเอาไว้ลุงมีเวลาเมื่อไร จะแวะไปหาที่กรุงเทพฯ คุณกันทางโทรศัพท์มันไม่เห็นหน้า ไม่เหมือนกับได้นั่งสวนเสเฮอา นึกอยากร่ำสุรากันในวงเหล้าตามประสานผู้ชาย”
คุณพิทยากล่าวจบก็หัวเราะเบาๆ แลเห็นเส้นที่ร่องแก้มหยักลึกลงชัดไปตามวัย
รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ใบหน้าของชายสูงวัยอีกครั้ง เมื่อได้เอ่ยถึงมิตรภาพเก่าๆ
“หนูได้ยินคุณพ่อพูดถึงคุณลุงบ่อยๆค่ะ คุณพ่อเคยเปรยเอาไว้ว่าจะพาครอบครัวขึ้นมาเยี่ยมคุณลุง แต่บังเอิญมาเกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน”
แววตาสวยหวานนั้นมีแววเศร้าปรากฏขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ความกังวลใจฉายออกมาให้เห็นอย่างมิอาจปิดซ่อน เมื่อเอ่ยถึงเรื่องร้ายที่เพิ่งเกิดกับพี่ชายร่วมสายเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอต้องขับรถจากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่ เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายเก่าของผู้เป็นบิดา
“เรื่องชานนท์ พี่ชายของหนู...ลุงเสียใจด้วย”
คุณพิทยาสีหน้าเศร้าลงทันใด รู้เรื่องที่ชานนท์หายไปจากปากของพริม มื่อตอนที่โทรนัดหมายหันทางโทรศัพท์
กล่าวจบก็ปรายสายตาไปยังผืนป่าเปลี่ยวและดิบชื้นเบื้องหน้าด้วยแววตากังวล ผืนป่าที่กว้างใหญ่อุดมสมบูรณ์ แลดูลึกลับซับซ้อนเกินกว่าจิตใจจะหยั่งได้
แม้ป่าผืนนี้…เขาอาจจะเคยย่ำเคยผ่านมันมาอย่างโชกโชนเมื่อครั้งอดีตก็จริง ทว่าไม่ใช่บริเวณที่ชานนท์หายไป เพราะทุกคนรับรู้ว่าผืนป่าบริเวณที่สันนิษฐานว่าชานนท์หายไปนั้น มีความลึกลับซับซ้อน ซ่อนไว้ด้วยปริศนาและมนต์ไพรมากมาย เป็นผืนป่าอาถรรพ์ที่กลืนกินชีวิตของผู้คนมานับไม่ถ้วน
พรานและคนชำนาญไพร ต่างรู้กันดีว่าชีวิตมากมายที่พลัดหลงเอาวิญญาณเข้าไปถมทับกันเป็นสุสาน เพราะความละโมบโลภมากของมนุษย์ ที่หวังจะไปขุดหาขุมทรัพย์ในดินแดนที่ยังไม่เคยมีใครเอาชีวิตรอดกลับมายืนยันได้ว่ามันมีอยู่จริง นอกจากเอาวิญญาณกลับมาเข้าฝันญาติพี่น้อง เล่าขานต่อๆกันมาเป็นตุเป็นตะ ถึงความมีอยู่จริง…หรือไม่จริงของมัน
“สุสานสาละวิน”
ชายวัยกลางคนรำพึงขึ้นลอยๆ สีหน้าเป็นกังวล
จากข้อมูลเบื้องต้นที่เพิ่งได้สอบถามมาจากเพื่อนฝูงที่เคยย่ำป่ามาด้วยกัน เดาได้ว่าบริเวณที่ชานนท์พลัดหลงเข้าไป ต้องเป็นสุสานอาถรรพ์แห่งนั้นอย่างแน่นอน
“สุสานสาละวินหรือคะคุณลุง?”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกโต ทวนถ้อยคำที่ได้ยินชัด คิ้วโค้งราวเสี้ยวจันทร์คว่ำ ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
“ใช่...ลุงสันนิษฐานว่าสุสานสาละวิน คือบริเวณที่พี่ชายของหนูพลัดหลงเข้าไป” คุณพิทยากล่าวพร้อมกับถอนหายใจลึกยาวออกมาอีกครั้ง
“ชื่อน่ากลัวจัง”
หญิงสาวขนลุกซู่ ยกมือขึ้นลูบท่อนแขนของตัวเองไปมา
เมื่อจู่ๆ…สายลมระลอกใหญ่ก็กรรโชกพัดใบไม้แห้งกรอบที่กองทับถมอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ เสียงดังแกรกกราก ทั้งคู่หันไปใบไม้ที่ถูกแรงลมลากพลิกไปตามพื้นหลายตลบ
พริมทอดสายตาไปยังผืนป่าเขียวขจีตรงหน้า แลเห็นใบกล้วยป่าโบกสะบัดล้อเล่นกับแรงลมอยู่ไหวๆ มองไกลๆ เหมือนใครบางคนกำลังกวักมือเรียกเธอ
ดวงตาหวานวาวของหญิงสาวมองเหม่อเหมือนต้องมนต์
“หนูพริม!...”
เสียงของลุงพิทยาดังขึ้น
“คะ!...”
หญิงสาวสะดุ้ง
คล้ายเพิ่งคลายออกจากอาการถูกสะกดด้วยมนต์ไพร
กังวานเสียงของลุงพิทยาช่วยฉุดเธอออกจากภวังค์ป่า ในวินาทีที่หญิงสาวรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังตกอยู่ในอาการถูกสะกดอยู่ในตอนนั้น
“นานแค่ไหนแล้ว...ที่พี่ชายของหนูหายไป”
กล่าวพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นจิบ ชวนหลานสาวเข้าธุระที่ทำให้เธอต้องขับรถมาไกล
“นับถึงวันนี้ ก็ได้เจ็ดวันแล้วค่ะคุณลุง”
พริมตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า ขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่หุบป่าที่ถูกขนานนามว่า ‘สุสานสาละวิน’
“ด้านทิศตะวันตกที่หนูกำลังมองอยู่นั่นแหละ...ที่ผู้คนขนามนามว่าสุสานสาละวิน” คุณพิทยาชี้มือนำสายตาออกไปที่ผืนป่าเบื้องหน้า พริมทอดสายตามองตาม
“ทำไมชื่อสุสานสาละวินคะ?” ความสงสัย ดลใจให้หญิงสาวเอ่ยถาม
“บริเวณนั้นถูกล่ำลือต่อๆกันมาว่ามีขุมทรัพย์” ชายวัยกลางคนกล่าว แววตากังวลครุ่นคิด
ทว่าจากที่พริมได้คุญกับพี่ชาย ในวันก่อนหน้าที่เขาตัดสินใจเดินทาง พริมยังจำได้ดีว่าสิ่งที่พี่ชายตั้งใจจะไปเสาะหานั้นไม่ใช่ขุมทรัพย์อย่างแน่นอน แต่เป็นกล้วยไม้ ‘เอื้องพลายชมพู’ (Pleione Praecox ) กล้วยไม้ที่สวยงามและหายากมากที่สุดอีกชนิดหนึ่งของไทย ซึ่งจะพบเห็นได้เฉพาะบนยอดดอยสูงเท่านั้น
“แต่พี่ชานนท์บอกว่าจะเข้าป่าเพื่อไปหาเอื้องพลายชมพูนะคะ”
“อืม…หากขุมทรัพย์ไม่ใช่เป้าหมาย พี่ชายของหนูก็อาจจะไม่ได้พลัดพลงเข้าไปเทือกแถบนั้นอย่างที่เราพยายามสันนิษฐานกันก็เป็นได้ ซึ่งลุงภาวนาขออย่าให้เป็นที่ตรงนั้น”
ชายวัยกลางคนหยุดนิ่งชั่วขณะ ถอนหายใจลึกยาวอีกครั้ง
“หมายความว่าที่ตรงนั้น…อันตรายมากใช่ไหมคะคุณลุง?”
“ร่ำลือกันว่าที่ตรงนั้นเป็นดงเสือสมิง...ใครที่พลัดหลงเข้าไป น้อยคนนักที่จะได้กลับออกมาในร่างที่ยังมีวิญญาณ”
“ฟังดูน่ากลัวจังเลยนะคะ”
“ ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังมิวายที่จะยอมให้ความโลภพาเอาชีวิตเข้าไปทิ้งในป่า เอาวิญญาณไปทับถมกับเป็นสุสานสาละวินตามชื่อของมัน”
ลุงพิทยาถ่ายทอดเรื่องราวไพรออกมาจากประสบการณ์ตรงและตำนานที่เล่าขานต่อๆกันมา
ในทั้งหมดทั้งมวลของประโยคที่คุณพิทยากล่าว คำว่า “เสือสมิง” กึกก้องอยู่เต็มสองหู กระตุ้นความใคร่รู้ของหญิงสาวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“พริมมืดแปดด้านจริงๆค่ะคุณลุง จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า แววตาหม่น ทอดมองผืนป่ากว้างใหญ่ตรงหน้าอย่างหมดหวัง
“ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...ที่จะค้นหาใครสักคน ท่ามกลางผืนป่าที่กว้างใหญ่ถึง 450,950 ไร่ จากเบาะแสอันน้อยนิดที่ทิ้งเอาไว้”
“พอจะมีหวังไหมคะคุณลุง” หญิงสาวถามถึงความเป็นไปได้ ในการติดตามหาพี่ชาย
คุณไม่ได้ตอบคำถามนั้นตรงๆ