“เอ่อ!....” หญิงสาวกระอึกกระอัก รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง กับสายตาคมจนเกือบแข็งกร้าวของเขาที่ทำประหนึ่งว่าเป็นสายตาของนักล่า
‘แต่ก็ช่างเถอะ! อย่าลืมว่านายคนนี้เป็นอดีตนายพรานใหญ่...คงคุ้นเคยกับสัตว์ป่าและการล่าจนคุ้นเคย จึงได้ใช้สายตาเหมือนนักล่ามองเธอ…ทว่าเธอไม่ใช่เหยื่อของใคร!’ หญิงสาวคิดในใจ
“ขอโทษ...ถ้าสายตาของผมอาจสร้างความอึดอัดให้คุณบ้าง” เหมือนเขาอ่านใจเธอออก
“รู้ด้วยหรือคะ?” เธอย้อน
รู้สึกไม่พอใจ หากมีใครสักคนที่ล่วงรู้กระทั่งความคิดของเธอ
“ผมไม่ค่อยคุ้นกับการต้อนรับผู้หญิงในยามวิกาลแบบนี้ โดยเฉพาะ...?” เขาทิ้งท้ายประโยคเอาไว้ให้คนฟังสงสัย หญิงสาวรู้สึกว่าจะดีกว่า ถ้าเขาไม่กล่าวมันออกมาเลย และมันทำให้เธอต้องถามต่อ
“โดยเฉพาะอะไรคะ…?”
หัวคิ้วโค้งราวคันเคียว ขมวดน้อยๆ สู้สายตาเขา คาดคั้นเอาประโยคที่เขากล่าวทิ้งเอาไว้
“โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆอย่างคุณ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกว่ามันคือคำชม หากรู้สึกว่ามันเป็นการไร้มารยาทกับเธอ
“ลุงพิทยากล่าวว่าคุณต่างจากผู้ชายคนอื่น แต่...” หญิงสาวทิ้งท้ายประโยคเอาไว้บ้าง สร้างความอยากรู้ให้กับนายเปลวฆวัจน์ขึ้นมาได้เช่นกัน
“แต่อะไรครับ…?”
เขาเลิกคิ้ว ดวงตาเบิกโต…ถามบ้าง
“แต่คุณก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไป...ที่ชอบมองผู้หญิงสวย ชอบแทะโลมด้วยสายตาและคำพูด เหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่เห็นผู้หญิงสวยเหมือนของหวานอาหารตา” เธอสัพยอก
“ก็นั่นและครับผู้ชาย...ไอ้ผมมันก็พิสมัยเพศตรงข้ามซะด้วย เป็นคนรักป่า แต่ไม่นิยมไม้ป่าเดียวกัน ขอโทษที่พล่ามออกไปตรงๆ ขอโทษที่ความตรงไปตรงมาของผม อาจทำให้คุณรู้สึกอึกอัด” เขาทำน้ำเสียงตำหนิตัวเอง
“ฉันคงอึดอัด ถ้าไม่รู้เรื่องราวของคุณมาก่อน จากปากของลุงพิทยา แต่ฉันจะไม่ถือสา...คิดซะว่าคุณคนตรง คงจริงที่มีคนบอกว่าคุณเป็นประเภทปากหนัก ขวานผ่าซาก มุทะลุดุดัน”
“ครบสรรพคุณ…คุณวิทยาคงเผาผมซะเกรียม ถึงว่าสิ!...วันนี้จามทั้งวัน” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อารมณ์ขันของเขา ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย
“เปล่าค่ะ…ลุงวิทยาไม่ได้เผา ไม่ได้นินทา ออกจะเอ่ยชมซะมากกว่า”
“อย่างนี้ผมก็เสียเปรียบแย่…คุณรู้เรื่องผม แต่ผมไม่รู้เรื่องคุณเลย ว่าแต่มีคนสรรเสริญผมขนาดนั้นเชียวหรือครับ”
หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น รอยยิ้มละมุนผุดพรายที่ริมฝีปาก อมยิ้มกรุ้มกริ่ม กอดอกมองเธอ
‘คนแนะนำมาคงลืมบอกไปอย่างนึง…ว่านายเปลวคนนี้ท่าทางเป็นคนเจ้าชู้’ หญิงสาวคิด
“คุณลุงพิทยาค่ะ ท่านแนะนำให้ดิฉันมาหาคุณ”
หญิงสาวยื่นนามบัตรที่กำแน่นอยู่ในมือน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม
เขาเอื้อมมือใหญ่ แลเห็นไรขนรกไปทั้งหลังมือและท่อนแขนกำยำ
รับนามบัตรใบนั้นไปจากมือนิ่มของหญิงสาว กวาดสายตาไปที่นามบัตร ปราดเดียวก็ระลึกได้ทันทีว่ามันคือนามบัตรของเขาที่เคยให้ไว้กับคุณพิทยา ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าที่ชายหนุ่มให้ความเคารพนับถือและรักใคร่เมื่อในอดีต
“เชิญข้างในก่อนครับ”
เขาผายมือเข้าไปในบ้าน เดินนำหน้าร่างอรชรของเธอเข้าไปช้าๆ ก้าวไปบนอิฐก้อนหนาที่ปูแผ่เอาไว้เป็นทางเดิน แลเห็นใบหญ้าเขียวแซมขึ้นมาตามรอยห่างระหว่างอิฐแต่ละก้อน
หญิงสาวอาศัยจังหวะที่เดินตามหลัง แอบสังเกตรูปพรรณสันฐานของเขา มองตามความสูงใหญ่ของร่างกายที่เดาเอาว่าน่าจะสูงเกินกว่า หรือไม่ก็เฉียด 180 เซ็นติเมตร
ช่วงไหล่บึนกว้าง ผึ่งผายแม้มองจากทางด้านหนัง แผ่นหลังตึงเต็ม สะโพกของเขาดูแน่นนูนด้วยปลีเนื้อแกร่งกระชับแนบไปกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินจาง บั้นท้ายนั้นสอบสวย ก้นงามสมส่วน รับกับท่อนขายาวกำยำ ทำให้แต่ละก้าวสง่างามสมชายชาตรี
‘น่าแปลกที่ชื่อของเขาก็ฟังดูว่าเป็นคนไทย แต่เหตุใด? เค้าโครงหน้าและร่างกาย จึงสูงใหญ่คล้ายลูกครึ่ง’
หญิงสาวคิด
ภายในห้องรับแขก
“เชิญนั่งครับ” มือใหญ่ ผายไปยังเก้าอี้ที่ประกอบขึ้นจากปีกไม้แผ่นใหญ่ ขนาดของมันกว้างจนน่าใจหาย เมื่อนึกถึงไม้ใหญ่ที่ต้นหนึ่งที่ต้องถูกโค่นและชักลากเอาออกมาจากป่า เพียงเพื่อจะมารองนั่ง
หากหญิงสาวก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อหย่อนสะโพกลงนั่งบนเก้าอี้ไม้แผ่นนั้น จึงได้รับรู้ว่ามันคือแผ่นซีเมนต์ที่สร้างขึ้นเลียนแบบไม้ได้อย่างละม้ายคล้ายคลึง
“ไม่ใช่ไม้จริงหรอกครับ...ผมไม่ชอบเบียดเบียนป่า”
เขากล่าวอย่างรู้ทัน เมื่อเหลือบไปเห็นมือน้อยๆของเธอเผลอไปลูบเก้าอี้เบาๆ เหมือนต้องการพิสูจน์วัสดุ
“เห็นด้วยกับคุณค่ะ เพราะคงเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ต้นไม้ใหญ่อายุหลายร้อยปีต้นหนึ่ง ต้องกลายมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน ประดับบารมีของมนุษย์ที่ส่วนมากก็มีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปี” เธอกล่าวได้อย่างน่าคิด
ชายหนุ่มอมยิ้ม แอบชื่นชมในทัศนคติที่หญิงสาวมีต่อต้นไม้
“ดีใจจัง ที่มีคนคิดเห็นเหมือนกับผม”
ใบหน้าครึ้มเครา ยิ้มรื่นชื่นชม ก่อนจะก้าวหายเข้าไปในตัวบ้าน
หญิงสาวมองตามเข้าไป บ้านของเขากว้างขวาง แม้ภานนอกอาจจะดูรกไปด้วยแมกไม้ หากแสงเรืองๆของโคมไฟเพดาน ก็ทำให้บ้านดูอบอุ่น น่าอยู่
ชายหนุ่มกลับออกมาพร้อมกับน้ำเย็นในแก้ว
“บ้านรกหน่อยนะครับ…คนไม่มีแม่บ้านก็อย่างนี้แหละ” เขาต้องการบอกเป็นนัยว่าโสด
หญิงสาวแอบเบ้ปากเล็กน้อยอย่างรู้ทัน ‘ไม่ได้ถามสักหน่อย’
“คุณคงเป็นพรานที่แปลกประหลาดจริงๆ…เหมือนอย่างที่คุณลุงพิทยาบอก”
“ยังไงครับ?”
หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความอยากรู้
“ฉันคิดว่าบ้านคุณจะเต็มไปด้วยงาช้างตั้งประดับ เขากระทิง หรือเขากวางโง้งยาว แบบที่พวกเศรษฐีนิยมเอามาประดับไว้บนผนัง หรือไม่ก็หนังสือโคร่ง เสือดาว ปูรองแทนพรมเช็ดเท้าเหมือนที่ฉันเคยเห็นมา”
หญิงสาวแปลกใจ ที่ไม่เห็นสิ่งที่กล่าวมานั้น ในบ้านของนายเปลวฆวัจน์คนนี้
เจ้าของบ้านหัวเราะร่วนออกมากับความเป็นคนช่างสังเกตของหญิงสาว
“นอกจากจะไม่นิยมของพวกนั้น…ผมยังต่อต้าน และมองว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นการไม่เคารพในธรรมชาติ ไม่เคารพในชีวิต ในสิทธิของผู้อื่น ผมไม่ชอบเอาซากเหล่านั้นมาชื่นชม ไม่ว่าจะหนังเสือหรือเขากวาง ถ้าจะชื่นชม…ผมชอบชมภาพที่มันมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติมากกว่า ผมชอบที่จะเห็นมันในขณะที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ มากกว่าจะไปไล่ล่า เบียดเบียน เข่นฆ่า แล้วเอาซาก เอาหนัง เอาเขาของมันมาชื่นชม” น้ำเสียงของเปลวจริงจังในสิ่งที่พูด
‘เขาต่างจากพรานคนอื่น จริงอย่างที่คุณลุงพิทยาบอก’
หญิงพึมพำในใจ ซ่อนสายตาชื่นชมเอาไว้ไม่มิด
“ว่าธุระของคุณมาเถอะ...มาถึงบ้านผมมืดๆค่ำๆแบบนี้ ไม่แคล้วต้องมีธุระร้อน” เขาสันนิษฐาน
“ฉันต้องการมัคคุเทศก์”
“มัคคุเทศก์ก็ออกจะมีถมเถ…ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องมาหาผม?” เขาแสดงสีหน้าแปลกใจ
“ถ้าต้องการมัคคุเทศก์นำเที่ยว ก็คงไม่ต้องมาหาคุณ…แต่ฉันต้องการคนนำทางไปตามหาพี่ชายที่หายสาบสูญ”
“สุสานสาละวิน” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆอย่างรู้ทัน
“ใช่ค่ะ”
“คุณรู้ได้อย่างไรคะ?” หญิงสาวสงสัย