“ถ้าห่วงพี่ชาย…ก็ควรปล่อยให้เป็นงานของพวกผู้ชาย หากคุณร่วมคณะไปด้วย เกรงว่าจะเป็นภาระให้คนอื่นต้องดูแล”
“ฉันสัญญาว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงใคร” หญิงสาวรีบยืนกรานเสียงแข็ง
สิ่งหนึ่งที่เปลวรู้สึกได้จากคำพูดของพริม ก็คือความมุ่งมั่นและแน่วแน่ที่เจือเอาไว้ในน้ำเสียงใสของหญิงสาว แววตาหวานวาวคู่นั้นมีความกล้าหาญฉาบเอาไว้ เชื่อว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแออย่างแน่นอน
“คุณคงยังไม่เคยนอนค้างแรมในป่าเปลี่ยวมาก่อน จึงนึกภาพไม่ออกว่ามันไม่น่าสนุกเลยสักนิด” เขาเตือน
“ฉันทำใจเอาไว้แล้วค่ะ…ว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุก…ฉันไม่แปลกใจที่การขอร่วมขบวนไปด้วยกับคุณ อาจทำให้คุณหนักใจ นั่นอาจเป็นเพราะว่าในชีวิตของคุณ คงเคยเจอผู้หญิงอ่อนแอมาเยอะ…แต่กรุณาอย่านับรวมฉันเข้ากับผู้หญิงอ่อนแอเหล่านั้น” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นเต็มไปด้วยความมาดมั่น
เปลวอมยิ้มกับความดื้อดึงและเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวผู้นี้ขึ้นมาทันที
นานแล้วที่เปลวไม่เคยเจอผู้หญิงลักษณะนี้ ดวงตาคมกริบของเปลวจ้องมองริมฝีปากสีชมพูอิ่มเต็มของหญิงสาวตรงหน้าอย่างลืมตัว ริมฝีปากหยักสวยบนดวงหน้าหวานหยาด หากวาจานั้นตรงกันข้าม ทั้งฉะฉาน กล้าหาญ เชื่อมั่น และแววตาที่มีประกายเว้าวอนวิบวับนั้นเอง ที่ทำให้เขาใจอ่อนในที่สุด
หลังจากตัดสินใจรับงาน เปลวหยัดร่างสูงใหญ่ขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นโทรหาเพื่อนรักที่ชื่อ ‘ทรงกลด’ อดีตป่าไม้จังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ เพื่อนรักที่เคยร่วมผจญป่าด้วยกันมาโชกโชนเมื่ออดีต
สหายที่อยู่ปลายสายคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นกดรับ เอ่ยทักทายต้นสายด้วยน้ำเสียงดังลั่น แข่งกับเสียงดนตรีที่อึกทึกอยู่ภายในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง ที่ซ่อนตัวอยู่กลางตัวเมืองเชียงราย ภายใต้แสงไฟหลากสีสันที่ย้อมบรรยายกาศให้ดูเร้าใจ เร่งการคัดหลั่งของอะดรีนาลีนและเอ็นโดรฟีนที่บางครั้งมันก็หลั่งออกมาพร้อมๆกันอย่างสับสน
“สวัสดีไอ้เพื่อนยาก” กังวานเสียงที่คุ้นเคย กรอกกลับมาสู่ต้นสาย
“ขอโทษที่ต้องรบกวนเวลาหาความสำราญของนาย” เปลวแกล้งสัพยอกอย่างคนที่รู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี
“ช่างรู้ทันจริงๆ…ไอ้เพื่อนคนนี้” ทรงกลดกล่าว
“ฉันมีงานด่วน…ต้องการให้นายช่วย” เปลวบอกกับสหายที่อยู่ปลายสาย
“มีงานไหนบ้าง…ที่นายโทรมาแล้วบอกไม่ด่วนบ้างวะเพื่อน” ทรงกลดแกล้งสัพยอกกลับ ขยับบุหรี่ที่เปลวไฟแดงไหม้ลามลงจนเกือบถึงก้นกรอง ดีดเบาๆตรงขอบจานเขี่ยบุหรี่ ยกขึ้นสูบช้าๆอีกที เหมือนเสียดายส่วนที่เหลือ
“ว่าไปเพื่อน…”
กล่าวพลางพ่นควันสีขาวจาง กระจายไปในความมืดที่ถูกย้อมด้วยแสงสีวูบวาบหลากสีสันคริสตัลดวงกลมที่หมุนควงอยู่ไปตามจังหวะทำนองของเสียงเพลงกระทึ่ม กระตุ้นเร้าด้วยเสียงกลอง รุนแรง เร้าใจ
ทรงกรดค่อยๆหยัดกายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กลางโชฟาร์ภายในห้องคาราโอเกะส่วนตัว ท่อนแขนกำยำอีกข้างยังโอบเอวสาวเสริฟร่างอวบที่คอยรินเบียร์เคลียคลออยู่ใกล้ๆ
“ฉันขอแยกแกออกจากสาวๆที่กำลังห้อมล้อมแกอยู่สักเจ็ดวัน…ขอแรงไปเป็นเพื่อนฉันเดินป่า”
เหมือนตาเห็น
เปลวกลอกเสียงดังกลับไปอย่างรู้ทันนิสัยเจ้าสำราญของทรงกลด เมื่อเสียงเพลงอึกทึกฟ้องว่าเขากำลังอยู่ในผับ หรือไม่ก็กำลังทำตัวเป็นผีเสื้อที่ระเริงราตรีอยู่ในบาร์เบียร์ที่ไหนสักแห่ง
“ป่าไหนวะเพื่อน?” ทรงกลดถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“สุสานสาละวิน”
“หา!...” ปลายสายอุทาน อ้าปากค้าง
บุหรี่ที่คีบคาอยู่ในมือถึงกับร่วงลงกลางโต๊ะ
“ลืมแล้วหรือวะ!...ที่ฉันเคยบอกว่าถ้าไม่จำเป็น เราจะไม่กลับไปเหยียบที่นั่นเด็ดขาด”
ทรงกลดเตือนความจำให้สหายเก่า ว่าเมื่อครั้งหนึ่งในอดีต ทั้งคู่เกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่สุสานสาละวินแห่งนั้น
“แต่ครั้งนี้จำเป็นว่ะ” เปลวตอบกลับไปสั้นๆ
“จะไปเมื่อไร”
“วันมะรืน…”
“เร็วขนาดนั้น…!.”
“ใช่…ถ้างั้นคืนนี้ก็ล่ำลาสาวๆของนายให้พอ จะได้ไม่ต้องหอบอารมณ์เปลี่ยวเข้าป่า พรุ่งนี้เช้าฉันจะแวะไปหานายที่แม่สะเรียง คุยรายละเอียดกัน”
เปลวนัดหมายเพียงสั้นๆ จากนั้นจึงกดตัดสายเพราะไม่อยากรบกวนเวลาสำราญของเพื่อนมากไปกว่านั้น
เกริ่นเอาไว้เพียงคร่าวๆ เพราะรู้ดีว่ารุ่งขึ้นต้องหารือในรายละเอียดกันอีกยาว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เปลวไม่อยากปฏิเสธงานนี้ แม้จะยังไม่อาจยอมรับได้สนิทใจถึงเหตุผลบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาด แต่ก็โกหกตัวเองไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะดวงตาใสๆ เป็นเพราะใบหน้าหวานๆ เป็นเพราะพวงแก้มแดงระเรื่อและริมฝีปากสีชมพูอิ่มเต็ม น่าจูบ ของสาวน้อยเปี่ยมเสน่ห์คนนี้ที่มาว่าจ้าง
เพราะเปลวรู้ดีว่าการที่ตนตัดสินใจรับงานนี้…นอกจากเงินค่าจ้างที่งดงาม เปลวยังรวมเอาความสะสวย เปี่ยมเสน่ห์ของหญิงสาวผู้ว่าจ้างไว้ในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจรับงานใหญ่ชิ้นนี้
ครู่ใหญ่ๆผ่านไป หลังจากเปลววางสายสนทนากับเพื่อนรักที่ชื่อทรงกลด หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาโรเล็กซ์เรือนทองอร่ามที่ข้อมือของตน เมื่อได้ยินเสียงลมกรรโชกแรง เสียงกิ่งไม้เสียดสีกับชายคาบ้านที่ด้านนอก กิ่งของมันโยกโยน ครูดไปมาเป็นจังหวะกับขอบกระเบื้องหลังตา
ดวงโคมเรืองๆที่สาดแสงเหนือเพดาลสูง ส่ายสั่นเบาๆ กระแสลมที่มีการเคลื่อนไหว เตือนว่าเมฆฝนที่ตั้งเค้าทะมึนอยู่เมื่อตอนหัวค่ำ คงกำลังลอยเรี่ยต่ำลงมาช้าๆ
เสียงลมที่กรรโชกแรงขึ้นทุกที ราวจะบอกว่าฝนกำลังจะกลั่นเม็ดลงมาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
สายตาของหญิงสาวเผลอสำรวจเข้าไปในบ้านของเปลว ผ่านโต๊ะทำงาน ชั้นวางที่มีหนังสือเล่มใหญ่ตั้งเรียงเอาไว้จนแทบไม่เหลือที่ว่าง ที่ผนังมีแผนที่เก่าแผ่นใหญ่ประดับเอาไว้ บนโต๊ะทำงานมีลูกโลกกลมๆตั้งอยู่ เดาว่าเขาคงมีความรู้ด้านภูมิศาสตร์อยู่ไม่น้อย ที่ผนังอีกด้านมีกล้องส่องทางไกลแขวนเอาไว้
ใกล้ๆกับหมวกสีน้ำตาลเข้มปีกกว้าง ตรงกึ่งกลางของผนัง มีรูปถ่ายขาวดำของชายคนหนึ่งซึ่งมีเค้าโครงหน้าหล่อเหลา เป็นฝรั่ง เดาว่าน่าจะเป็นรูปของบิดาของเขา หรือไม่ก็ญาติที่ต้องมีเชื้อสายใกล้ชิด เพราะใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเปลวจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพิมพ์เดียวกัน
แม้จะยังไม่รู้ชัดว่านายเปลวคนนี้…แท้จริงแล้วมีอาชีพอะไร หากหญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงแง่มุมชีวิตและทัศนคติที่มีต่อธรรมชาติและสัตว์ป่าของเขา
พริมเห็นจริงอย่างที่ลุงวิทยาบอกว่านายเปลวคนนี้ไม่เหมือนใคร คนคิดว่าเขาเป็นพราน แต่ความจริงเขาเป็นคนที่คอยปกป้องผืนไพรและสัตว์ป่า
‘ ถ้าจะตั้งฉายาให้เปลวว่า ‘พรานผู้อนุรักษ์’ คำนี้คงเหมาะกับเขา แต่แววตาที่เขาลอบชำเลืองมองหล่อนแต่ละครั้ง มันมีประกายความร้อนแรงบางอย่างแอบแฝงเอาไว้ ไม่แน่ว่านอกจากฉายาพรานผู้อนุรักษ์ เขาอาจจะควบตำแหน่ง ‘พรานนักรัก’ เอาไว้ก็ได้…ใครจะรู้’ หญิงสาวคิดในใจ
ดวงตาหวาน จ้องจับไปที่ใบหน้าหล่อเหลาครึ้มเคราของเปลวเหมือนจะกล่าวอำลา ในจังหวะที่สายฟ้าปลาบลงมา แสงวาบของมันช่วยลบเงาจากเสี้ยวหน้าบางส่วนของชายหนุ่มที่ซ่อนเอาไว้จากแสงไฟเพดาน แลเห็นรูปหน้าหล่อเหลาของเขาชัดเจนเต็มสองตา
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับมาพร้อมกับสัญญาว่าจ้าง…เอ่อ ว่าแต่คุณจะเรียกค่าแรงเท่าไรคะ?”
เธอลืมไปว่าเขายังไม่ได้ตกลงเรื่องค่าจ้างกับเธอ
“เรียกว่าค่าเสี่ยงตายจะดีกว่า”
เปลวกล่าวด้วยน้ำเสียงติดตลก
“…..”
หญิงสาวไม่ได้กล่าวอะไร นอกจากรอฟังคำตอบจากปากของเขา
“สามแสนขาดตัว จ่ายก่อนห้าสิบเปอร์เซ็นต์ อีกครึ่งที่เหลือ…เอาไว้จ่ายหลังจากเสร็จงาน” เปลวคิดว่ามัน