“ช่วงนี้งานยุ่งเหรอวะ ถึงไม่ค่อยมีเวลามาดื่มกับพวกกู” อลันเอ่ยถามลีคัสหลังจากตัวเองยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดกเรียบร้อยหนึ่งอึก สายตามองไปยังเพื่อนสนิทเพื่อรอคำตอบ ช่วงนี้ลีคัสไม่ค่อยมาพบปะกับเพื่อนทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยพลาดเวลาเพื่อนชวนมารวมกลุ่ม
“นิดหน่อย” เขาตอบกลับเสียงเรียบพลางยกบุหรี่ที่คีบไว้ขึ้นมาดูดตรงปลายกระบอกแล้วพ่นออกมา
ช่วงนี้ที่เขาไม่ค่อยมาเจอเพื่อนเพราะมีงานใหญ่เข้ามาบวกกับมีปัญหากับคนเป็นปู่ด้วย รายนั้นอยากให้เขาแต่งงานเพราะอยากเห็นหน้าเหลนแล้วบอกว่าเขาอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เพราะแบบนี้เขาถึงไม่อยากไปทานอาหารที่บ้านใหญ่เท่าไร ไม่อยากฟังปู่พูดเรื่องของตัวเอง อีกอย่างเขากำลังเตรียมการเรื่องแก้แค้นฌอนอยู่
“ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาสัมภาษณ์มึงเหรอวะ เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะมึง” มาร์ลิกซ์แซวเพื่อน
“หึ ก็แค่สัมภาษณ์ทั่วไปเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่มีไรพิเศษหรอก”
“อยากรู้จริงๆ บริษัทนั้นไปบนวัดไหนไว้ไอ้เสี่ยลีถึงยอมตกลงให้สัมภาษณ์” มาร์คินพูดแล้วกลั้วหัวเราะ ลีคัสไม่เคยตอบตกลงให้ใครสัมภาษณ์มาก่อน แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างไปจากทุกครั้ง ตอนแรกที่พวกเขารู้ตกใจมากไม่น้อย แต่ต่อให้ถามลีคัสอย่างไรถ้ามันจะไม่บอกก็ไม่บอก ตื้อเอาคำตอบไปด้วยก็เท้านั้น เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
“เด็กมึงมาไอ้ลี”
เขาหันไปมองผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามา ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงแขนให้ลงมานั่งข้างกาย เขาไม่รอช้าจู่โจมอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยักได้รูปบดขยี้ปากอวบอิ่มอย่างดูดดื่มโดยไม่สนใจว่าตรงนี้มีเพื่อนนั่งอยู่ด้วย พวกมันเห็นภาพนี้จนชินตาไปแล้ว ไม่คิดอะไรมากหรอก
“แม่งอยากแดกตรงไหนก็แดกตรงนั้นเลยเพื่อน”
“ถ้าจะเสียบกันเมื่อไหร่ก็ส่งสัญญาณบอกด้วยแล้วกัน พวกกูจะได้ไปรออีกห้อง”
เพื่อนสนิทลีคัสไม่ได้ตกใจหรือเขินอายที่เห็นเพื่อนทำแบบนั้นกับผู้หญิงเพราะเห็นบ่อยจนชินไปแล้ว มันคือเรื่องปกติสำหรับลีคัสที่นัวเนียกับผู้หญิงได้ไม่เลือกที่
@บริษัทLee กรุ๊ป
“จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจของคุณลีคัสคืออะไรคะ?”
เฌอปรางค์เริ่มสัมภาษณ์ลีคัสตามคำถามที่ทางบก.ของบริษัทเขียนขึ้นมาให้ โดยใช้โทรศัพท์ตัวเองในการบันทึกคำตอบของลีคัส
“ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจของผมคืออะไร ก็คงมาจากการที่บ้านของผมทำธุรกิจกันอยู่แล้ว ผมก็เลยคลุกคลีเรื่องการทำธุรกิจมาจากที่บ้านด้วย”
“เท่าที่ทราบมา คุณลีคัสไม่เคยให้สัมภาษณ์กับที่ไหนมาก่อน แล้วทำไมถึงยอมตกลงให้บริษัทเราเข้ามาสัมภาษณ์คะ?”
“หึ ไม่รู้เหมือนกันครับ คงเพราะรู้ว่าจะมีคนเก่งๆ อย่างคุณเฌอปรางค์มาสัมภาษณ์ ผมยอมตกลงให้สัมภาษณ์ เพราะถ้าเป็นคนอื่นผมคง…ไม่ตกลง”
เฌอปรางค์ชะงัก สายตาละจากแผ่นกระดาษบนหน้าตักมองไปยังลีคัสที่ตอบคำถามแบบนั้น หญิงสาวทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่บก.เขียนมาให้ถามลีคัสต่อ
“คุณลีคัสชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอคะ? เดาว่าคงมีผู้หญิงหลายคนที่อยากรู้คำตอบของคุณ” เธออ่านคำถามที่พี่คิตตี้ซึ่งเป็นบก.เขียนมาให้ถามลีคัสพลางขมวดคิ้วตามไปด้วย นี่คือคำถามที่ใช้สัมภาษณ์นักธุรกิจหรือดาราชื่อดังกันแน่
“ผมเป็นคนไม่สเปกตายตัว ถ้าเจอแล้วชอบหรือถูกใจ ผมจะเป็นฝ่ายเข้าหาเอง”
“แล้วตอนนี้คุณลีคัสมีใครที่ถูกใจหรือกำลังคุยอยู่ไหมคะ” เธออึ้งกับคำถามของพี่คิตตี้มาก หวังว่าลีคัสจะไม่พอใจที่โดนถามถึงเรื่องส่วนตัวแบบนี้
“คุยอยู่ตอนนี้ไม่มี แต่ถ้าถูกใจ…ก็มีอยู่คนนึงครับ” เขาพูดพร้อมมองเฌอปรางค์ ก่อนจะขยับริมฝีปากพูดประโยคถัดมากับคนตรงหน้า “และคนๆ ก็กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของผม”
กึกก
เธอนิ่งอึ้ง สายตาละจากแผ่นกระดาษบนหน้าตักอีกครั้งเพื่อมองลีคัส หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ คาดไม่ถึงเลยว่าลีคัสจะตอบคำถามแบบนั้น ถ้าบทสัมภาษณ์นี้ถึงหูพี่คิตตี้ เธอจะโดนอะไรบ้างเนี่ยเพราะไม่ได้สาระอะไรจากเขาเลย เหมือนมานั่งให้เขาพูดความในใจมากกว่าสัมภาษณ์ลงนิตยสาร ช่างเถอะ ค่อยไปตัดส่วนหลังออกก็ได้
“หลังจากสัมภาษณ์ผมเสร็จ คุณเฌอปรางค์ว่างไหมครับ?”
“ก็ว่างค่ะ ทำไมเหรอคะ?” หลังจากสัมภาษณ์ลีคัสเสร็จเธอไม่มีงานต่อแล้ว แค่ส่งเสียงที่บันทึกเอาไว้ให้พี่คิตตี้ก็กลับไปนอนตีพุงเล่นที่คอนโด
“ไปทานอาหารกับผมสักมื้อได้ไหมครับ?”
“เอ่อ…”
“หรือคุณเฌอปรางค์มีนัดแล้ว?”
เธอนิ่งเงียบพักหนึ่ง เธอควรตอบตกลงไปทานอาหารกับลีคัสหรือปฏิเสธดี ถ้าหากได้สนิทกับลีคัสในระดับหนึ่งมันก็คงง่ายต่อการร่วมงานกันในครั้งหน้า เพราะพี่คิตตี้วางแผนจะเชิญลีคัสมาเป็นแขกในงานเลี้ยงที่กำลังวางแผนจะจัดในอนาคตซึ่งยังไม่มีกำหนดที่แน่ชัด แต่ถ้าเธอใช้วิธีนี้ในการตีสนิทกับลีคัสมันจะไม่ดูเป็นการเข้าหาเพราะผลประโยชน์หน่อยเหรอ? เธอเริ่มลังเล
“ถ้าคุณเฌอปรางค์ไม่สะดวก ไม่เป็นไรนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปได้” เธอตอบรับลีคัส “ยังเหลืออีกหนึ่งคำถาม ถ้าอย่างนั้นฉันขอสัมภาษณ์ให้จบเลยนะคะ”
“ได้ครับ”
“ความรักสำหรับคุณลีคัสคืออะไรเหรอคะ?”
ลีคัสนิ่งชะงักกับคำถามนี้ อยู่ดีๆ หัวใจข้างซ้ายก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ภาพใบหน้าอดีตคนรักที่จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับคืนฉายอยู่ในหัว มาเฟียหนุ่มยิ้มก่อนจะเริ่มขยับริมฝีปากตอบเฌอปรางค์
“ความรักสำหรับผมคือการรักอีกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไข ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และหวังดีต่อให้อีกฝ่ายจะไม่อยู่ตรงนี้แล้วก็ตาม” มือที่ประสานไว้ข้างหน้าบีบเข้าหากันแน่น หลังจากพูดจบเขาก็ช้อนสายตาขึ้นมองเฌอปรางค์
“ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ” เธอหยิบโทรศัพท์ตัวเองกลับคืนมาแล้วทำการบันทึกเสียงลีคัสเอาไว้เพื่อส่งให้พี่คิตตี้ที่เป็นบก.
“คุณเฌอปรางค์เป็นลูกคนเดียวไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ ฉันมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน”
“น่าอิจฉาจังเลยนะครับ ผมเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ผมเคยมีความฝันว่าอยากมีน้องสาว น่าอิจฉาพี่ชายของคุณเฌอปรางค์นะครับที่มีน้องสาวทั้งสวยและเก่งแบบนี้”
“มีก็เหมือนไม่มี พี่ชายของฉันนานๆ ทีจะบินกลับไทยเพราะยุ่งเรื่องงานบริษัทที่อิตาลี”
“เหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วพี่ชายคุณเฌอปรางค์เป็นคนยังไงเหรอครับ?”
“รักครอบครัว อบอุ่น เวลามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ทุกเรื่องเลยค่ะ”
“ท่าทางคุณเฌอปรางค์จะรักพี่ชายมากนะครับ” เขาพูด แววตาเฌอปรางค์ตอนพูดถึงฌอนเป็นประกายแสดงออกถึงความรัก ดีเหมือนกัน ยิ่งรู้ว่าพี่น้องรักกันมากแค่ไหน มันยิ่งง่ายต่อการแก้แค้นมากเท่านั้น
อยากรู้จริงๆ ถ้าเฌอปรางค์รู้ความเลวของพี่ชายสุดที่รักมันจะเป็นยังไง คงสนุกมากน่าดู…
หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มรับเท่านั้น ไม่ได้ตอบโต้อะไรลีคัสกลับไปแต่อย่างใด
“ถ้างั้นพวกเราไปทานอาหารกันเลยไหมครับ”
“ค่ะ” เธอหยิบกระเป๋ามาคล้องไหล่แล้วลุกขึ้นตวัดเท้าเดินตามลีคัสออกมา
ทั้งสองคนลงลิฟต์มาด้วยกันแล้วตรงไปยังรถหรูที่จอดรอ ทว่าฝีเท้าของเฌอปรางค์กลับค่อยๆ ชะลอลง แผ่นหลังกว้างของลีคัสเริ่มเห็นได้เพียงเลือนราง
เธอหลับตาลงเพื่อเรียกสติตัวเอง เมื่อคืนเธอไข้ขึ้นแล้วกินยานอนหลับไป ตื่นเช้ามาก็ยังมีอาการหน้ามืดเล็กน้อยเลยกินยาก่อนจะมีสัมภาษณ์ลีคัส แต่กลับไม่คิดว่าเธอจะมีอาการหน้ามืดอีกครั้ง และดูเหมือนครั้งนี้มันจะหนักกว่าเมื่อเช้า เธอรู้สึกว่าแข้งขาตัวเองอ่อนแรงลงไปอัตโนมัติ ก่อนจะไม่รับรู้อะไรอีกเพราะสติสัมปชัญญะได้ดับวูบลง
พรึ่บ
ลีคัสรับร่างเฌอปรางค์ที่โอนเอนไปมาเอาไว้ได้ทันก่อนเธอจะกระแทกพื้น
“พาเธอไปโรงพยาบาลไหมครับนาย” พายุถามเจ้านาย
“ไม่ต้อง กูจะพาเฌอปรางค์ไปที่เพนท์เฮาส์”
“เพนท์เฮาส์?” พายุทวนอีกรอบให้แน่ใจ
“ใช่ ทำตามที่กูบอก” เขาช้อนร่างเฌอปรางค์ที่หมดสติขึ้นแล้วตวัดสองเท้าเดินตรงไปยังรถ
“นายวางยาเธอรึเปล่าครับ?” พายุที่ก้าวขาขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับแล้วเอ่ยถามเจ้านายหนุ่มพลางรัดเข็มขัดนิรภัย
“หึ…” ลีคัสไม่ตอบ แต่กลับยกยิ้มเพียงแค่มุมปากเท่านั้น
ท่าทางของเจ้านายทำให้พายุรู้ได้ทันทีว่าเฌอปรางค์ถูกวางยา และก็ไม่ใช่ฝีมือใครที่ไหน…ลีคัสนั่นเอง
“กูก็แค่กำลังทำให้แผนของกูมันเร็วขึ้น อีกไม่นานไอ้ฌอนมันก็จะบินไทยแล้ว กูรอไม่ไหวที่จะเห็นมันเจ็บปวดเหมือนที่กูเคยโดนแล้ว หึ…” เขาแสยะยิ้ม มองเฌอปรางค์ที่นอนสลบบนตักตัวเองพลางเลื่อนมือไปลูบศีรษะของเธอด้วยแววตาเย็นชา