รถยุโรปคันหรูแล่นมาจอดที่ถนนเส้นหนึ่งในเมืองเอล บาฮาซึ่งเมืองหลวงของบาฮาเนีย ถนนสายนี้เต็มไปด้วยร้านรวงที่ตบแต่งอย่างสวยงาม แต่ละร้านจำหน่ายเสื้อผ้าทั้งสตรีและบุรุษ ร้านขายเครื่องประดับและร้านอาหารหรูหรา
ร่างสูงใหญ่หันไปสั่งการองครักษ์และผู้ติดตามก่อนที่จะปรายตามองมาทางหญิงสาวที่เขาพามาด้วย ตลอดเส้นทางจากพระราชวังจนมาถึงถนนการค้าที่รุ่งเรืองนี้ หญิงสาวได้แต่นั่งตัวตรงจนเขาคิดว่ากระดูกสันหลังของเธอคงถูกดามด้วยเหล็กกล้า แต่เมื่อเธอลงมายืนนอกรถและเหลียวมองรอบกายซึ่งห้อมล้อมไปด้วยร้านค้าต่างๆ ที่เป็นชั้นร้านชื่อดังหลายร้าน ดวงตาสีนิลก็เบิกกว้างอย่างประหลาดใจ เธอเคยเห็นแต่ในหนังหรือหนังสือ ไม่คิดว่าจะได้มายืนอยู่ในสถานที่นี้จริงๆ
‘ผู้หญิงกับการชอปปิ้งเป็นของคู่กันนี่ แค่นี้เธอก็คงเสียงอ่อนเสียงหวานออดอ้อนให้เขาซื้อข้าวของแพงๆ ให้แน่ๆ’
ราเฟย์กระตุกยิ้มที่ริมฝีปากกับความคิดของตัวเอง ดวงตาสีฟ้าเข้มเปล่งประกายอย่างคนที่คว้าเอาชัยชนะในสงครามครั้งนี้ไว้ในกำมือ แต่เขาลืมไปว่าเขายังไม่ได้คว้ามันไว้ได้จริง
“นี่เป็นถนนการค้าที่รุ่งเรืองที่สุดในเอล บาฮา สวรรค์ของนักชอปปิ้ง เจ้าต้องการอะไรก็เลือกได้เลย เราจะเป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเอง”
เขาแบมือเชิญให้เธอเดินไปตามถนน อารยามองมือของเขาแล้วก็อดหวั่นใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าในสมองขององค์รัชทายาทที่แสนปากร้ายพระองค์นี้คิดอะไรอยู่ เธอเหลียวมองไปด้านหลังเห็นกีวอนและองครักษ์คนสนิทของราเฟย์คือคานัน คอยยืนคุมอยู่ด้านหลัง
‘ถ้าไม่ทำตามใจรัชทายาทสมองเพี้ยนนี่ มีหวังสองคนข้างหลังอาจถูกลูกหลงก็เป็นได้’ หญิงสาวระบายลมหายใจเบา ๆ ก่อนก้าวเท้าเดินไปดูร้านค้าต่าง ๆ
‘ไม่อยากขัดใจหรอกนะแล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย’
เธอบอกตัวเองในใจ ความจริงเธอควรมีกีวอน คนของท่านคาร์ดัลมาดูแลเธอ แต่ตอนนี้เขากลับต้องเดินตามหลังเธอต้อยๆ แล้วไกด์ของเธอกลับกลายเป็นองค์รัชทายาทเสียนี่! นี่เขาคงอยากอวดความเจริญของบ้านเมืองถึงพาเธอมาดูเสื้อผ้าข้าวของแบรมเนมพวกนี้ แต่เธอสนใจมันที่ไหนเล่า! คุณป้าดา (ปารด้า) หลุยติ๊งต๊อง (หลุยส์ วิตอง) เธอก็รู้จักแค่ยี่ห้อมันแต่ไม่เคยมีความคิดในสมองว่าอยากได้พวกมันมาไว้ในครอบครอง เสื้อผ้าที่เธอสวมส่วนใหญ่เป็นของพื้นบ้านที่ชาวบ้านทำเอง เธอไม่ชอบความฟุ่มเฟือยที่ไร้สาระพวกนี้
สายตาของสาวๆ นักท่องเที่ยวที่เดินสวนทางหันมายิ้มหวานโปรยเสน่ห์ให้ราเฟย์ โดยที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นถึงองค์รัชทายาท เขาไม่ได้มีความคิดดูหมิ่นดูแคลนสตรีเพศ แต่ก็เบื่อหน่ายกับกิริยาของผู้หญิงแบบนี้ บ่อยครั้งที่ชายหนุ่มต้องเดินทางไปติดต่องานที่ต่างประเทศ ในเมืองอื่นที่ไม่มีใครรู้ฐานะที่แท้จริงของเขา หญิงสาวเหล่านั้นก็มองเขาเพียงเปลือกนอก ใบหน้าหล่อเหลาและเสื้อผ้าการแต่งกายที่หรูหรา คันสปอร์ตคันหรูที่ขับ เงินทองที่เขามีหาซื้อความสุขจากหญิงสาวเหล่านั้นได้ไม่ยากนัก
ทว่ากลับไม่เคยมีใครมองเขาที่เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งสักครั้ง! เขาเคยเดินตามหญิงสาวเพื่อซื้อของกำนันให้พวกเธอเหล่านั้นมันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ ผู้หญิงเหล่านั้นจะคอยจีบปากจีบคอถามหรือให้เขาช่วยเลือก เพชรแบบไหนดี ดีไซด์แบบไหนสวย อะไรที่เข้ากับพวกเธอ แต่ตอนนี้เขานึกรำคาญการเดินตามผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาแล้วซิ
“ไม่อยากได้อะไรบ้างหรือไง”
“เอ่อ...”
อารยาสะดุ้งกับเสียงที่ดังเกือบจะเป็นตะคอกอยู่ข้างหูเธอตวัดสายตาคมกริบไปมองแต่ก็ต้องสะบัดหน้ากลับมาอย่างเดิม
“ที่นี่ไม่มีอะไรที่อยากได้ค่ะ”
“อะไรกัน! ถนนเส้นนี้แทบจะยกร้านค้าแบรดเนมดังๆจากทั่วมุมโลกมาไว้ที่นี้ ยังมีอะไรที่มันไม่มีอีกเรอะ!”
หญิงสาวถอนหายใจหนักๆ จะอธิบายให้เขาเข้าใจยังไงดี? “ไม่ได้หมายความอย่างนั้นเพคะ คือ...ฉัน เอ๊ย! หม่อมฉันไม่อยากได้ของพวกนี้”
“ทำไม?”
“ก็ไม่ทำไมนี่เพคะ หม่อนฉันอยู่ในวังก็ใส่แค่ชุดพยาบาลจะแต่งตัวสวยๆ ไปทำไม เสื้อผ้าพวกนี้ไม่ได้มีความหมายกับหม่อนฉันนี่เพคะ”
‘ทำไมไม่พูดออกมาเลยละว่าเสด็จพ่อให้เจ้าได้มากกว่านี้!’
ราเฟย์ขมกรามแน่นจนเป็นสันนูน เขาชี้ไปที่ร้านจิวเวอรี่
“แล้วเครื่องประดับพวกนั้นหละ ถ้าเจ้าต้องการทั้งร้านเราจะซื้อให้”
“หม่อมฉันจะเอามาทำอะไรละเพคะ”
อารยาทำหน้าเหวอทั้งร้าน! เธอจะเอาไปทำไม เธอทำธุรกิจอะไรไม่เป็นหรอกนะ หรือจะซื้อเครื่องประดับให้เธอก็ไม่รู้จะใส่ไปไหนอีกนั้นแหละ เกะกะเปล่าๆ เวลาทำงานนอกจากนาฬิกาแล้วเธอไม่เคยมีเครื่องประดับอย่างอื่นเลย หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจก่อนที่จะใช้นิ้วเกี่ยวสร้อยทองคำขาวที่สวมอยู่ออกมาจากในเสื้อ จี้ที่ห้อยคออยู่สะท้อนแสงแดดวาววับ
“หม่อมฉันมีแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
‘ใฝ่สูงเกินไปแล้ว!’
ราเฟย์กำหมัดแน่น พยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพล่าน ถ้าไม่เป็นถนนสาธารณะ เขาอาจจะสะบัดหลังมือใส่หญิงสาวบอบบางคนนี้ก็ได้ เธอช่างกล้านักนะ ฉลาดแกมโกงเป็นที่สุด! ใช่ซิ! ทรัพย์สมบัติของทั้งราชวงค์ฯมันมีค่ามากกว่าเครื่องประดับทั้งร้านจิวเวอรี่นั่นด้วยซ้ำไป ดูท่าเขาจะประเมินเธอต่ำไปด้วยซ้ำ!
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างงุนงงไม่เข้าใจอาการของอีกฝ่าย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเสนอจะพาเธอเที่ยวเอง แต่ทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเธออย่างนั้นแหละ เอ๊ะ! หรือว่าจะหิว?
“หม่อมฉันว่าเราหาอะไรทานดีมั๊ยเพคะ อากาศร้อนอย่างนี้ท่านอาจจะเหนื่อย”
“ได้!”
ราเฟย์เดินนำไปยังภัตตาคารที่หรูหราที่สุดในเมือง ผู้คนที่จะมารับประทานอาหารที่นี่ต้องโทรจองโต๊ะล่องหน้าไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน แต่นามองค์รัชทายาทแห่งบาฮาเนียทำให้เขาได้ที่นั่งทีมุมดีที่สุดของร้านสามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบเมืองได้ชัดเจนโดยไม่ต้องโทรจองเหมือนคนอื่น ก็แน่ละ!เขาใช่คนธรรมดาที่ไหน!
“อยากกินอะไรล่ะ” เขาถามโดยไม่เปิดเมนู
อารยาก้มหน้าก้มตาดูเมนูในมือแต่ก็ต้องมึนงง เธอไม่ค่อยรู้จักอาหารชื่อประหลาดเหล่านี้ จะให้สั่ง ‘ข้าวผัด’ หรือ ‘ก๋วยเตี๋ยว’ คงไม่มีแน่ เธอยิ้มแหยก่อนเลื่อนเมนูออกห่างตัว
“หากจะกรุณาก็สั่งให้หม่อมฉันสักจานเถอะเพคะ” ‘อะไรก็ได้หิวไส้กิ่วแล้ว’
“เฮอะ!”
ราเฟย์ทำน้ำเสียงขึ้นจมูก ผู้หญิงคนนี้ฉลาดกว่าที่คิดมาหลอกใช้ให้เขาสั่งอาหารให้ได้! และถ้าเขาไม่ทำให้คงจะดูไร้ความเป็นสุภาพบุรุษเกินไป เขาเรียกบริกรและสั่งอาหารอย่างรวดเร็วราวกับมารับประทานอาหารที่นี่เป็นประจำ
“ฉันจะมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยหรือเปล่านะ”
อารยาเผลอพึมพำออกมาเป็นภาษาไทย แต่อีกฝ่ายกลับได้ยิน ดวงตาคมกริบจ้องมองเธอจนแทบจะเฉือนเนื้อของเธอออกมาทำเป็นสเต็กทีเดียว
“เจ้าพูดอะไร”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรเพคะ แค่บ่นนิดหน่อย”
เธอตอบไปพลางนึกว่าเขาอยู่ในใจ ไม่คิดว่านอกจากจะปากร้ายแล้วยัง ‘หูดี’ อีกต่างหาก
“แล้วเจ้าบ่นอะไร หาว่าเราดูแลเจ้าไม่ดีงั้นซิ” เขาเอนกายมาข้างหน้ามือใหญ่ประสานรองใต้คางราวกับกำลังสอบสวนนักโทษ
“มิได้เพคะ” เธอถอนหายใจ “แค่รู้สึกว่าพระองค์ช่างเอาใจใส่หม่อนฉันเหลือเกิน”
เธอไขว้นิ้วไว้ที่ใต้โต๊ะ โกหกเพื่อเอาชีวิตรอดไม่รู้จะบาปแค่ไหนนะ
“ก็เจ้าเป็นคนโปรดของเสด็จพ่อ เราก็ต้องดูแลอย่างดีไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะไปพูดกับเสด็จพ่อว่าเราทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ไม่ดี ไม่ต้อนรับคนโปรดของเสด็จพ่อ”