หญิงสาวทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อตงหมิงและตงเหมา ในทุกๆ วันเธอจะทำหน้าที่แม่และภรรยาที่ดี เธอค่อยๆ ละทิ้งความเป็นซิงเหมยก่อนจะเข้าสู่บทบาทใหม่อย่างเต็มตัว
‘ซูเม่ย’ ตื่นแต่เช้าเพื่อทำความสะอาดบ้านก่อนจะนำผ้าไปซัก หลังจากนั้นเธอเปิดดูในตู้เก็บอาหารก่อนจะพบว่ามีเพียงเห็ดหอมแห้งที่ถูกห่อด้วยกระดาษ หญิงสาวถอนหายใจยาว เป็นจังหวะเดียวกับที่สามีนั้นเดินออกมาจากห้องนอน เขาเห็นเธอยืนนิ่งก็เอ่ยถามขึ้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าอาเม่ย”
ซูเม่ยหันกลับมามองสามีก่อนจะถอนหายใจยาวอีกรอบ
“คุณไม่ได้ซื้ออาหารเข้าบ้านหลายวันแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มหลุบตาลง เห็นสีหน้าของเขาแล้วหญิงสาวก็รู้สึกผิด เธอเม้มปากก่อนจะนำเห็ดหอมไปแช่น้ำและเดินมาหาสามีก่อนที่เธอนั้นจะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อและวางลงบนมือเขา ตงเหมาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ
“ไปเอาเงินมาจากไหน”
เห็นสามีดูกังวลใจเธอจึงรีบอธิบาย
“ฉันเห็นว่ามีเศษเหล็กถูกกองทิ้งไว้หลังบ้านจึงนำไปขาย”
ตงเหมาพยักหน้าอย่างเข้าใจ อันที่จริงเศษเหล็กพวกนั้นเขาขนกลับมาจากโรงงานแต่ยังไม่ได้ขายทิ้งเพราะก่อนหน้านี้ถูกกดราคาอย่างหนัก กว่าจะนึกขึ้นได้เวลาก็ผ่านมานานนับปีแล้ว
“ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้”
เขามองเงินในมือก่อนจะแบ่งให้หญิงสาวแต่เธอไม่รับ อันที่จริงเธอไม่ได้มีเรื่องต้องใช้จ่ายอะไร สิ่งเดียวที่กังวลคือค่าอาหารในแต่ละวันเท่านั้น ช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ เธอต้องตอกไข่ผัดกับข้าวเปล่าให้ลูกและสามีกิน ตงหมิงคงจะเบื่อช่วงหลังถึงได้กินข้าวไม่เคยหมดจาน
หญิงสาวสงสารเด็กชาย หลังจากที่สองพ่อลูกออกจากบ้านไป เธอก็ตะเวนหางานทำ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดผู้คนที่นี่ถึงดูไม่ชอบหน้าเธอนัก เพียงแค่เดินผ่านหน้าร้านก็ตะโกนด่าทอทำให้หญิงสาวรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
“คุณเก็บไว้เถอะค่ะ อย่าลืมซื้อกับข้าวกลับมาด้วยนะ”
หญิงสาวเอ่ยก่อนจะนำเห็ดหอมออกมาหั่นและใส่ลงไปในหม้อข้าวที่ปรุงรสแล้ว ข้าวหุงเห็ดหอมทรงเครื่องคือเมนูที่เธอคิดขึ้นมาเอง เด็กชายเจริญอาหารมากกว่าเมื่อวานเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนกินข้าวผัดไข่อีกต่อไปแล้ว
ซูเม่ยน้ำตาคลอมองสองพ่อลูกด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ เธออยากช่วยเหลือทั้งสองแต่ทว่าลำพังตัวเธอนั้นก็ยังไม่สามารถหางานได้ด้วยซ้ำ
“วันนี้กลับช้าไหมคะ”
ปกติตงเหมาจะทำงานลากยาวเพราะต้องการเงินเพิ่ม ซูเม่ยจึงอยากที่จะให้เขาพักผ่อนสักวันด้วยการกลับบ้านให้เร็วขึ้น
หญิงสาวกำลังคิดหาหนทางที่จะทำให้ชีวิตของเธอและครอบครัวเจริญก้าวหน้าขึ้น หลุดพ้นจากความยากลำบาก เธอมองไม่เห็นความหวังหากยังอยู่ที่นี่จึงตั้งใจจะชวนชายหนุ่มไปลงหลักปักฐานที่อื่น
“วันนี้จะกลับให้เร็วขึ้น”
เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากและหยิบเสื้อคลุมมาสวม สองพ่อลูกเดินทางไปพร้อมกัน เด็กชายไม่ลืมที่หันมาโบกมือให้ผู้เป็นแม่
ซูเม่ยกลับเข้ามาในบ้านตักข้าวที่เหลือก้นหม้อมานั่งกินเพียงลำพัง จะว่าไปชีวิตแบบนี้ก็เรียบง่ายดี เธอคงไม่ดิ้นรนอะไรมากหากไม่มีตงหมิง แต่เพราะคิดถึงอนาคตของเด็กชายเป็นหลักเธอจึงไม่อาจนิ่งเฉย หญิงสาวเดินทางออกไปเพื่อหางานทำอีกครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธจากทุกที่
ซูเม่ยท้อใจมาก เธอนั่งพักที่เก้าอี้ภายในสวนสาธารณะก่อนจะมองไปรอบๆ รถเข็นอาหารผ่านมาแต่ก็ได้แค่มองเพราะไม่มีเงินซื้อ หญิงสาวพ่นลมหายใจก่อนจะก้มลงไปนวดข้อเท้าเบาๆ
“ไม่เป็นไร มันไม่ได้แย่ทุกวันหรอก”
เธอพึมพำเบาๆ ให้กำลังใจตัวเองแม้จะท้อแท้มากเพียงใดแต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ชีวิตยังเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ นี่คือคำสอนที่ดีที่สุดจากพ่อที่เธอยังคงจดจำได้ดี
หญิงสาวเดินทางไปรับลูกชายที่โรงเรียน เธอยืนรอหน้าประตูรั้วก่อนจะเห็นตงหมิงเดินคอตกออกมา เสื้อของเด็กชายมีรอยยับและรยเปื้อนเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูเศร้าหมองจนผู้เป็นแม่อดไม่ได้ที่จะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“อาหมิง เกิดอะไรขึ้น”
เธอสำรวจร่างกายของเด็กชายก่อนจะพบว่ามีรอยเท้าติดอยู่ด้านหลังเสื้อ ในใจของซูเม่ยรู้สึกโกรธขึ้นมา เธอพยายามคาดคั้นลูกชายแต่เขากลับปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ยืนก้มหน้านิ่ง
“บอกแม่มาเถอะว่าใครทำลูก”
หัวใจของเธอคล้ายถูกบีบรัดเมื่อรู้ว่าตงหมิงโดนรังแก เด็กชายส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาเป็นเพียงคนยากจนจึงมักจะถูกกลั่นแกล้งเสมอ แต่เด็กชายก็อดทนมาโดยตลอดไม่เคยที่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พ่อหรือแม่ฟัง
“ผมไม่เป็นไรครับ”
ซูเม่ยปวดใจ มองไปรอบข้างเห็นเด็กคนอื่นมีกระเป๋าดีๆ ใช้ มีเสื้อผ้าใหม่สวมใส่ ต่างจากตงหมิงที่ดูด้อยกว่าอย่างชัดเจน เด็กชายรู้ดีว่าเขาไม่สามารถสู้กับเด็กที่มีฐานะร่ำรวยกว่าได้ จึงได้แต่ยอมให้ตัวเองถูกกลั่นแกล้งรังแกมาโดยตลอด
“แม่ขอโทษนะลูก”
เธอสวมกอดเด็กชายด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะพาเขากลับบ้าน วันนี้ตงหมิงไม่ร่างเริงนักทั้งยังดูเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด เด็กชายอาบน้ำก่อนจะเข้านอนทันทีทั้งที่ปกตินั้นจะร้องขอให้ผู้เป็นแม่เล่านิทานให้ฟัง
“อาหมิงล่ะ”
ตงเหมาเดินเข้ามาในบ้านเมื่อไม่เห็นลูกชายก็เอ่ยถามถึง ซูเม่ยนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อชายหนุ่มยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ เขาวางถุงใส่กับข้าวลงก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“อาหมิงไปไหนล่ะอาเม่ย”
“เขาเข้านอนแล้ว คงจะเหนื่อย”
เธอไม่อยากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ชายหนุ่มฟังเพราะกลัวว่าเขาจะเครียด หญิงสาวนำอาหารไปจัดเรียงใส่ตู้ก่อนจะลงมือทำกับข้าวให้สามี ตงเหมาสังเกตเห็นว่าภรรยานั้นดูเศร้าหมอง เธอไม่กระตือรือร้นเหมือนทุกวัน ทั้งทุกอย่างยังดูเชื่องช้าไปหมด
ซูเม่ยวางอาหารลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงตรงข้ามสามี เธอตักข้าวเข้าปากได้เพียงสามคำก็วางช้อนลงก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
หญิงสาวลังเลว่าควรพูดหรือไม่แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าเด็กชาย เธอก็รวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยออกไป
“ฉันอยากย้ายไปอยู่ที่อื่น”
ความหมายของคนทั้งสองสวนทางกัน ตงเหมาเข้าใจผิดคิดว่าซูเม่ยต้องการไปจากเขา แต่เธอไม่ได้คิดเช่นนั้น
เธอเพียงแค่ต้องการให้ตงเหมาย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยกัน ชายหนุ่มหน้าตึงเขาวางช้อนลงบนจานอย่างแรงจนหญิงสาวสะดุ้งด้วยความตกใจ
“อยู่กับฉันมันแย่มากใช่ไหม ถึงคิดจะทิ้งกันไปอีก!”
หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าแต่เขาไม่เปิดโอกาสให้เธอได้อธิบาย เมื่อต่อว่าจนพอใจเขาก็เดินออกไปหน้าบ้านเพื่อสงบสติอารมณ์ ซูเม่ยเดินตามสามีออกมาก่อนจะหยุดยืนข้างเขา
“ฉันอยากให้คุณไปด้วยกัน”
ชายหนุ่มชะงักหันมองหญิงสาวด้วยท่าทางงุนงง
“หมายความว่าไม่ได้จะทิ้งฉันไป”
“ค่ะ คุณแค่โวยวายไปเอง”
ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนที่เขาโมโหไปก่อนโดยไม่ทันฟังเหตุผลของภรรยา หญิงสาวถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันอยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ฉันรู้สึกว่าคนที่นี่ไม่ชอบฉัน”
ไม่ว่าเธอจะเดินไปที่ไหนก็ไม่ค่อยมีใครอยากต้อนรับ ไม่รู้ว่าในอดีตนั้นเจ้าของร่างนี้เป็นคนยังไง ทุกคนถึงได้พากันรังเกียจแบบนี้
“แล้วอยากไปที่ไหน”
ตงเหมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เขารู้สึกผิดที่ไม่ฟังเหตุผลของเธอก่อน ได้แต่หลับหูหลับตาโวยวายเป็นคล้ายคนเสียสติ
“ฉันได้ยินว่าเหอเป่ยยังไม่เจริญมากนัก คงจะพอมีลู่ทางให้ทำมาค้าขายได้บ้าง”
อีกทั้งพ่อแม่ของตงเหมาก็อาศัยอยู่ที่นั่น คงไม่ใช่เรื่องยากหากจะให้คำปรึกษาแก่เธอ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเมืองใหญ่ การแข่งขันสูง ไม่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นชีวิตเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะคนที่ไม่มีต้นทุกอย่างเธอคงไม่ง่ายนักที่จะเริ่มต้นหยิบจับอะไรสักอย่าง
แต่ตงเหมาไม่เห็นด้วย การเปลี่ยนที่อยู่เป็นเรื่องใหญ่ หน้าที่การงานของเขามั่นคงแล้ว อีกทั้งเขาไม่อยากให้ตงหมิงต้องเปลี่ยนสังคมใหม่กระทันหันเพราะกลัวว่าเด็กชายจะปรับตัวไม่ทัน
“อาเม่ย ที่เหอเป่ยไม่มีงานให้ฉันทำหรอกนะ”
เหอเป่ยยังไม่เจริญนัก ผู้คนส่วนใหญ่ยังทำการเกษตรอยู่ มี่โรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ มีแต่ไร่แต่สวน หากกลับไปเขาก็คงไม่พ้นต้องไปเป็นชาวไร่ชาวสวน ปลูกผักผลไม้ไปวันๆ กว่าผลผลิตจะพร้อมสำหรับการขาย ทั้งครอบครัวจะไม่อดตายไปก่อนหรืออย่างไร
หญิงสาวหน้าหมองลง เมื่อฟังที่ชายหนุ่มอธิบายแล้วก็เข้าใจดีแต่ยังคงผิดหวังนิดหน่อย ตงเหมาจับมือภรรยาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉันเข้าใจดีว่าเธออยากช่วยครอบครัวของเรา แต่อย่ากังวลไปเลย สักวันทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
หญิงสาวไม่อยากรอจนถึงวันนั้น เธอร้อนใจเรื่องที่เด็กชายถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง เด็กพวกนั้นคงเป็นลูกหลานคนมีฐานะ ถึงได้ชอบรังแกคนที่ด้อยกว่าอย่างตงหมิง
“ฉันจะพยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
หญิงสาวเอ่ย ต่อให้วันนี้จะล้มลุกคลุกคลาน แต่เธอจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อมักสอนเสมอว่าคนเรานั้นไม่ควรย่อท้อต่ออุปสรรคตรงหน้า อย่ากลัวที่จะก้าวข้ามผ่านมันไป หยิงสาวยังคงจำได้ทุกคำสอนที่มีค่า เพราะมันเปรียบเสมือนเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ของเธอ
“ไปนอนกันเถอะ”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินนำเข้ามในห้อง เขานั่งลงข้างลูกชายแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าบนใบหน้าตงหมิงนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ทั้งสองสบตากันก่อนที่ซูเม่ยจะหลุบตาลง
“มีอะไรจะบอกฉันไหมอาเม่ย”
หญิงสาวนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยขึ้น ต่อไปปิดบังยังไงสักวันตงเหมาก็รู้อยู่ดี อีกทั้งเธอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อของเด็กชาย ฉะนั้นเขาควรจะรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตงหมิง
“เขาคงโดนเพื่อนแกล้ง”
ผู้เป็นพ่อปวดใจ เขาลูบศีรษะเด็กชายแผ่วเบา ปกติแล้วสหายของเขาจะคอยสอดส่องดูแลเด็กชายให้แต่เพราะช่วงนี้อีกฝ่ายเดินทางไปเยี่ยมญาติต่างเมือง ทำให้ไม่มีใครปกป้องดูแลตงหมิง
“ให้เขาหยุดเรียนไปสักพักก็แล้วกัน”
ตงเหมาเอ่ยขึ้น จนกว่าสหายจะกลับมา ให้ตงหมิงอยู่ที่บ้านคงจะปลอดภัยกว่า