ร่างกายเปลือยเปล่าถูกคลุมด้วยผ้าขาวผืนบาง ความเย็นยะเยือกที่ปะทะผิวปลุกหญิงสาวให้ตื่นลืมตาขึ้น เธอปัดผ้าที่คลุมร่างออกก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อไล่ความงุนงง เธอมองไปรอบด้านแม้จะมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็นแต่ยังมีแสงจากด้านนอกที่ลอดช่องของประตูเข้ามา หญิงสาวมองไปรอบๆ ก่อนจะก้าวลงจากเตียง
หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นอีกครั้ง เมื่อเอื้อมมือไปเปิดผ้าขาวออกและพบกับร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มที่นอนเบิกตาโพรง
หญิงสาวก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ จนเผลอไปจนเข้ากับเตียงและเกิดเสียงโครมครามขึ้น
ซิงเหมยสติแตกเมื่อรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังถูกขังอยู่ในห้องเย็นที่เต็มไปด้วยศพ หญิงสาวคว้าผ้ามาพันร่างกายลวกๆ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องเพื่อหนีจากบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวตรงหน้า
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพักเที่ยงผู้คนจึงพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ หญิงสาววิ่งเตลิดไปทั่วทั้งโรงพยาบาล เธอมองไปรอบๆ รู้สึกงุนงงกับความสภาพแวดล้อมที่นี่
ผู้คนแต่งตัวแปลกราวกับหลุดมาจากยุคสมัยพ่อแม่ของเธอ หญิงสาวพยายามมองหาทางออก แต่แล้วก้มีคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาหาเธอ หญิงสาวเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งหนีสุดชีวิตเพราะกลัวถูกจับกลับไปยังห้องเก็บศพอีก
ความวุ่นวายเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงโวยวายจากทางด้านหลังทำให้ตงเหมาและพ่อแม่ของเขานั้นต่างก็หันมองด้วยความสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ทั้งสามเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ตายไปแล้วบัดนี้กลับวิ่งหน้าตั้งมาทางนี้ ตงเหมาลุกพรวดขึ้นก่อนรีบเข้าไปหาหญิงสาว รวบเธอเอาไว้ในอ้อมแขน
“อาเม่ย!”
หญิงสาวไม่รู้จักคนตรงหน้ามาก่อน เมื่อถูกกอดจึงตกใจเพราะรู้สึกคล้ายกับว่าถูกคุกคาม เธอพยายามดิ้นหนี แต่เขากลับกอดรัดเธอเอาไว้แน่นราวกับว่ากลัวเธอนั้นจะหนีหายไป
ซิงเหมยโวยวายเสียงดัง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อขาข้างซ้ายของเธอถูกแขนเล็กโอบรัด ตงหมิงซบใบหน้าลงบนขาของผู้เป็นแม่ ใบหน้าไร้เดียงสาเต็มไปด้วยน้ำตาที่เปรอะเปื้อน
เดิมทีเธอเป็นคนรักเด็ก แต่กลับเด็กคนนี้เธอมีความรู้สึกผูกพันอย่างน่าประหลาดใจ
หญิงสาวยกมือลูบศีรษะเขา ท่าทางที่สงบลงของเธอทำให้ทุกคนนั้นไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปใกล้ เพียงแค่เห็นหน้าเด็กชายซิงเหมยก็มีสติขึ้นมาทันที เธอมองไปรอบๆ ไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้เป็นใครและเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
“เป็นไปได้อย่างไร หล่อนยังไม่ตาย”
ผู้คนต่างเข้ามามุงดูเหตุการณ์ เมื่อเห็นว่าซูเม่ยยังมีชีวิตอยู่ทั้งยังไร้ร่องรอยบาดแผล ก็อดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์กัน หญิงสาวยืนตัวแข็งเมื่อถูกชายผู้หนึ่งกอดรัดแน่น เธอพยายามสะกิดเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอ่อ…คุณคะ ฉันหายใจไม่ออก”
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะตายอีกรอบ ตงเหมาได้ยินเช่นนั้นก็รีบคลายอ้อมแขน ความงุนงงสงสัยปรากฏขึ้นในใจของเขาและไม่เท่าความยินดีที่ภรรยายังมีชีวิตอยู่
ซิงเหมยเห็นชายตรงหน้าร่ำไห้ เธอก็ชะงักเพราะทำอะไรไม่ถูกเลยวางมือลงบนไหล่เขาแตะตบเบาๆ สองสามทีเพื่อปลอบโยน
การกระทำนั้นทำให้ชายหนุ่มชะงักเพราะหากเป็นซูเม่ยก็คงไม่สนใจใยดีอะไรเมื่อเห็นน้ำตาของเขา ดีไม่ดีคงจะด่าทอให้เขาต้องเสียใจมากกว่าเดิม
“ฉันไม่รู้ว่าคุณร้องไห้ทำไม แต่ก็เอ่อ…สู้ๆ นะ”
หญิงสาวปลอบใจไม่เก่งนัก เธอใช้คำพูดง่ายๆ ที่แฝงไปด้วยความจริงใจ ทุกคนงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของหญิงสาว เธอกลายเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
“อาเม่ย เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ชายหนุ่มพยายามมองสำรวจร่างกายภรรยาแต่กลับไม่พบแม้แต่รอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย ผู้คนที่เห็นสภาพซูเม่ยก่อนมาถึงโรงพยาบาลต่างก็พากันแปลกใจที่หญิงสาวฟื้นจากความตาย ทั้งยังไม่มีร่องรอยบาดเจ็บให้ได้เห็น
“ไม่เจ็บนะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”
แทบไม่อยากเชื่อหู สามีภรรยาวัยชราสบตากัน ทั้งสองหรี่ตามองลูกสะใภ้ผู้ร้ายกาจก่อนจะสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ และแอบกระซิบกระซาบกันสองคน
“ตาแก่ แกว่าสะใภ้ผู้นี้แปลกไปหรือไม่”
ชายชราพยักหน้า เขาไม่ได้คิดไปเอง แต่ร้อยวันพันปีซูเม่ยผู้นี้เป็นคนหยาบกระด้างไม่เคยซาบซึ้งในน้ำใจของผู้อื่น ใช้ชีวิตเพื่อส่งมอบเพียงแต่ความเกลียดชัง ไม่น่าเชื่อเมื่อฟื้นจากความตายกลับกลายเป็นคนมีสำนึกขึ้นมา
น่าแปลกใจจริงๆ หรือว่าศีรษะนางจะกระทบกระเทือนจนสมองกลับด้านไปแล้ว!
ไม่เพียงแต่สองสามีภรรยาที่ไม่เชื่อหู ตงเหมาเองก็เช่นกัน เขาจ้องหญิงสาวนิ่งจนเธอรู้สึกประหม่า มือกระชับผ้าที่ห่มร่างกายให้แน่นขึ้น
ชายหนุ่มเห้นว่ายามนี้ภรรยาขงเขานั้นกำลังเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ผ้าขาวเนื้อสาก เขาจึงรีบพาเธอไปที่ห้องน้ำก่อนจะสละเสื้อคลุมให้เธอสวมชั่วคราว หญิงสาวถูกชายหนุ่มจับแก้ผ้าก็รู้สึกอายพยายามใช้มือปกปิดส่วนลับ
“เอามือออกก่อนอาเม่ย”
เขาเอ่ยบอกหญิงสาวที่นั่งตัวงออยู่ที่พื้น อีกฝ่ายช้อนตามองเขา ดวงตาเธอสั่นระริกใบหน้าสวยแดงก่ำด้วยความอายที่จู่ๆ ก็ถูกจับแก้ผ้า แม้เขาจะบอกว่าเป็นสามีแต่สำหรับเธอแล้วเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่หล่อเหลาคนหนึ่ง
รูปร่างเขาสูงกว่าเธอมาก ทำให้ชายเสื้อนั้นยาวไปถึงต้นขาขาวเนียน ตงหมิงม้วนผมหญิงสาวก่อนปักปิ่นไม้เพื่อเก็บผมไม่ให้รุงรัง ซิงเหมยใจเต้นรัว เธอไม่เคยใกล้ชิดชายอื่นมาก่อน
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอต้องดูแลกิจการที่บ้าน ไม่มีเวลาไปหาแฟนแบบคนอื่นเขา ความใกล้ชิดระหว่างหญิงชายจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ
“ที่คุณบอกว่าเป็นสามีฉัน คุณพูดจริงเหรอ”
ตงเหมาได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยขึ้นมาว่าภรรยาอาจจะสูญเสียความทรงจำเพราะเธอนั้นจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ทั้งยังพูดจาแปลกๆ และมีท่าทางไม่เหมือนซูเม่ยคนเดิม
“ฉันจะโกหกไปทำไม”
เขาย้อนถาม หญิงสาวยกคิ้วสูงก่อนจะเอ่ยตอบไม่เต็มเสียงนัก
“คุณอาจจะแอบอ้างก็ได้ คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน”
ชายหนุ่มถอนหายใจ เขารู้สึกสงสารภรรยาจับใจเมื่อเห็นแววตาซื่อใสของเธอ ดูเหมือนว่าซูเม่ยจะสูญเสียความทรงจำอย่างที่เขาคิดจริงๆ
“ฉันเป็นสามีเธอและเด็กคนนั้นก็เป็นลูกชายของเธอ ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าฉันจะข่มเหง เพราะระหว่างเธอกับฉันเราแนบชิดสนิทสนมกันมาหลายครั้งแล้ว”
คำพูดของเขาทำใบหน้าหญิงสาวร้อนผ่าว เธอพูดไม่ออกได้แต่อ้าปากค้าง ในหัวจินตนาการอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนใบหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้น
ชายหนุ่มเห็นท่าทางหญิงสาวก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นเธอมีสีหน้าท่าทางแบบนี้มาก่อน เธอดูไร้เดียงสาไม่เหมือนซูเม่ยคนเก่าที่ดูกร้านโลกกว่ามาก
“ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
หญิงสาวแต่งตัวเรียบร้อยมากขึ้น เธอก้าวเดินตามหลังสามีออกมาจากห้องน้ำก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ ขณะนั้นตงหมิงก็เข้ามาก่อนจะสวมกอดผู้เป็นแม่ ซิงเหมยยกยิ้มก่อนลูบศีรษะเด็กชายด้วยท่าทางอ่อนโยน แววตานั้นแสดงให้เห็นว่าเธอเอ็นดูเด็กน้อยเป็นอย่างมาก
“แม่ครับ พ่อบอกว่าแม่จะไม่กลับมาแล้ว”
หญิงสาวเลื่อนสายตามองสามี เธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอนั้นอยู่ในร่างของใครและหน้าตาเป็นอย่างไร หญิงสาวส่ายศีรษะก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ฉัน…ไม่สิ แม่ต้องกลับมาหาลูกอยู่แล้ว”
หญิงสาวรีบเปลี่ยนสรรพนามไม่ให้ดูห่างเหินจนเกินไป เด็กชายเห็นว่านี่เป็นครั้งแรกที่แม่นั้นไม่ผลักไสไล่ส่ง เขาจึงดีใจมากตามเกาะติดผู้เป็นแม่ตลอดเวลา
ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากหมอให้นำตัวซูเม่ยไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมหญิงสาวถึงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งร่างกายเธอยังแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เหมือนคนที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมา
ซิงเหมยยอมนอนลงบนเตียงแต่โดยดี เธอส่งสายตากังวลไปยังตงเหมา เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันจะรอตรงนี้ แล้วเราจะกลับบ้านด้วยกัน”
หญิงสาวรู้สึกอุ่นใจ เธอพยักหน้าก่อนจะมองเขาจนลับสายตา หญิงสาวกังวลอย่างหนักเธอไม่รู้ว่าคนพวกนี้จะพาเธอไปที่ใด
หญิงสาวนอนนิ่งเกร็ง ยามที่เหล่าพยาบาลและหมอนั้นกำลังยืนล้อมรอบเตียงเพื่อตรวจร่างกายเธออย่างละเอียด เครื่องมือทุกอย่างที่มีถูกขนเข้ามาไว้ในห้องนี้
“ชีพจรปกติค่ะ”
พยาบาลสาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนจะจดอะไรบางอย่างลงกระดาษใบใหญ่
“ร่องรอยฟกช้ำไม่มีค่ะ เลือดที่คั่งก็ไม่มีค่ะ”
ทุกคนแปลกใจกับผลตรวจทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงสภาพร่างกายของหญิงสาวนั้นแหลกเหลวแทบไม่มีชิ้นดี ไม่เพียงแต่เลือดที่คั่งทั่วร่างกายจนหมดหนทางจะรักษา แต่กระดูกทุกชิ้นส่วนยังแตกหัก บาดแผลเต็มตัว
ต่อให้ทำความสะอาดอย่างดีก็ควรจะเหลือร่อยรอยเอาไว้บ้าง
แต่ผิวกายกลับเกลี้ยงเกลา ไม่มีแม้แต่รอยแผลเป็นเล็ก ๆ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้วงการแพทย์จนต้องมีการจดบันทึกเอาไว้เพื่อศึกษา
หญิงสาวได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ตงเหมามารับเธอก่อนจะที่ทั้งห้าคนจะเดินไปเรียกรถรับจ้างเพื่อให้ไปส่งที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลพอสมควร
ชายหนุ่มคอยชำเลืองมองภรรยาที่ดูตื่นเต้นกับร้านรวงข้างทาง หญิงสาวไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อนเพราะเธอนั้นเป็นคนจากโลกอนาคตที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปไกลแล้ว
ทุกอย่างที่นี่จึงดูแปลกใหม่มากสำหรับซิงเหมย หญิงสาวเห็นว่าข้างทางมีซาลาเปาขายจึงขอร้องให้สามล้อปั่นนั้นหยุดรถก่อน หญิงสาวขอเงินกับสามีแต่ไม่นานเขาก็ยื่นเงิน 10 หยวนให้เธอเอาไปซื้ออาหารที่ต้องการ
“ขอบคุณค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ภรรยาอย่างอ่อนโยน นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ยินคำขอบคุณออกจากปากของภรรยา
“ไม่เป็นไร ลงไปซื้อของที่ต้องการเถอะ"
ซิงเหมยรีบลงไปซื้อซาลาเปาก่อนจะก้าวขึ้นรถสามล้อเพื่อมุ่งตรงกลับไปยังบ้านหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้…