ตกดึก...
บ้านเก่าธนธาดานั้นครึกครื้น...ปานเดือนเตรียมอาหารเพียงลำพังจนเสร็จ บ้านหลังนี้ไม่มีแม่บ้านด้วยความที่อยู่กันแค่สองสามีภรรยา นาน ๆ จะมีแขกมาเหมือนกับวันนี้ ปานเดือนสวมเสื้อแขนยาวปิดรอยแผลน้ำร้อนลวกตามที่คนเป็นสามีโทรมาสั่ง
“ทำไมวันนี้ใส่เสื้อแขนยาวล่ะลูก ไม่ร้อนหรือไง” เสียงของพ่อสามีเอ่ยพูดด้วยความเป็นกังวล มองลูกสะใภ้คนเดียวนี้ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“อ้อ พอดีหนูรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ น่ะค่ะ”
“หือ ไม่ใช่จะไม่สบายแล้วเหรอ ตาเปรมดูแลหนูเดือนดีไหมล่ะ” เขาหันไปมองลูกชายที่นั่งกินข้าวอย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มปรายสายตามองภรรยาสาวข้างกายที่หลบสายตาเขาทันควัน
“โตตัวเท่าควายแล้วผมไม่จำเป็นต้องดูแลอะไร”
“ห้ะ ไอ้ลูกคนนี้ ดูมันพูดดิ” คนเป็นพ่อลุกพรวดขึ้น ทำให้มารดาที่นั่งอยู่ข้างกายนั้นรีบดึงแขนสามีให้นั่งลงเหมือนเดิม ส่วนพ่อแม่ของปานเดือนไม่ได้มีท่าทีโกรธเกรี้ยวอะไรอย่างที่ควรจะเป็นทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายนั้นกำลังต่อว่าลูกสาวของตัวเองอยู่แท้ ๆ
“แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิด เธอก็ควรดูแลตัวเองให้ได้...ใช่ไหม” เปรมนัตย์หันหน้ามาส่งสายตากดดันให้เธอตอบรับ ซึ่งหญิงสาวก็รีบพยักหน้ารับทันที
“ค่ะ หนูดูแลตัวเองได้” หญิงสาวตอบรับเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนสายตามองพ่อกับแม่ของตัวเองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ท่านทั้งสองพยักหน้าให้เธอ ราวกับกำลังบอกว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว
“เฮ้อ...ถ้าไม่ดูแลกันแล้วจะแต่งงานกันทำไมตั้งแต่แรกล่ะ”
“ใครอยากแต่งครับ ผมไม่เคยบอกว่าอยากแต่งงานกับเดือน” น้ำเสียงที่เอ่ยพูดนั้นคนได้ยินยิ่งเจ็บปวด ปานเดือนนั่งทานข้าวเงียบ ๆ แม้นจะอยากลุกออกจากโต๊ะอาหารเต็มแก่ แต่ก็ทำไม่ได้
“เฮ้อ แกมันก็พูดอะไรไม่คิดถึงน้อง” เขามองหน้าบิดานิ่ง เพราะพ่อเอาตำแหน่งงานของเขามาเดิมพัน ไม่เช่นนั้นให้คอขาดบาดตายอย่างไรก็ไม่ยอมแต่ง
“แล้วเมื่อไหร่จะมีลูกล่ะ”
“ผมไม่อยากมีลูกหรอก” เขาสวนกลับทันควัน เปรมนัตย์ใช้ผ้าเช็ดริมฝีปาก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว
“ไม่อยากมีไม่ได้ ยังไงแกก็ต้องมี” พ่อว่าเสียงกร้าว ปรวีร์ขบกรามจนสั่น เจ้าลูกชายคนเดียวนี้มันยังไงกัน ดื้อด้านเสียจริง
“ไม่ต้องเร่งมากก็ได้ครับคุณท่าน” พ่อของปานเดือนเห็นท่าไม่ดีรีบเอ่ยพูดขึ้น กลัวว่าวงข้าวจะแตก
“เฮ้อ...พูดอะไรไม่ได้ ก็ขอโทษหนูเดือนก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็ยังไม่พร้อมเหมือนกัน” ปานเดือนยิ้มน้อย ๆ แต่พอเห็นแววตาของผู้เป็นพ่อก็รีบเปลี่ยนคำพูดโดยพลัน “เอ่อ ขอปล่อยไปตามธรรมชาติดีกว่าค่ะ”
“ได้ยินแล้วใช่ไหม อย่าให้รู้ว่าแกบังคับให้หนูเดือนกินยาคุม ถ้ารู้อย่าว่าแต่ตำแหน่งประธานเลย แม้แต่มรดกสักชิ้นฉันก็จะไม่ยกให้” แม้นปานเดือนจะไม่ได้รบเร้าอยากมีลูก แต่พ่อของเขาก็เร่งรัด น้ำเสียงเต็มไปด้วยคำสั่งนั้นทำให้เปรมนัตย์หวั่นใจอยู่ไม่น้อย “หรือถ้าแกกล้าก็ลองดู มีลูกให้ได้ในเดือนนี้”
“เดือนนี้เหรอคะ” ปานเดือนโพล่งเสียงออกมา เธอไม่พร้อมหรอก แต่เห็นอย่างนั้นเปรมนัตย์ก็ส่ายหน้าให้กับการเล่นละครน้ำเน่า ครอบครัวเธอยิ่งกว่าปลิง เรียกว่าขายลูกกินก็ไม่ผิด
“เอ่อ ยังไงก็ปล่อยให้เป็นธรรมชาติดีกว่าเนอะ” มารดาของเธอเอ่ย ทำเอาเปรมนัตย์ถึงกับหลุดขำออกมา
“หึ...” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะอย่างคนนึกสมเพช เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ผมอิ่มแล้ว ขอตัวก่อน”
“อ้าว...แม่ยังไม่ได้คุยด้วยเลยลูก”
“คุยกับลูกรักของแม่เถอะ” ว่าจบก็เดินจาก ลูกรักที่เขาหมายถึงคือลูกสะใภ้คนนี้ ปานเดือนเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เธอเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
“เฮ้อ...เมื่อไรตาเปรมจะหยุดทำตัวแบบนี้ก็ไม่รู้” พจิการำพัน ลูกชายนั้นเก่งทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องการเป็นสามีที่ดี ซึ่งเธอก็รู้ว่าทำไม
“ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะลืมหนูดาว” ส่ายหน้าเบา ๆ การตัดสินใจเปลี่ยนตัวเจ้าสาวฉับพลันนั้นทำให้ลูกชายคนเดียวโกรธมาก ทั้ง ๆ ที่ดุจดาวเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน พ่อกับแม่ก็บังคับให้เขาแต่งงานกับปานเดือนแล้ว
“อย่าพูดเรื่องนี้เลยคุณ เกรงใจคุณยุทธบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงมันก็เป็นความจริง เรายังระลึกถึงลูกอีกคนเสมอ” พ่อของปานเดือนนั้นว่าด้วยท่าทีนอบน้อม ด้วยฐานะทางการเงินและการติดหนี้บุญคุณทำให้ต้องเกรงใจทุกอย่าง
“ฉันเองก็เข้าใจ อยากให้เวลาคุณเปรมสักหน่อยเช่นกันค่ะ” แม่ของเธอก็เอาอีกคน จันทร์ใจมองใบหน้าลูกสาวที่ไม่สู้ดีนัก รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย
“ให้เวลาเหรอ? ผ่านมาห้าจะหกปีแล้วมันก็ยังทำร้ายหนูเดือนตลอด” พอท่านปรวีร์พูดแบบนี้ คนเป็นพ่อก็เริ่มส่งซิกให้ลูกสาวพูดอะไรสักอย่าง
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ หนู...ทนได้ค่ะ” ปานเดือนกลืนน้ำลายลงคอ เธอทนไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าต้องทนให้ได้ต่างหาก
“งั้นเหรอ...พ่ออยากให้ตาเปรมได้เมียดี ดูแลดี มีหน้ามีตา ชาติตระกูลก็ดี...แถมเรียนจบสูงอีกต่างหาก” พ่อของเขาปลื้มเธอมาก ดีใจที่เป็นปานเดือน ถึงแม้นหน้าตาจะเหมือนกับดุจดาวด้วยความที่เป็นฝาแฝดแท้ แต่น้องสาวกลับมาเสียชีวิตกะทันหันเสียอย่างนั้น...
ก่อนจะกลับพ่อกับแม่ก็ขอคุยเธอเป็นการส่วนตัว ชยุทธอยากให้ลูกสาวมีลูก เพื่อจะได้มัดใจยิ่งทำให้อีกฝ่ายนั้นชื่นชอบมากยิ่งขึ้น
“แล้วทำไมไม่ปล่อยเลยล่ะ” พ่อคงหมายถึงไม่ต้องคุมกำเนิด จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรก็ในเมื่อเขาบังคับให้เธอกินยาคุมเสมอ
“หนูอยากให้ลูกเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นค่ะ อย่างน้อยก็อยากให้เขารักหนูก่อน”
“เฮ้อ...รักเหรอ นี่ก็นานแล้วนะเดือน ถ้ามีลูกก็อาจจะเป็นกาวใจ สานสัมพันธ์ได้นะลูก” เธอไม่เห็นด้วย ลูกไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือสานสัมพันธ์ให้ใคร
...เธอไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่คนเป็นแม่จะเข้ามาสวมกอด “แม่รักหนูนะ แม่ไม่อยากเสียลูกไปอีกคน ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก”
“ค่ะ แม่” น้ำตาร่วงเผาะ ถ้าดุจดาวไม่ด่วนจากไปก่อน เธอก็คงไม่ต้องมารับกรรมแบบนี้ แต่ก็ใช่ว่าถ้าดุจดาวยังมีชีวิตอยู่
...เธอจะมีความสุข
เวลาต่อมา...
พอส่งพ่อแม่ของเขา พ่อแม่ตัวเองเสร็จ เจ้าของร่างบางก็ต้องเก็บครัวเพียงลำพัง ด้วยความที่ไม่มีแม่บ้าน เป็นเธอเองที่รับหน้าที่เป็นทั้งเมียและแม่บ้านในเวลาเดียวกัน
หญิงสาวล้างครัวนานพอสมควรกว่าจะเสร็จเรียบร้อย แต่พอหันหลังกลับก็มองเห็นร่างสูงใหญ่ของสามีหนุ่มยืนกอดอกมองเธออยู่ เขารู้สึกกระหายน้ำเลยลงมา แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่ที่นี่
“เธอคงมีความสุขดีสินะ” ริมฝีปากพึมพำพูด ถ้าไม่ติดว่าพ่อแม่ของเธอคือพ่อแม่ของหญิงคนรักเช่นเดียวกัน เขาจะต่อว่าโดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่าย แต่ทว่าก็ทำไม่ได้ หากดุจดาวรับรู้คงเสียใจแย่
“_” ปานเดือนไม่ตอบ เธอเก็บเครื่องครัวเรียบร้อยเตรียมจะขึ้นไปพักผ่อน วันนี้เหนื่อยทั้งวัน
“ไม่ได้ยินที่พูดหรือไง หรือทำเป็นหูทวนลม”
“ได้ยินค่ะ แต่ว่าไม่รู้ว่าจะตอบอะไร” เธอสวนกลับ ความนิ่งเฉยในน้ำเสียงนี้ทำให้เขาโมโหขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล เปรมนัตย์ก้าวขาเดินเข้าหา คว้าข้อมือของเธอ ทว่า
“อ๊ะ! เจ็บค่ะ อึก มีแผล” เสียงของเธออ่อนแรง ทำให้ฝ่ามือหนาชักออกทันที เขาก็ลืมไปว่าเธอมีแผลที่ข้อมือ เอาน่า...เขาใส่ใจเธอเสียเมื่อไรกัน
...ด้วยความแสบร้อนทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างอัตโนมัติ แค่มือสัมผัสเบา ๆ ก็เจ็บมากแล้ว แต่เขาเล่นกำแรงจนเธอแสบร้อนไปหมด
“แล้วใครจะไปเห็นล่ะ” ชายหนุ่มพูดเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ในใจดำมืดสนิทนี้รู้สึกเห็นใจ แต่ก็เพียงเล็กน้อยก็เท่านั้นแหละ ก็เธอทำตัวเองทั้งนั้น
“ฉันขอตัวนะคะ” เธอพยายามเดินเลี่ยง แต่เขาก็กระชากหัวไหล่ของเธอไว้
“แล้วเธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง” เขาคงหมายถึงเรื่องที่ถามหาความสุขจากเธอ ปานเดือนเงยหน้ามองเพดาน ตอนนี้เขาไม่เป็นสภาพของเธอเลยหรือ
“ความสุขเหรอคะ อึก นี่คงเป็นน้ำตาแห่งความสุขล่ะมั้ง”
“เธอประชดฉัน?”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่า...ทำไมพี่ถึงคิดว่าฉันมีความสุข” เธอมองเขาทั้งน้ำตา ม่านน้ำตาทำให้มองใบหน้าหล่อเหลานี้ไม่ชัดสักเท่าไร
“ก็ไม่รู้สิ เธอชอบฉันนี่” เขาพูดถูก แต่นั่นมันก็นานแล้ว
“_”
“เธอชอบฉันเธอก็น่าจะมีความสุขดี มีความสุขที่ได้แต่งงานกับฉัน แล้วก็...”
“_” เขาเว้นคำพูดไว้ราวกับกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง
“มีความสุขที่น้องสาวตาย”
เพียะ!
“อึก ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น” ไวทันคำพูด ฉับพลันวินาทีเท่านั้นที่ฝ่ามือบางยกขึ้นตบใบหน้าหล่อเหลา “ฮึก ถ้าไม่รู้อะไรเลยไม่ต้องพูดสักครั้งจะได้ไหม ฮึก ถึงเราจะไม่ถูกกัน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดแบบนี้”
“เหรอ...” เปรมนัตย์ใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม ฝ่ามือน้อย ๆ นี้ไม่ได้คณนาหน้าเขาหรอก แต่...เธอกล้าดียังไงมาตบหน้าเขา “เธอกล้านักที่มาตบหน้าฉัน!”
“พี่เปรม...” สองฝ่าเท้าที่ก้าวหาทำให้เธอก้าวขาถอยหลัง ร่างบางสั่นระริกเพราะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเขาโกรธ “ไม่เอานะพี่เปรม ฉันเหนื่อยมาก ฮึก ไม่เอานะ...”