“ห้ามชอบคนอื่นที่ไม่ใช่ข้าเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ” หวังหนานโหวเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนหมิ่นเหม่ ปี้เหยาเผลอกลั้นลมหายใจทันที ดวงตาทั้งคู่สบประสานกันไม่มีใครหลบเลี่ยงไปทางใดทั้งสิ้น
“แต่ว่าข้าไม่ได้ชอบท่านโหวอีกแล้วเจ้าค่ะ” ปี้เหยากลั้นใจพูดโกหกออกมา แม้รู้สึกขัดแย้งอยู่ในหัวใจแต่นางก็อยากให้เรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลง หวังหนานโหวอาจจะเมาจนเกิดความสับสนเห็นหน้านางเป็นฉินหนิงอี้ก็ย่อมได้
หวังหนานโหวได้ยินคุณหนูสามพูดแบบนั้นออกมาก็เกิดความกดดันขึ้น ทั้งที่เมื่อก่อนเขาคาดหวังให้เรื่องราวเป็นแบบนี้ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นจริง ๆ กลับรู้สึกไม่ยินยอม
”ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเลิกชอบข้า”
ปี้เหยาได้ยินถ้อยคำประโยคที่หน้าด้านหน้าทนของหวังหนานโหวก็ตาเบิกโพลงด้วยความเหลือเชื่อออกมา
“ท่านโหวเมามากแล้วเจ้าค่ะ” แต่นางก็ตัดใจได้ทัน ไม่กล้ามีความหวังเกิดขึ้นในใจให้ต้องผิดหวังอีก เพราะถ้าหากผิดหวังครั้งนี้ก็คงทำใจได้ยากเหลือเกิน
ฝ่ามือหนาช้อนปลายคางโฉมสะคราญขึ้นมา “ข้าไม่ได้เมา...” แล้วหวังหนานโหวก็เคลื่อนใบหน้าเข้ามาจ้องมองใกล้ ๆ อีก ลมหายใจร้อน ๆ รดรินอยู่ใกล้แค่เอื้อม กลิ่นสุราคละคลุ้งชัดเจนจนปี้เหยารู้สึกเมามายตามไปด้วย
และก่อนที่หวังหนานโหวจะกดริมฝีปากลงมา ปี้เหยาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่คุณหนูหนิง ขอท่านโหวระวังกิริยาด้วย”
หวังหนานโหวมุ่นคิ้วแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่ฉินหนิงอี้...แต่คือปี้เหยา” แล้วริมฝีปากหยักสวยก็กดลงมาบนกลีบปากอ่อนนุ่มของคุณหนูสาม
ราวกับโลกหยุดหมุนไปเพราะปี้เหยาไม่เคยจดจำได้เลยว่าชาติก่อนหวังหนานโหวจะมอบจุมพิตอ่อนโยนให้กันเช่นนี้
“อะ อื้อ”
“อืม”
อาจเป็นเพราะเมาสุราเลยทำให้หวังหนานโหวปล่อยใจ ทั้งที่เขาก็เกลียดนางมาก เกลียดการตื๊อที่ไม่ได้สนใจว่าเขาจะสมัครใจหรือไม่ เกลียดที่ถูกคุณหนูสามผู้นี้บีบบังคับให้ต้องแต่งงานกัน ทว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ในคืนนั้นขึ้น ใจที่เย็นชามาตลอดก็ร้อนรนจนทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมมากมายหลายอย่าง
ลิ้นที่เจือไปด้วยรสชาติของสุรากำลังมอมเมาโฉมสะคราญให้คล้อยตาม อาจเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเคยใกล้ชิดกันมาก่อน ร่างกายก็เลยจดจำกันได้ ปี้เหยาที่เคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะหนึ่งก็มีสติขึ้นมาเมื่อฝ่ามือหนาบีบเคล้นที่ทรวงอกอิ่มของนาง
“ทะ ท่านโหว พะ พอก่อนเจ้าค่ะ” สตรีพยายามเบี่ยงหน้าหลบเลี่ยง แต่คนที่อารมณ์เตลิดไปแล้วไม่ได้หยุดการกระทำที่ล่อแหลม เขาฝากจุมพิตลงมาที่ข้างซอกคอขาว ร่องรอยที่เคยทำไว้ยังคงอยู่ แน่นอนว่าครั้งนี้ในหัวของหวังหนานโหวมีแต่ความคิดที่ชั่วร้าย
“อื้อ! จะ เจ็บนะเจ้าคะ” ปี้เหยาทำตาโตรีบผลักหวังหนานโหวออกทันที แล้วก็ใช้มือจับตรงที่ถูกขบกัดอย่างแรง
หวังหนานโหวยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ถึงจวนแม่ทัพแล้ว เจ้าลงไปเสียสิ” ราวกับว่าเขาคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ จางรั่วขับรถม้ามาถึงที่หน้าจวนแม่ทัพพอดี ไม่นานรถม้าก็หยุดลง
ปี้เหยาถลึงตามองหวังหนานโหว จากนั้นก็ก้มมองดูเสื้อผ้าของตัวเองเห็นว่าถูกคนหน้าหนาคนนี้ทำจนยับยู่ยี่
“ไม่อยากลง...หรือว่าอยากต่อ...กับข้าบนนี้อีก” หวังหนานโหวพูดยียวนกวนประสาท
“ไม่ใช่นะ ข้าลงแล้ว!” ปี้เหยารู้สึกอับอายมาก ครั้งหน้านางต้องอยู่ให้ห่างกับเขาให้มากที่สุดแล้วร่างบางก็รีบกุลีกุจอลงจากรถม้า โดยที่ไม่ลืมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
เยว่ชิงออกมาหน้าจวนแม่ทัพพอดีเห็นว่าคุณหนูสามลงมาจากรถม้าจวนโหวก็รีบเข้าไปประคองแขนทันที
“คุณหนู เหตุใดถึงมากับท่านโหวได้เจ้าคะ” เพราะนางจำได้ว่าคุณหนูสามออกไปพร้อมคุณชายใหญ่และคุณหนูรอง
“อย่าถามมากน่า ท่านพ่อกลับมาหรือยัง” ปี้เหยาไม่มีเวลามาอธิบายเรื่องพวกนี้
เยว่ชิงทำเพียงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ลงครัวไปหาอะไรมาให้ข้ากินสักหน่อย” แม้ว่าปี้เหยาจะกินของว่างที่ตำหนักจวิ้นอ๋องไปไม่น้อยแต่ของว่างก็คือของว่างไม่มีทางอิ่มท้องได้นาน
“เจ้าค่ะ” เยว่ชิงไม่กล้าเซ้าซี้คุณหนูสามอีก แต่นางก็สังเกตเห็นว่าริมฝีปากของคุณหนูนั้นบวมเจ่อ และที่สำคัญที่ลำคอมีรอยแดงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจุด
ปี้เหยาสั่งสาวใช้เสร็จก็รีบเดินกลับไปเรือนของตนทันที เมื่อนั่งลงหน้าคันฉ่องถึงได้สังเกตเห็นว่าสิ่งที่หวังหนานโหวฝากเอาไว้ให้นั่นคือสิ่งใด
“หวังหนานโหว!!!” แล้วเสียงตะโกนของคุณหนูสามก็ดังลั่นสักหนึ่งด้วยความโกรธ
หลังจากคุณหนูสามกินอาหารเสร็จก็สั่งให้เยว่ชิงไปหาน้ำแข็งมาประคบที่ข้างลำคอให้ ซึ่งรอยขบกัดของหวังหนานโหวนั้นชัดเจนจนเกินไป ถ้าหากมีใครเห็นก็ต้องคิดไม่ดีกันทั้งนั้น