บทที่ 2 ถูกทอดทิ้ง

2295 Words
หลังจากแต่งงานแล้วเมิ่งสืออีก็ไม่ได้พบหน้าสามีของนางอีกเลย และนางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับบิดาและมารดาของตนเองเช่นกัน กระทั่งสิบวันผ่านมามารดาของนางจึงได้รับอนุญาตจากหานชางเหยียนให้มาพบกับบุตรสาวได้ ชีวิตของเมิ่งสืออีที่เคยวาดฝันอย่างงดงามเอาไว้บัดนี้พังทลายลงไปหลังจากแต่งงานกับเขา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของมารดาเมิ่งสืออีกลับไม่อาจร้องไห้ออกมาได้ "แม่ขอโทษที่ปกป้องลูกไม่ได้ ทำให้ลูกต้องมากลายเป็นตัวประกันเพื่อพวกเราเช่นนี้ สืออีแม่ทำให้ลูกลำบากแล้ว ในคืนแต่งงานแม่ทัพหานเขาพาสตรีอื่นเข้าหอใช่หรือไม่" เมิ่งสืออีฝืนยิ้มแม้ว่าภายในใจระทมทุกข์เพียงใดนางก็ไม่อยากให้มารดารู้ "การแต่งงานเป็นลูกที่ตัดสินใจเองเจ้าค่ะ ลูกได้แต่งกับบุรุษในดวงใจลูกมีความสุขมาก ท่านแม่อย่าฟังความคนอื่นให้มากเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพอาจจะละเลยไปบ้างแต่เพราะมีงานราชการต้องทำมากมาย ท่านแม่ก็รู้ว่าการแต่งงานที่เร่งด่วนของพวกเราเช่นนี้ ไม่อาจจะทำตามประเพณีได้ทุกอย่าง" ถึงแม้ว่าบุตรสาวจะยิ้มแต่ดวงตากลับเศร้าหมอง ที่ระหว่างคิ้วยังเกิดร่องรอยเล็ก ๆ ทั้งใบหน้ายังอิดโรยยิ่งนัก มารดาจึงอดเอื้อมมือออกไปสัมผัสระหว่างคิ้วแล้วคลึงเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายให้บุตรสาว สองแม่ลูกนิ่งเงียบไปชั่วขณะ แม้จะไม่เอ่ยออกมาแต่มารดาย่อมรู้ว่าบัดนี้ในใจของบุตรสาวเป็นเช่นใด ในที่สุดมารดาก็พูดขึ้น "แม่ทัพหานจะต้องกลับเมืองหลวงพรุ่งนี้ วันนี้จึงได้ให้แม่มาพบกับเจ้าได้" เมิ่งสืออีตกตะลึง "เร็วเพียงนี้หรือเจ้าคะ" มารดาพยักหน้า สองมือเหี่ยวย่นค่อย ๆ ดึงร่างบอบบางของบุตรสาวเข้าไปกอด "แม่เฝ้าฟูมฟักเจ้ามาอย่างทะนุถนอม หลายคราที่ทะเลาะกับท่านพ่อของเจ้าด้วยเขาต้องการให้เจ้าร่ำเรียนเพลงยุทธ์และแม่ไม่ยินยอม ในยามนี้แม่กลับคิดว่าเป็นแม่ที่ทำพลาดไป หากเจ้ามีวรยุทธ์ยามจากไปไกลแม่คงไม่ห่วงเจ้าเช่นนี้" ก่อนหน้านี้เมิ่งสืออีทำใจล่วงหน้าเรื่องลาจากเอาไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกใจหายและหวาดกลัวเหลือเกิน เพราะนางรู้อยู่เต็มอกว่าสามีผู้นี้มิได้รักนางมิหนำซ้ำยังรังเกียจ แต่นางก็ยังฝืนเอาไว้ไม่อาจทำให้ท่านแม่ไม่สบายใจ นางลูบหลังปลอบประโลมท่านแม่อย่างเงียบเชียบ กลืนก้อนน้ำตาลงไปในอก ตั้งแต่วันนี้นางมิใช่คุณหนูใหญ่ของจวนท่านเจ้าเมืองที่บอบบางและอ่อนแอคนเดิม แต่นางกลายเป็นภรรยาผู้อื่นที่สามีไม่รัก มีเพียงความเข้มแข็งเท่านั้นที่จะเป็นเกราะกำบังและหลักยึดของนางเอาไว้ได้ในยามที่อยู่ห่างไกลบิดามารดา "บุตรสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออก ลูกจะอยู่กับท่านแม่ตลอดไปได้อย่างไรเจ้าคะ" มารดาปาดน้ำตาของตนเองช้า ๆ ขยับกายออกจากอ้อมอกบอบบางของบุตรสาว "สืออีของแม่โตแล้วสินะ เป็นเช่นนี้จริง ๆ" "เจ้าค่ะ สืออีโตแล้วท่านแม่อย่าเศร้าโศกไปเลย ท่านยังจำได้หรือไม่ไยจึงตั้งชื่อของข้าว่าสืออี" มารดาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ทั้งน้ำตา "ไยจะลืมได้เล่า ในวันที่แม่เพิ่งรู้ว่าตั้งครรภ์เด็กในท้อง แม่ไปขอพรที่วัดเพื่อเสี่ยงเซียมซี ยังได้หมายเลขสิบเอ็ด คำทำนายที่ได้เป็นมงคลยิ่งนัก ในครรภ์ของแม่คือบุตรสาว และบุตรสาวของแม่มีวาสนาได้เป็นใหญ่ อนาคตจะมีผู้มีบุญคอยช่วยเหลือหนุนนำ ผู้ใดจะคาดคิดว่าแม่จะคลอดเจ้าออกมาเป็นหญิงจริง ๆ เพราะเหตุนี้เจ้าจึงได้มีนามว่าสืออี[1]" "ท่านแม่ลูกรู้สึกว่าคำทำนายนั่นย่อมเป็นจริง ท่านแม่อย่าห่วงลูกเลยนะเจ้าคะ ลูกเพียงหวังอยากให้ท่านแม่อยู่ดีมีสุข ไม่ต้องกังวลกับลูกจนเกินไป อาจมีคนพูดให้ท่านแม่ไม่สบายใจเกี่ยวกับท่านแม่ทัพว่าห่างเหินลูก แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ท่านแม่ทัพใส่ใจลูกมิใช่น้อยเจ้าค่ะ" มารดาพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน "แม่เชื่อเจ้า ลูกแม่เจ้าจากไปไกลแต่ไม่ต้องห่วงนะ สินเดิมของเจ้าแม่มีให้เป็นจำนวนมาก ถึงเวลานี้พวกเราจะแร้นแค้นแต่แม่ไม่ยินยอมให้ลูกลำบากเป็นอันขาด" วันรุ่งขึ้นก่อนออกเดินทางเมิ่งสืออีทำพิธีกราบลาบิดามารดาด้วยความเศร้าโศก การกราบลาครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของนางก็เป็นได้ นางถูกสาวใช้ประคองขึ้นรถม้าโดยที่หานชางเหยียนตามนางเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบท่าทางของเขามิได้เหมือนสามีที่เพิ่งแต่งภรรยา แต่เหมือนโจรป่าที่ฉุดคร่าหญิงงามมาเป็นตัวประกันเสียมากกว่า เมิ่งสืออีทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่กับเขาเพียงลำพัง นางจึงรินชาปรนนิบัติแต่เขากลับปัดจอกชาของนางทิ้ง เมิ่งสืออีเจ็บแต่ไม่ร้องออกมา นางกัดฟันเพราะถูกน้ำชาร้อนหกลวกมือ เขาเพียงปลายสายตามองเล็กน้อยและไม่เอ่ยคำใดและไม่ใส่ใจว่านางจะได้รับแผลน้ำร้อนลวกเพราะฝีมือของตนเอง ถึงนางจะเจ็บแต่นางกลับไม่ลนลานและไม่กรีดร้อง สตรีนางนั้นยังนั่งตัวตรงสง่า ใบหน้าสะคราญนิ่วลงเล็กน้อยนางเก็บถ้วยน้ำชาที่หล่นลงพื้นขึ้นมาแล้วเปลี่ยนถ้วยน้ำชาใบใหม่ นางรินน้ำชาให้เขาใหม่แต่ไม่ยกให้แล้วเพียงแต่เลื่อนมาวางตรงหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด จากนั้นก็คว้ากล่องไม้เล็กออกมาจากถุงผ้าที่ปักลวดลายดอกไม้แดงสลับชมพู ในนั้นคงเป็นกล่องยาของนาง เขาสังเกตได้ว่ามีขวดยาเล็ก ๆ หลายขวดวางเรียงอยู่ในนั้น เมิ่งสืออีหยิบขวดยาที่เขียนว่ายาทาแผลน้ำร้อนไฟไหม้ออกมาขวดหนึ่ง เขามองนิ้วเรียวของนางในยามที่สัมผัสเนื้อยาสมุนไพรสีเหลืองอ่อนแล้วทาลงบนหลังมืออย่างเพลิดเพลิน ท่วงท่าของนางช่างอ่อนช้อยนุ่มละไมดุจกิ่งหลิวต้องลม ทหารที่วัน ๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับชายหนุ่มในสนามรบเห็นแล้วก็พลันรู้สึกว่าช่างแปลกตาและดึงดูดใจยิ่งนัก นางตั้งหน้าตั้งตาทายาให้ตนเองอย่างเบามือจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกจ้องมองอยู่ นางจึงเหลือบเนตรงามขึ้นมองเล็กน้อยพลันสบกับดวงตาคมของเขาโดยไม่ตั้งใจ หานชางเหยียนถูกจับได้ว่าแอบมองคนจึงตัวแข็งทื่อจากนั้นจึงส่งเสียง "หึ" แก้เก้อออกไปคำหนึ่ง ท่าทางปั้นปึ่งเย็นชาเช่นเคย เมิ่งสืออีก้มหน้าลง หัวใจของนางปวดร้าวยิ่งนักกับท่าทางเย็นชาของเขา นางเพิ่งเคยรักผู้ชายเป็นครั้งแรกในชีวิต และผู้ชายที่นางรักก็ยังเป็นสามีของนาง นางทำผิดอันใดไยสวรรค์จึงได้ลงโทษให้หัวใจของนางเจ็บปวดเช่นนี้ ดูท่าแล้วคำทำนายในเซียมซีของท่านแม่นั้นจะไม่แม่นเสียแล้ว! หลังจากออกเดินทางได้หลายวัน เมิ่งสืออีก็เริ่มชินกับความเย็นชาของสามี จู่ ๆ หานชางเหยียนก็สร้างเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกปวดใจร่างกายแข็งชาจนน้ำตาเล็ด เมื่อเขาพาสตรีนางหนึ่งขึ้นรถม้ามาด้วย เขาบอกกับนางว่าสตรีนางนี้คืออนุของเขาที่จะพากลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน ชายหนุ่มหญิงสาวเอียงคอออเซาะ หานชางเหยียนก็ไม่เกรงใจนางแม้แต่น้อยเขาทำกับว่านางเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งในยามที่เคลียคลอกอดประคองหญิงสาวนางนั้น "อาหลันป้อนข้าสิ" สตรีนางนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงถ่อมตน "ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเกรงใจฮูหยินเจ้าค่ะ" หานชางเหยียนเอ่ย "ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องเกรงใจทั้งนั้น อีกอย่างข้าคือสามีของเจ้า ไยต้องใช้คำห่างเหินเช่นนั้น เรียกข้าว่าท่านพี่สิ" เมิ่งสืออีสะอึก นางเคยเรียกเขาว่าท่านพี่ แต่เขากลับตำหนินาง ทว่ากลับสตรีอื่นเขากลับร้องขอให้นางเรียกเขาว่าท่านพี่ เมิ่งสืออีกำมือแน่น หากว่าการแต่งงานครานี้ไม่ใช่เพราะว่านางต้องเป็นตัวประกันให้กับท่านพ่อท่านแม่ นางคงร้องขอหนังสือหย่าจากเขาไปแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาพลอดรักกันคาตา นางเจ็บปวดจนไม่อาจมองได้ จึงทำได้เพียงหลับตานั่งหันหลังให้คนทั้งคู่ ก่อนหน้านี้นางตระหนักได้แล้วว่าเขาไม่รักนาง แต่นางก็ทำใจได้แล้วและตั้งใจจะไม่ยุ่งกับเขาและจะอยู่เพียงเงียบ ๆ ลำพังแต่เขาก็ยังทำให้นางลำบากใจและเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน เขาให้สตรีนางนั้นแต่งกายงดงามด้วยเสื้อผ้าไหมหนานุ่มราคาแพง ในขณะที่เมิ่งสืออีกลับถูกเขาสั่งให้สวมเพียงชุดธรรมดาและเสื้อกันลมแบบมีหมวกที่เนื้อหยาบกร้านด้วยเหตุผลที่ว่า "ข้าไม่ชอบสตรีอวดตน ยิ่งสตรีที่มาจากสกุลเมิ่งเช่นเจ้าก็ยิ่งต้องเจียมตัว" ที่แท้อาภรณ์งดงามเหล่านั้นเขาก็ตั้งใจมอบให้อนุของเขา ในที่สุดเมิ่งสืออีก็ทนไม่ไหว "ท่านแม่ทัพ ให้ข้าลงไปเถิดเจ้าค่ะ พวกท่านทำสิ่งใดจะได้สะดวก หรือไม่ให้ข้าไปอยู่ด้านนอกก็ได้" หานชางเหยียนหัวเราะหยัน ก้มลงจูบแก้มอนุฟอดใหญ่แต่น้ำเสียงที่เอ่ยกับนางช่างเย็นชายิ่งนัก "ทำไมหรือ ทนดูไม่ได้หรือ หึ ถึงจะทนดูไม่ได้ก็ต้องทนดู เจ้าจะได้เห็นว่าการที่แต่งกับคนเช่นข้าโดยที่ข้าไม่เต็มใจแล้วรังเกียจเจ้าเช่นนี้ทำให้เจ้าทรมานเพียงใด ไม่ต้องไปที่ใดทั้งนั้นแม้จะขัดหูขัดตาข้าแต่การมีเจ้าอยู่ที่นี่ก็สนุกดีเหมือนกัน" คนทั้งคู่คลอเคลียกันอยู่ทั้งวันกระทั่งเวลาล่วงเข้ายามเย็นก่อนที่จะถึงจุดพักรถม้า จู่ ๆ เมิ่งสืออีก็ได้ยินเสียงครึกโครมที่ด้านนอกพร้อมกับเสียงของทหารที่ตะโกนขึ้นมาว่า "ท่านแม่ทัพ มีคนร้ายดักซุ่มโจมตีขอรับ" อนุของหานชางเหยียนหวีดร้องขึ้นมาทันใด "ว๊าย ท่านพี่ข้ากลัวเจ้าค่ะ" เมิ่งสืออีเองก็หวาดวิตก นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ธนูหลายดอกพุ่งทะลุเข้ามาในรถม้า เมิ่งสืออีถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งกดใบหน้านางลงไปบนโต๊ะเพื่อหลบลูกดอก จากนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดัง "จอดรถม้าข้างทางตรงที่สามารถหลบได้" เพราะเขากดศีรษะของนางเร็วไปจนซีกแก้มข้างหนึ่งกระแทกกับโต๊ะตัวเล็กในรถม้าทำให้แก้มของนางแดงช้ำเมิ่งสืออีเจ็บจนพูดไม่ออกแล้ว "หมอบลงกับพื้นหากไม่อยากถูกลูกธนู" นางคิดว่าเขาบอกนาง แต่น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นย่อมมิใช่ ที่แท้เขากำลังบอกอนุของเขานางนั้น แต่ในเมื่อได้ยินแล้วเมิ่งสืออีก็ไม่รอช้า นางหมอบลงไปบนพื้นมือคว้าถุงผ้าที่มีของสำคัญในนั้นมาได้ ในยามนั้นรถม้าก็จอดสนิท "รีบลงมาเร็วเข้า" เมิ่งสืออีรีบลงจากรถม้า จากนั้นก็ถูกสั่งให้วิ่งเข้าไปในป่ายังได้ยินเสียงของเขาตะโกนดังก้อง "เมิ่งสืออีหากไม่อยากตายก็หลบให้ดี" เขามิได้อยู่คอยปกป้องนางแต่รีบคว้าข้อมือของอนุอันเป็นที่รักและพาขึ้นม้าตัวหนึ่งควบจากไปอย่างไร้เยื่อใย เมิ่งสืออีไม่มีเวลาให้เสียใจแล้ว เมื่อทหารสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายและรถม้าคันนั้นก็ถูกธนูไฟยิงกระหน่ำจนไฟลุกพรึ่บขึ้นมา เมิ่งสืออีกอดถุงผ้าของตนเองแน่นจากนั้นก็ดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะโชคดีที่นางสวมชุดคลุมสีดำจึงกลืนไปกับความมืด เมิ่งสืออีทำตามที่หานชางเหยียนสั่ง นางวิ่งไปหาที่หลบซ่อนอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งบัดนี้จึงมีสตรีที่น่าสงสารนางหนึ่งซ่อนกายอย่างเงียบเชียบ และใบหน้าของนางนั้นนองไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจปนหวาดกลัว หัวใจของนางแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้วเมื่อเห็นคาตาว่าสามีของตนเองคว้ามืออนุแล้วพาขึ้นม้าหนีไปด้วยกัน ทิ้งนางซึ่งเป็นภรรยาแต่งเอาไว้เบื้องหลังโดยไม่แยแสว่านางจะเป็นจะตายเลยแม้แต่น้อย เชิงอรรถ 1. ^ สืออี คือ เลข 11 ในภาษาจีน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD