Chapter 12 วันของเจ้าหญิงที่แสนโชคร้าย

1447 Words
ศกุนตลาถูกช่างแต่งหน้าชื่อดังเนรมิตให้งดงาม หญิงสาวอยู่ในชุดไทยแบบล้านนาปักดิ้น ห่มทับด้วยสไบผ้าไหมยกลายเก่าแก่ที่พาดทับบนลำแขนเนียนช่วยขับผิวผ่องของเธอ รอบเอวคอดกิ่วสวมทับด้วยผ้าซิ่นพื้นเมืองเชียงรายคาดเข็มขัดทองโบราณที่ตกทอดมาหลายรุ่นจากตระกูลของนางวรากุล บนลำคอระหงของเธอยังมีเครื่องทองโบราณเข้าชุดกัน ดวงหน้าเนียนถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทนสีนู้ดรับกับชุดโบราณสง่า หญิงสาวยืนอยู่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองลอดผ่านผ้าม่านโปร่งพลิ้วไหว แขกที่มาร่วมงานเริ่มทยอยเข้ามาจับจองเต็มพื้นที่ ศกุนตลาไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่าชุดและเครื่องทองโบราณชุดที่เธอสวมอยู่ นางวรากุลต้องการส่งต่อให้เธอเพื่อรับขวัญลูกสะใภ้ แม้จะเป็นลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่นางก็รับว่าเธอคือลูกสะใภ้ของนาง แม้ว่าภายหลังป้องเขตจะแต่งงานใหม่กับใครอีกก็ตาม ซุ้มขนมไทยจากร้านศกุนตลาวางอยู่ทั่วบริเวณ ขนมไทยโบราณหลากหลายชนิดถูกจัดเอาไว้อย่างสวยงามบนโตกไม้สัก กลิ่นของขนมไทยหอมอบอวล ในขณะที่เจ้าหน้าที่ต่างเดินเสิร์ฟน้ำที่เป็นสมุนไพรโบราณ น้ำเปล่าเป็นน้ำลอยดอกมะลิ และน้ำใบเตยกลิ่นหอมกรุ่น ไม่มีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ นางทิพย์สกุลและนางวรากุลออกมาต้อนรับแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความสุข เจ้าสาวอย่างศกุนตลาก็พลอยยิ้มออกมาเมื่อมองเห็นภาพความสุขที่อยู่ด้านล่าง หากเป็นเพียงเสี้ยวของความรู้สึกชั่วครู่ชั่วยาม รอยยิ้มนั้นก็หุบลงเมื่อนึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของงานในวันนี้ ถ้าหากเป็นงานแต่งงานที่เกิดจากความรักของคู่บ่าวสาว เจ้าของงานคงจะรู้สึกมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นเมื่อต้องอยู่ในภาพเหตุการณ์แบบนี้ หญิงสาวเบือนสายตาออกจากลานด้านล่างกลับเข้ามาในห้อง ห้องเป็นห้องหอหลอกๆ สำหรับส่งตัวคู่บ่าวสาว ภายในถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาว ประดับด้วยดอกกุหลาบสีขาวเกือบเต็มพื้นที่ห้อง หญิงสาวไล่สายตามองไปเรื่อยๆ กระทั่งหยุดอยู่ที่นาฬิกาเรือนสีทองที่แขวนอยู่บนผนัง เข็มนาฬิกาเริ่มขยับเข้าใกล้เวลา หัวใจของศกุนตลาเริ่มสั่นรัว กลัวอย่างไม่รู้สาเหตุเมื่อเวลาขยับเข้ามาใกล้ ทุกคนต่างเฝ้ารอขบวนขันหมากอย่างลุ้นระทึก ป้องเขตบอกกับมารดาว่าเขาจะมาพร้อมกับขบวนขันหมาก ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เสียงโห่ร้องดังขึ้นสามครั้งติดต่อกันตามด้วยเสียงกลองยาวครื้นเครงอย่างสนุกสนาน เสียงนั้นหยุดความคิดของหญิงสาวไปชั่วขณะ ขบวนขันหมากดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้ศกุนตลาตื่นเต้น เธอกำลังคิดถึงใบหน้าของเขาเมื่อได้เจอเธอในวินาทีแรก และเธอกำลังคิดถึงใบหน้าของตัวเองหากต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เธอเกลียดตั้งแต่ยังไม่เคยเจอหน้า หญิงสาวยกมือเปิดแง้มม่านมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างอยากรู้ เธอชะเง้อมองไปที่ขบวนขันหมาก มองจากไกลๆ หญิงสาวเห็นชายหนุ่มในชุดไทยล้านนาโบราณสง่างามโดดเด่นเดินอยู่หน้าขบวน ใบหน้าของเขาเจือไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาถูกสวมทับด้วยแว่นกรอบสีดำสุภาพ แน่นอนว่าศกุนตลาไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน นอกจากน้ำเสียงที่เธอแอบฟังในวันนั้น หญิงสาวขยับมาที่ริมหน้าต่างมองชายหนุ่มอย่างสำรวจจดจำ เพราะคิดว่าหากเจอหน้ากันตรงๆ เธอคงจะไม่เงยหน้ามองเขาเป็นแน่ หญิงสาวพบว่าเขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างดี ใบหน้าหล่อเหลา ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด จะติดเพียงแค่ปากร้ายและใจไม่หล่อเหมือนหน้าตาก็เท่านั้น แขกที่อยู่หน้าบ้านต่างเดินไปรอรับขบวนขันหมาก ประตูเงินประตูทองเริ่มครื้นเครงตั้งแถวยาวเหยียดรอต้อนรับเจ้าบ่าวเช่นกัน ศกุนตลาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ถึงเวลาของการเผชิญกับความจริง จังหวะเดียวกันกับเสียงเคาะประตูหน้าห้องเรียกสติของหญิงสาวให้หันกลับไปมอง ในขณะที่เสียงแห่ขันหมากก็ยิ่งดังขึ้นเพราะขบวนเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้น “คุณตลาเตรียมตัวนะคะ ฉันขอซับหน้าอีกนิด เหลือเวลาอีกนิดหน่อยที่เราจะต้องเดินลงไปข้างล่าง” ช่างแต่งหน้าบอกหลังจากบานประตูเปิดออก หญิงสาวสองคนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับหยิบชุดเครื่องสำอางที่วางอยู่ใกล้ๆ ติดมือมาด้วย หญิงสาวส่งยิ้มให้ช่างแต่งหน้า เดินตรงมาที่โต๊ะและย่อตัวลงนั่งพร้อมกับเอียงตัวให้พวกเธอแต่งหน้า ช่างแต่งหน้าใช้เวลาจัดการเก็บรายละเอียดเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ถูกสองสาวช่วยพาไปยืนรอที่เชิงบันไดด้านบนของตัวบ้าน ตรงที่สามารถมองเห็นแขกด้านล่าง ศกุนตลาตั้งข้อศอกขึ้นเล็กน้อย ผ้าสไบของเธอถูกยกขึ้นมาพาดบนแขนดูสง่า แม้ว่าเธอจะงดงามเหมือนดั่งธิดาเจ้าเมือง แต่ในหัวใจของหญิงสาวก็เต้นตึกตัก เธอมองขบวนขันหมากที่กำลังผ่านซุ้มประตูเงินประตูทองทีละชั้นเข้ามาเรื่อยๆ มารดาของเธอและนางวรากุลยืนอยู่ด้านหน้า ไม่มีใครรู้ว่าบุคคลที่เดินนำหน้าขบวนไม่ใช่เจ้าบ่าวนอกจากนางวรากุลมารดาของเขา หากแต่ความเบียดเสียดของผู้คนทำให้นางมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด จนกระทั่งผ่านซุ้มสุดท้าย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้นาง… “หมอนนท์” นางวรากุลหลุดชื่อของชายหนุ่มออกมา คนอื่นๆ อาจจะไม่ได้ยิน แต่ทว่านางทิพย์สกุลได้ยินชัดเจน ความสงสัยก่อตัวขึ้น หมอนนท์ หรือ นายแพทย์ธนานนท์ บวรกิจ เป็นสูตินรีแพทย์ประจำโรงพยาบาลชื่อดังในกรุงเทพฯ เขาเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมของป้องเขต และด้วยรูปร่างลักษณะที่คล้ายกันทำให้คนที่รู้จักเพียงผิวเผินหลายคนมองว่าเขาเป็นป้องเขต เหตุผลอย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าป้องเขตไม่ค่อยได้อยู่ในเมืองไทยให้ผู้คนได้พบเห็นบ่อยนัก ผ่านไปหลายปีความทรงจำอาจจะเลือนรางลงบ้าง ชายหนุ่มยิ้มให้มารดาของเพื่อนรัก และยื่นซองที่เพื่อนรักฝากมาให้นาง “ป้องเขตฝากซองนี้มาให้คุณแม่ครับ” คราวนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็รู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่เจ้าบ่าว เสียงซุบซิบนินทาเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว นางวรากุลรีบแก้สถานการณ์ จับข้อมือชายหนุ่มบอกอย่างหยอกเย้า “เล่นอะไรก็ไม่รู้นะป้อง อำซะแขกเหรื่อตกใจหมดแล้ว ไปเถอะ เดี๋ยวน้องรอนาน จะได้ฤกษ์แล้วด้วย” นางวรากุลบอกกับนายแพทย์หนุ่ม ส่งสายตาเว้าวอนให้เขาและจูงมือเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็เงียบลง เพราะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าบ่าวที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร งานในวันนี้มีเฉพาะแขกที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ไม่มีแขกจากที่ทำงานของชายหนุ่ม และเจ้าสาวเองก็ไม่ได้บอกใครเช่นกัน นอกจากคนในตลาดพี่นางวรากุลเป็นคนเชิญ ในจังหวะที่นางคล้องแขนชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างใน นางก็กระซิบถามนายแพทย์หนุ่มถึงสาเหตุที่ลูกชายตัวแสบหนีงานแต่งงานในครั้งนี้ เขาคงจะตั้งใจทำให้นางเสียหน้า “ป้องเขตไปไหนหมอนนท์” ชายหนุ่มหยิบซองอันเดิมที่เขาเพิ่งเก็บในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง ส่งให้มารดาของเพื่อนรักอีกครั้ง “ทุกอย่างอยู่ในซองนี้ครับคุณแม่ ป้องเขตเดินทางไปเยอรมนีตั้งแต่เที่ยวบินเช้าที่สุดของวันนี้แล้ว” นางวรากุลร้องอ๋ออยู่ในใจ นางไม่ทันได้เอะใจ ตอนเช้านางยังได้คุยโทรศัพท์กับลูกชาย เขายังรับปากและถามกำหนดการอย่างละเอียดจากนาง มันทำให้คนเป็นแม่อย่างนางคลายกังวล แต่คาดไม่ถึงว่าลูกชายจะมีแผนร้ายแบบนี้ เมื่อได้ยินอย่างนั้นนางวรากุลก็รีบแก้ไขสถานการณ์ ยกมือขึ้นแตะแก้มทั้งสองของชายหนุ่มและบอกออกมา “ยังเหลือเวลาอีกราวสิบนาทีกว่าจะถึงฤกษ์ แม่ว่าลูกควรไปซับหน้าอีกสักหน่อยนะ เดินตากแดดมาหน้ามันเชียว” นางบอกให้แขกเหรื่อที่อยู่ตรงนั้นได้ยิน จากนั้นนางก็หันมามองกับทีมงานเบาๆ “ขอเวลาสักครู่นะคะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD