หญิงสาวหันหน้าไปสบตามารดาแล้วถามย้ำ “แม่เห็นด้วยเหรอคะ”
“จากเหตุผลที่คุณป้าบอก แม่ก็ว่าเป็นเหตุผลที่ดี หากทางโน้นต้องการจะปกป้องชื่อเสียงของหนู และพิธีแต่งงานก็เป็นเกราะป้องกันได้ดี” ผู้เป็นมารดาตอบเนิบนาบ
“ถ้าแม่เห็นว่าดี หนูก็ไม่มีอะไรขัดข้องค่ะ”
“แม่ขอโทษตลาอีกครั้งที่ทำให้ต้องลำบาก แม่ขัดคำขอร้องของคุณป้าไม่ได้จริงๆ ตอนที่เราลำบากที่สุด ถ้าไม่มีคุณป้าวรากุล เราก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แน่นอน ไม่รู้ว่าเราสองแม่ลูกจะต้องระเห็จไปอยู่ที่ไหน”
ศกุนตลาพยักหน้าเบาๆ “หนูเข้าใจค่ะแม่”
นางทิพย์สกุลยิ้มอ่อนโยน ยกมือลูบศีรษะลูกสาว “ขอบใจนะลูก หัวอกคนเป็นแม่ไม่อยากผลักไสให้ลูกไปเจอเหตุการณ์แบบนี้สักนิด”
“แม่อย่าเป็นกังวลเลยค่ะ หนูยังโอเค” หญิงสาวยิ้มกลบเกลื่อนให้มารดาได้คลายความกังวล ทั้งที่ในหัวใจของเธอร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ไม่รู้ว่าเธอจะได้เจอกับอะไรอีกบ้าง เพราะยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าต้องแต่งงานและมีลูกกับเขาด้วยซ้ำ
“แม่มีเรื่องจะบอกตลาเพียงแค่นี้ แม่ไปนอนแล้วนะลูก”
“เรื่องแต่งงาน หนูต้องทำอะไรไหมคะ เอ่อ... หนูหมายถึงการเตรียมตัว”
“แม่กับคุณป้าจะจัดการทุกอย่างเอง ตลาแค่เตรียมความพร้อมสำหรับตัวเองก็พอ”
“ค่ะแม่” หญิงสาวตอบรับ หากในแววตาของเธอยังมีความลังเลที่จะถามถึงเขา บุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าจะต้องแต่งงานด้วย รวมไปถึงการสร้างสิ่งมีชีวิตร่วมกัน
ผู้ชายวัยสามสิบเก้าถ้าหากคิดในแง่ดีเขาอาจจะภูมิฐานทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิพร้อมสำหรับการมีครอบครัว เป็นที่หมายปองของหญิงสาว และถ้านึกย้อนไปอีกด้านที่เขาครองชีวิตโสดมาจนถึงขนาดนี้ เขาจะเป็นผู้ชายรูปร่างอ้วน พุงยื่น หรือศีรษะล้านไปถึงครึ่งหัวหรือเปล่าก็ไม่รู้
ในที่สุดประโยคที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของหญิงสาวก็หลุดออกมา
“แล้วเขา...” เธอถามขึ้นเบาๆ ในจังหวะที่มารดากำลังจะก้าวออกจากห้อง นางทิพย์สกุลหันมามองลูกสาวอีกครั้ง พร้อมไขข้อข้องใจของเธอ เพราะคิดว่า ลูกสาวคงจะรู้จักเขาไม่ต่างจากนาง
“แม่เกือบลืมบอกลูกไป พรุ่งนี้คุณป้าเชิญไปที่บ้านเพื่อทำความรู้จักกับพี่เขา ก่อนที่ลูกจะเข้าพิธีแต่งงานตามประเพณี”
“ค่ะ” ศกุนตลาตอบรับ เธอคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น เมื่อกรอบของคำว่ากตัญญูและบุญคุณวิ่งวนอยู่ล้อมรอบตัวเธอไม่หยุด ได้แต่หวังว่าผู้ชายคนนั้นคงสุภาพและให้เกียรติเธอมากพอ
คู่ครองหากแม้นไม่ได้เริ่มจากความรัก แต่เมื่อทั้งคู่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง ให้เกียรติและยกย่องอีกฝ่าย ชีวิตก็ย่อมดำเนินไปได้อย่างมีความสุขเช่นกัน
แหนบสีทองแตะแป้งนวลสีขาวแล้วค่อยๆ หยิบจับจีบเนื้อแป้งสีม่วงนวลให้เป็นกลีบดอก วันนี้เธอตั้งใจทำขนมช่อม่วงเพื่อเป็นของว่างช่วงสาย หลังจากที่เธอมาถึงที่บ้านของนางวรากุลในช่วงเช้า เพราะมารดาของเธอเร่งเร้าตั้งแต่เช้าตรู่ให้มาเตรียมตัว
แต่เพราะความเก้อเขินที่ต้องนั่งอยู่เฉยๆ ทำให้คนที่ต้องทำงานตลอดเวลาอย่างเธออยู่นิ่งไม่ได้ นางวรากุลเห็นอย่างนั้นก็ชวนให้หญิงสาวทำของว่าง เธอจึงตอบรับอย่างไม่ลังเล
ขนมช่อม่วงดอกแล้วดอกเล่าถูกวางลงในลังถึงที่ปูด้วยใบตองพรมน้ำมันอีกชั้นด้านล่าง ฝีมือประณีตงดงามสมกับเป็นเจ้าของร้านขนมไทยที่ผ่านการเรียนจากโรงเรียนการเรือนมีชื่อ
ลมโกรกริมท่าน้ำหลังบ้านชวนหลับ หากแต่หญิงสาวยังคงนั่งนิ่งจับจีบกลีบดอกช่อม่วงราวกำลังฝึกสมาธิ เสียงลมสลับกับเสียงนกกาทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงรถที่แล่นเข้ามาในบ้าน
ครัวของบ้านนี้เป็นครัวไทยที่ยื่นออกมาด้านนอกริมระเบียงแม่น้ำ ในขณะที่ครัวยุโรปอยู่ในบ้านเอาไว้สำหรับต้อนรับแขกหรือทำอาหารที่ไม่มีกลิ่นมากนัก
หลังจากที่วางช่อม่วงดอกสุดท้ายลงบนลังถึง อาหารว่างมื้อสายที่เธอเตรียมเอาไว้ให้ชายหนุ่ม จากนั้นเธอก็ยกลังถึงเดินเข้าไปในครัวที่ตั้งเตาลังถึงเอาไว้ หญิงสาวใช้กระบอกฉีดน้ำพรมลงบนตัวขนมเล็กน้อย จากนั้นยกขึ้นตั้งไฟ แต่เสียงสนทนาของคนในบ้านก็ทำให้เธอชะงักมือและเงี่ยหูฟัง
เธอจะไม่สนใจเลยหากในบทสนทนาของทั้งคู่ไม่มีชื่อของเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง และน้ำเสียงของอีกฝ่ายก็จับได้ว่ากำลังหยามหยันไม่ให้เกียรติเธอ ยังไม่รวมถึงสรรพนามเรียกขานที่เขาถือวิสาสะตั้งให้ใหม่โดยที่เธอไม่ยินยอม
“หนูตลาไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” ระดับน้ำเสียงที่ดังขึ้นของคนในบ้านทำให้หญิงสาวได้ยิน เธอไม่รู้ว่าประโยคสนทนาก่อนหน้านี้มีอะไรบ้าง แต่ก็พอเดาได้ไม่ยากว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มไม่น่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับเธอ
“ยัยกะลาอะไรนั่นใช้มารยาอะไรกับคุณแม่บ้าง คราวนี้ถึงได้ตั้งใจหาข้อผูกมัดให้ผมขนาดนี้” ชายหนุ่มบอกอย่างหัวเสีย เพราะมารดาเพิ่งจะบอกกำหนดวันแต่งงานของเขาและศกุนตลา ซึ่งท่านไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ปฏิบัติการมัดมือชกแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาโกรธมาก ไม่คิดว่ามารดาจะคิดไปไกลได้ถึงขนาดนี้ และเขาจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้มารดาเด็ดขาด
“เธอชื่อว่าตลา... ศกุนตลา และที่สำคัญ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมที่จะอุ้มท้องหลานของแม่ รวมถึงมีคุณสมบัติที่ดีที่จะเป็นสะใภ้ของใครสักคน” มารดาบอกย้ำ แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจชื่อของเธอ เขาไม่เอะใจสักนิดว่าชื่อนั้นเป็นชื่อเดียวกับเจ้าของร้านขนมที่เขาแวะซื้อก่อนเข้าบ้านมารดา และกล่องขนมที่เขาเพิ่งซื้อมาก็อยู่ไม่ห่างมือ
“ถึงคุณแม่จะบอกว่าผู้หญิงที่ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อเงินสิบล้านเป็นผู้หญิงดี นั่นก็เป็นความคิดของคุณแม่ แต่สำหรับผม ผู้หญิงแบบนั้นเป็นผู้หญิงที่ไร้ค่าที่สุด ไม่รักษาเกียรติของตัวเอง ผมจะไม่ยอมรับผู้หญิงหน้าเงินที่เห็นแก่ความสบายแบบนั้นเด็ดขาด”
“ป้องเขต!” เสียงของคนเป็นมารดาปรามอีกครั้งเพราะกลัวว่าหญิงสาวที่อยู่หลังบ้านจะได้ยิน แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งปรามชายหนุ่มก็ยิ่งเสียงดังขึ้น เพราะป้องเขตก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวที่เป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในบ้านด้วย
“ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะมีงานแต่งงานบ้าบออะไรเกิดขึ้น และไม่มีความจำเป็นสักนิด หากผู้หญิงหน้าเงินคนนั้นไม่หลอกล่อให้คุณแม่หลงมารยาจนวางแผนจับผู้ชายคนหนึ่งแต่งงานได้สำเร็จ ผมจะไม่มีวันหลงกลแม่นั่นเด็ดขาด”
“แต่ทุกอย่างเตรียมเอาไว้หมดแล้ว และไม่ใช่มารยาของหนูตลาที่หลอกล่อแม่ แต่แม่เป็นคนขอร้องและอ้อนวอนเธอต่างหาก”
“เพื่ออะไร” ชายหนุ่มถามกลับเพราะเขายังเห็นว่าไม่มีความจำเป็น
“เพื่อรักษาเกียรติของเธอ คนแถวนี้คงพูดไม่ดีแน่หากวันหนึ่งผู้หญิงดีๆ สักคนจะท้องขึ้นมาโดยที่ยังไม่แต่งงาน”
“ฮึ!” ชายหนุ่มแค่นเสียงเยาะออกมา “คนเขาก็พูดถูกแล้วนี่ครับ ผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะทำแบบนี้กัน”
“แม่จะพูดยังไงกับป้องดี”
“คุณแม่ไม่ต้องสรรหาคำมาอธิบายเพื่อทำให้ผู้หญิงคนนั้นดูดีขึ้นมา ผมไม่มีวันคล้อยตามความเห็นของคุณแม่เด็ดขาด เพราะการแต่งงานที่ว่าก็เป็นเหตุผลของผู้หญิงที่อยากจับผู้ชายสักคน ถ้ามียางอายจริง ไม่มีวันที่เธอจะยอมรับข้อเสนอแบบนี้แน่นอน” ชายหนุ่มเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
แม้ว่าศกุนตลาจะไม่ได้เห็นแววตาของเขา แต่ประโยคที่เขาพูดออกมาก็เหมือนเอาแท่งเหล็กเผาไฟมานาบบนหน้าอกของเธอ
ขาของหญิงสาวสั่นแทบทรงตัวยืนไม่อยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้เห็นใบหน้าของเขา ไม่ได้เห็นแววตาของเขา แต่เพียงแค่น้ำเสียงและประโยคที่หลุดออกมาเธอก็มองเห็นความทุกข์ในเส้นทางที่เธอกำลังจะเดิน
นั่นเป็นความคิดพ่อของลูกที่เธอตกปากรับคำจะตั้งท้องทายาทของเขา มันช่างเชือดเฉือนหัวใจของเธออย่างรุนแรง มือข้างที่ถือฝาลังถึงอยู่ข้างหนึ่งสั่นระริกแทบจะไม่สามารถถือมันไว้ในมือ เกือบจะปล่อยให้มันร่วงลงกับพื้น ในขณะที่มืออีกข้างยกขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้ร้องออกมา แม้จะสามารถควบคุมร่างกายไว้ได้ แต่เธอก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาไม่ให้ร่วงเผาะลงข้างแก้มได้
เกียรติและศักดิ์ศรีของเธอถูกเหยียบย่ำไม่มีชิ้นดี มิหนำซ้ำการที่เธอช่วยเหลือผู้มีพระคุณกลับกลายเป็นว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดีในสายตาของเขา ทั้งที่มันก็ไม่ใช่ความต้องการของเธอสักนิด
“มันไม่ใช่อย่างนั้น” นางวรากุลพยายามอธิบาย แต่ชายหนุ่มรีบแทรกกลับโดยที่คนเป็นแม่ยังพูดไม่จบ
“คุณแม่ไม่ต้องอธิบายเหตุผลหรอกครับ มันคงไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น”
“ถือว่าแม่ขอร้องนะ เห็นแก่หน้าแม่สักครั้ง คนแถบนี้รู้จักและนับหน้าถือตาแม่กันหมด”
“คุณแม่ก็ยังห่วงหน้าตามากกว่าความรู้สึกของลูกอย่างผม แค่คุณแม่อยากได้หลาน ทำไมต้องลงทุนมากขนาดนี้ ผมไม่เห็นความจําเป็นสักนิด”
“ถึงป้องจะพูดอะไรก็แล้วแต่ มันก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เพราะแม่ตัดสินใจและดำเนินการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่งานแต่งงานเล็กๆ บังหน้า กันข้อครหาในสังคม ลูกจะทำเพื่อแม่สักครั้งไม่ได้เชียวหรือ” เสียงของนางวรากุลอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด นางส่งสายตาเว้าวอนไปยังลูกชายเพื่อขอความเห็นใจอีกครั้ง