Chapter 4
ป้องเขตเป็นคนรักษาสัญญาเสมอ นั่นเป็นคุณสมบัติที่ทำให้นางสามารถเชื่อใจเขาได้ เขาไม่มีอาการต่อต้านและรู้สึกถึงการยัดเยียด แต่ยอมรับอย่างมีเหตุและผล
“ขอบใจป้องที่เข้าใจแม่นะ”
“ครับ... ผมขอตัวนะครับคุณแม่” ชายหนุ่มตอบรับเบาๆ หยิบเสื้อสูทที่วางอยู่บนพนักโซฟามาคล้องไว้ที่แขนและเตรียมตัวจะเดินออกไป แต่เหมือนเขานึกอะไรได้บางอย่าง
“คุณแม่สั่งกระเช้าของว่างให้ผมแล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถามถึงกระเช้าของว่างที่เขาฝากให้มารดาช่วยเป็นธุระให้เมื่อหลายวันก่อน
“แม่เกือบลืมบอกป้องไป วันศุกร์บ่ายแม่ไม่ว่างเอาเข้าไปให้ที่สำนักงาน ป้องแวะไปรับที่ร้านเองได้ไหม”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง หากไม่ใช่ร้านขนมใกล้บ้านที่เป็นรายการโปรดที่ผู้ใหญ่ท่านนี้ชื่นชอบ เขาคงไม่ต้องวุ่นวายให้มารดาจัดแจงให้ เพราะเพียงแค่เลขานุการประจำสำนักงานของเขา เธอก็สามารถจัดแจงทุกอย่างได้เสร็จสรรพ
วันศุกร์เขาไม่มีตารางนัดหมายด่วนอะไรสามารถเข้าไปรับเองได้ แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาก้าวเข้าไปในร้านขนมไทยใกล้บ้าน หากความอร่อยกลับเลื่องชื่อไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงหลายคน
หลังจากที่มารดาแนะนำให้ใช้เป็นกระเช้าของฝากในช่วงปีใหม่ของเมื่อหลายปีก่อน เขาก็ได้รับคำชื่นชมและถามถึงขนมของร้านนี้อยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นของฝากประจำตัวโดยปริยาย ไม่ต้องเสียเวลาคิดจะเลือกซื้อของฝากอะไรสำหรับผู้ใหญ่อย่างอื่นด้วย
เมื่อนางวรากุลเห็นลูกชายมีอาการลังเลก็รีบสำทับ “เดี๋ยวแม่จะโทรไปแจ้งที่ร้านเอาไว้ ป้องเดินเข้าไปแล้วบอกว่าแม่สั่งไว้แค่นั้นเอง”
“ก็ได้ครับ” ชายหนุ่มตอบตกลง
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนั้น ไปพักผ่อนเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับอีกครั้งและเดินออกไปทันที
นิ้วมือเรียวเล็กของหญิงสาวค่อยๆ เทน้ำลอยดอกมะลิลงในกระทะทองเหลืองที่เธอเติมแป้งถั่วเขียวและน้ำตาลลงไปก่อนหน้านี้ ค่อยๆ คนอย่างเบามือเวียนไปทางเดียวกันจนน้ำตาลและแป้งละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำ
หญิงสาวใช้สองมือยกกระทะทองเหลืองใบขนาดย่อมขึ้นตั้งไฟและเปิดไฟอ่อนจนถึงปานกลาง จากนั้นใช้ไม้พายอันที่วางอยู่บนขอบกระทะทองเหลืองคนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแป้งในกระทะขึ้นเงาเป็นสีใส จากนั้นหญิงสาวก็ยกกระทะทองเหลืองขึ้นตั้งในกะละมังน้ำร้อนที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ ทั้งนี้เพื่อรักษาอุณหภูมิตัวขนมให้ร้อนอยู่เสมอ
เธอตักส่วนผสมที่อยู่ในกระทะใส่เหยือกขนาดเล็กสำหรับหยอด ผสมสีชมพูเพียงสองหยด ให้ตัวขนมมีสีชมพูระเรื่อเล็กน้อย หญิงสาวตักตัวขนมลงในเหยือกสเตนเลสใบเล็กแล้วหยอดตัวขนมลงในถ้วยพลาสติกขนาดเล็กรูปหัวใจพอดีคำ หลังจากหมดสีชมพูเธอก็ผสมสีต่อไปจนกระทั่งแป้งเจลใสในกระทะทองเหลืองหมด ปล่อยทิ้งไว้ให้หน้าขนมตึงสักพัก ช่วงเวลานั้นหญิงสาวละมือมาเตรียมทำหน้าขนม
ศกุนตลายกกระทะหัวกะทิที่ผสมแป้งข้าวเจ้าและเกลือป่นลงไปเล็กน้อยที่เธอเตรียมเอาไว้ขึ้นตั้งไฟ กวนจนกระทั่งส่วนผสมข้นเป็นเนื้อเนียนจึงปิดเตา แต่ยังใช้ไม้พายกวนหัวกะทิที่อยู่ในกระทะต่อไปอีกสักระยะ จนกระทั่งส่วนผสมคายความร้อนออกและเริ่มหนืดเธอจึงตักส่วนผสมลงไปในกระบอกกด
กระบอกที่ใช้กดดัดแปลงมาจากกระบอกกดขนมคุกกี้ ใช้หัวกดรูปดอกไม้เพื่อเพิ่มความสวยงามน่ารักให้กับตัวขนมไทย อีกทั้งยังเพิ่มมูลค่าได้มากกว่าวิธีการตัดยอดแบบปกติ
ในจังหวะที่ตัวขนมหน้าตึงเล็กน้อยกำลังได้ที่และพร้อมที่จะหยอดหน้า หญิงสาวกะเวลาได้แม่นยำตามความเคยชินโดยไม่ต้องเสียเวลาเช็ก
หญิงสาวกดหัวกะทิข้นหนืดลงบนตัวขนมเป็นรูปดอกไม้ตามพิมพ์ที่อยู่ในกระบอกจนเสร็จ จากนั้นเธอก็หยอดถั่วทองลงบนหน้าขนมอีกครั้งเพื่อความสวยงาม
ศกุนตลากำลังง่วนอยู่กับการทำขนม เพราะเธอต้องรักษาเวลาให้ตัวหน้าขนมยังอุ่น ไม่อย่างนั้นหากตัวหน้าขนมเย็นจะทำให้จับตัวกันเป็นก้อนก่อนที่จะกดออกมาจากพิมพ์ หน้าขนมจะออกมาไม่เรียบเนียนสวยงาม เธอไม่มีเวลาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนกำลังยืนมองเธออยู่
ส่วนคนที่ยืนมองก็สำรวจร้านอย่างชื่นชม กระทั่งสายตาของเขามาหยุดอยู่ที่หญิงสาวและตกอยู่ในภวังค์จนลืมธุระของตัวเองไปชั่วขณะ เขาเพิ่งเคยเห็นการทำขนมไทยเป็นครั้งแรก มองเห็นความประณีตและความพิถีพิถันทุกขั้นตอนจนอยากลิ้มลองเจ้าขนมสีสวยชิ้นนั้น
เจ้าของร่างเล็กที่ความสูงไม่เกินหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ทำขนม คอของเธอถูกคล้องเอาไว้ด้วยผ้ากันเปื้อนสีชมพูสดที่ปักชื่อร้านเอาไว้ แววตาให้ความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำตรงหน้า ในขณะที่ดวงหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เธอทำให้เขาพลอยยิ้มออกมาด้วย โดยที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าเขายิ้มเพราะอะไรกันแน่
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จทุกขั้นตอนศกุนตลาก็วางอุปกรณ์ทั้งหมดลงในอ่างล้าง แต่เมื่อเธอหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง โฟกัสสายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่รอยยิ้มละมุนของเขา เธอไม่รู้ว่าสุภาพบุรุษหนุ่มแต่งกายสุภาพที่ยืนอยู่ตรงหน้าเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งที่จุดที่เขายืนก็ไม่ห่างจากเธอเท่าใดนัก
ร้านขนมไทยศกุนตลาเป็นเพียงตึกสองคูหาที่กั้นหน้าร้านเอาไว้โชว์สินค้า ในขณะที่หลังร้านก็เป็นพื้นที่ของครัวที่เปิดโล่งทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นขั้นตอนการผลิตที่สดสะอาด แต่ก็เป็นสัดส่วน
เดิมทีนางทิพย์สกุลมารดาของสกุนตลามีอาชีพทำขนมไทยขายที่ตลาด ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับขนมไทยมาตั้งแต่เด็กทำให้สกุนตลาชื่นชอบและรักที่จะทำขนม เธอต่อยอดความรู้โดยการเข้าศึกษาในโรงเรียนการเรือนมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐที่มีชื่อเสียงในการผลิตบุคลากรทางด้านการอาหารชั้นนำ
หลังจากจบการศึกษาเธอก็เลือกที่จะกลับมาปรับปรุงร้านขนมไทยของแม่ แทนการเข้าทำงานในโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาวที่ทาบทามตัวเธอเอาไว้ตั้งแต่ตอนฝึกงาน เธอต่อยอดร้านขนมไทยโดยเพิ่มการจัดเบรกและแคทเธอริ่ง อีกทั้งยังปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอให้ทันสมัย แต่ยังคงรักษากลิ่นและรสชาติ รวมไปถึงวัฒนธรรมของขนมไทยเอาไว้อย่างครบถ้วนเช่นเดิม
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ขนมของทางร้านจะขายดีเป็นพิเศษ เริ่มจากเมื่อสามสี่ปีก่อนมีลูกค้าสั่งจัดกระเช้าขนมไทยเพื่อนำไปกราบขอพรผู้หลักผู้ใหญ่ หลังจากนั้นก็มีการพูดปากต่อปาก ทำให้ร้านขนมของเธอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนต้องจ้างลูกจ้างเข้ามาเพิ่มในช่วงเวลาเตรียมทำขนมเวลาดึกและกลางวัน
ช่วงบ่ายจะเหลือพนักงานเพียงบางคนที่ต้องไปช่วยมารดาของเธอซื้อของเข้าร้าน และจะมีพนักงานพาร์ตไทม์ที่เป็นน้องๆ นักศึกษามาช่วยงานเวลาจัด แคทเธอริ่งนอกสถานที่ที่มีเข้ามาเป็นระยะ
หากในตอนนี้ศกุนตลาอยู่ร้านเพียงลำพัง เพราะลูกจ้างและมารดาของเธอไปช่วยกันซื้อของที่ตลาดสำหรับเป็นวัตถุดิบในวันรุ่งขึ้น
หญิงสาวส่งยิ้มให้ลูกค้าของร้าน โค้งศีรษะให้เขาอย่างขอโทษ ทั้งที่แก้มของเธอยังขะมุกขะมอมไปด้วยแป้งถั่วที่เธอเผลอยกหลังมือที่มีแป้งติดเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ผมของเธอถูกคาดทับด้วยหมวกสีชมพูน่ารักรับกับชุดกันเปื้อนที่คล้องอยู่บนคอ “สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษที่ให้ยืนรอนานนะคะ ฉันมัวแต่วุ่นกับการทำขนม ไม่ทันได้สังเกตเห็น”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบและยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว อาจจะเป็นเพราะว่าคราบแป้งที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าของเธอ หรือรอยยิ้มที่หญิงสาวส่งมาให้ก่อน
หญิงสาวตรงหน้ารูปร่างค่อนข้างเล็กอ้อนแอ้น ผิวของเธอละเอียดเนียนเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น “น้องอยู่คนเดียวเหรอครับ คือผมมารับกระเช้าของว่างที่ คุณวรากุลสั่งเอาไว้ครับ” ชายหนุ่มถามเสียงสุภาพ จากการประเมินด้วยสายตาสาวน้อยคนนี้คงอายุห่างจากเขาเกินรอบ
ชายหนุ่มประเมินจากใบหน้าและรูปร่าง โดยที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวเจ้าของร่างเล็กอ้อนแอ้นตรงหน้าเป็นเจ้าของร้าน และอายุของเธอก็เกือบยี่สิบเจ็ดปีแล้ว