Double : 05

2978 Words
@คอนโด XS หลังจากเมื่อคืนไปหาออสตินพร้อมกับเอริคที่ผับและคุยเรื่องงานที่เขาให้ช่วยเสร็จ ฉันก็ขอตัวไปหาเพื่อนตัวเองทันที พอเห็นเดล่ากับเจสสิกากำลังสนุกสนานไม่ยอมกลับ ฉันเลยต้องขอตัวกลับก่อนเพราะขับรถมาเอง เมามากไม่ดีแน่ๆ ส่วนยัยสองคนนั้นเลโอบอกว่าจะดูแลให้ฉันเลยไม่ห่วงมากนัก และตอนนี้ฉันก็ได้แหกตาตื่นมาย้ายของเข้าคอนโดฯ ใหม่แล้วเรียบร้อย พอดื่มน้ำและพักหายเหนื่อยเลยเดินไปเปิดทีวีที่ห้องรับแขกดู วันนี้เป็นวันหยุดได้พักผ่อนสักที เมื่อคืนก็เมากลับดึกแถมต้องตื่นเช้าเพื่อขนของย้ายมาที่นี่อีก ร่างแทบพังอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ Rrr~ จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะรับแขกก็ดังขึ้น พอเหลือบไปมองและเห็นเป็นเบอร์แปลกก็ต้องขมวดคิ้วงุนงง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบขึ้นมากดรับสายโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนโทรมา หนังกำลังสนุกด้วยสิ ใครโทรมาขัดจังหวะซะได้… “ฮัลโหล” [...] เงียบกริบ “ฮัลโหล ใครคะ?” พอไม่มีเสียงขานรับจากปลายสาย ฉันเลยขมวดคิ้วมุ่นแล้วง้างโทรศัพท์มือถือออกจากหูเพื่อมองดูที่หน้าจออีกครั้ง เบอร์ใครก็ไม่รู้จริงๆ นั่นแหละ โรคจิตหรือเปล่ายะ… ฉันนั่งงุนงงไม่นานก็ต้องชะงักเมื่อปลายสายตอบกลับมาสั้นๆ [หิว] หิว? หิวแล้วจะโทรมาบอกฉันทำไมล่ะยะ! โทรไปสั่งพิซซ่ากินสิโว้ยยย บ้าบอ เสียเวลาดูหนังฉันหมด! “สงสัยคุณคงโทรผิด…” [โมนา… หิวแล้ว] เอ๊ะ… เดี๋ยวนะ ทำไมเสียงนี้ถึงได้ฟังดูคุ้นหูชะมัดเลย ฉันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมแล้วจ้องมองเบอร์แปลกบนหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยถามเขาเสียงอุบอิบด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก “เอ่อ… ใครคะ?” [ให้ทาย] ทายบ้าทายบออะไรกันล่ะยะ! ฉันสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อพยายามใจเย็นไม่ให้หัวที่เดือดปุดๆ ระเบิดไปซะก่อน ให้ตายเถอะ ปวดประสาทแต่เช้าเลยโว้ย! “นี่คุณ ถ้าไม่มีธุระอะไรงั้นฉันวาง...” [ย้ายของมาคอนโดแล้วไม่ใช่รึไงโมนา ให้เวลาหนึ่งนาที มาทำไรให้กินด้วย] ติ๊ด! ชัดเลย… ชัดเต็มสองหูเลย เสียงเข้มต่ำและกวนประสาทแบบนี้นี่มันเอริคชัดๆ อะไรของเขาอีกล่ะเนี่ย! เห็นฉันเป็นแม่บ้านไปแล้วหรือไง ฉันเป็นเลขานะไม่ใช่แม่บ้านหรือแม่ครัวคอยทำอาหารให้เขากินน่ะ มันใช่เรื่องที่ฉันต้องทำอย่างงั้นเหรอ!  ตึกๆ ๆ อ๊อดๆ! แต่แล้วฉันก็ต้องรีบหน้าตั้งวิ่งผมฟูมากดออดหน้าห้องเอริคอยู่ดี ให้ตายสิ… และยืนกดออดได้ไม่นานร่างสูงก็เปิดประตูให้ฉันด้วยท่าทางงัวเงีย ผมชี้ไม่เป็นทรง แถมเขายังสวมเพียงแต่กางเกงนอนสีดำขายาว ทำให้เห็นท่อนบนเปลือยเปล่ากับรอยสักราชสีห์ตรงแผงอกกำยำ รอยสักเท่ๆ ที่เขาคงเพิ่งไปสักมาใหม่ตั้งแต่ไหล่แข็งแรงลงมาถึงข้อมือหนาก็ทำให้ฉันแอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึกอย่างประหม่าหน่อยๆ บ้าจริง นี่ฉันจ้องเขามากเกินไปหรือไงทำไมเอรึถึงมองหน้าฉันนิ่งแบบนั้นด้วยล่ะ ฉันแค่มองนิดมองหน่อยเองนะ… “ถอยไปสิคะ ฉันจะได้ทำอะไรให้คุณกินแล้วกลับห้องสักที แล้วนี่คุณจะมองฉันอีกนานมั้ย บ้าชะมัด จ้องอยู่ได้…” “หึ ตอนเธอไม่แต่งหน้าก็แปลกดี” เสียงเข้มต่ำแหบพร่าจากอาการเพิ่งตื่นนอนของเอริคทำให้ฉันเม้มปากพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างขุ่นเคือง ที่เขาพูดนั่นมันหมายความว่ายังไงกันน่ะ ที่ว่าแปลกนี่มันคืออะไรกันยะ แต่พอเห็นเอริคจ้องมากๆ เข้าฉันก็ชักจะเริ่มรู้สึกอายขึ้นมานิดๆ เหมือนกัน ฉันอุตส่าห์รีบวิ่งหัวเปิงมาที่นี่ด้วยความหงุดหงิดแถมยังถูกขัดจังหวะการดูหนังจนลืมไปเลยว่าไม่ได้แต่งหน้า ให้ตายเถอะ! “ขอโทษนะคะที่มาหน้าสด ถ้ามันแย่ขนาดนั้นก็ไม่ต้องมองฉันสิ จะมองอะไรนักหนาก็ไม่รู้…” “ไม่ได้บอกว่าแย่สักหน่อย” เอริคยักไหล่พลางยกยิ้มมุมปากเหมือนกลั้นขำเล็กน้อย ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่เขาจะมายืนคุยกับฉันหน้าห้องเพื่ออะไรเนี่ย ไหนหิวจะเป็นจะตายไม่ใช่หรือไงเล่า! ฉันจิ๊ปากเบาๆ แล้วเดินตึงตังไปที่ห้องครัวด้วยความรวดเร็วหลังจากที่เอริคถอยให้ฉันเดินเข้ามาในห้องของเขาสักที “ไม่เอาออมเล็ตแล้วนะ” ฉันสะดุ้งตกใจจนเกือบจะทำกระทะในมือตกใส่เท้าตัวเองเมื่อจู่ๆ เอริคก็เอ่ยบอกเสียงเข้มต่ำจากทางด้านหลังโดยไม่บอกกล่าว แล้วเขาจะเดินมาเงียบๆ ทำไมกันยะ ตกอกตกใจหมดเลย! “งั้นฉันทำซุปเห็ดให้แล้วกันนะคะ เห็นคุณคงมีขนมปังอยู่หนิ” “อือ” ฉันเก็บกระทะในมือแล้วหยิบหม้ออีกอันมาแทน เหอะ ใช้คนอื่นยังจะมาเรื่องมากอีกนะ เดี๋ยวแม่ก็ฟาดด้วยหม้อนี่ซะหรอก คนยิ่งกำลังหงุดหงิดเพราะถูกขัดจังหวะการพักผ่อนดูหนังอยู่ด้วย แต่เอริคกลับยังคงยืนพิงของประตูห้องครัวมองฉันนิ่งจนฉันเริ่มประหม่าและรู้สึกแปลกๆ ที่มีคนคอยจ้องตอนทำอาหารตลอดเวลาแบบนี้… ให้ตายสิ เอริคไม่มีอะไรจะทำหรือไงน่ะ จ้องฉันอยู่ได้! “คุณจะทำอะไรก็ไปทำสิคะ มายืนมองฉันทำไม” “ก็ทำอยู่นี่ไง” ฉันขมวดคิ้ว เงยหน้ามองเอริคด้วยความงุนงงก่อนจะกรอกตามองบนไปหนึ่งทีกับท่าทางกวนประสาทของเขา “ยืนมองฉันทำอาหารเนี่ยนะ?” “ทำไม ไม่ได้ไปกวนเธอสักหน่อย” “แต่ฉันไม่มีสมาธิในการทำ” “เพิ่งรู้ว่าก่อนทำซุปต้องทำสมาธิด้วย” “นี่คุณเอริค!” ฉันล่ะเชื่อเลยให้ตาย! เขาเป็นคนที่กวนประสาทได้หน้านิ่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมอีก “หึ อย่าเผาครัวฉันล่ะ” พูดจบเอริคก็เดินอารมณ์ดีออกไปจากห้องครัวและทิ้งให้ฉันได้แต่ยืนขมุบขมิบปากบ่นอย่างขุ่นเคืองไม่หาย ก่อนจะเผาครัวเนี่ย ฉันขอเผาเขาก่อนเลยดีไหมยะ กวนประสาทดีนัก! “ให้ตายสิ…” ฉันถอนหายใจแรง มือก็ยังต้องทำซุปเห็ดไปด้วย เออ… แม่บ้าน แม่ครัว เลขา อยู่กับเอริคนี่ฉันเป็นมันทุกอย่างแล้วมั้ง! ว่าแต่… ทำไมเขาไม่โทรสั่งอาหารของคอนโดฯ เองล่ะเนี่ย จะมาใช้ฉันทำให้กินทำไมไม่ทราบยะ?! ฉันก็ดันบ้าจี้มาทำให้เขากินอีกต่างหาก อยากทึ้งหนังหัวตัวเองให้หายหงุดหงิดโว้ยย! หลังจากผ่านไปหลายนาทีฉันก็ทำอาหารให้เอริคเสร็จ พอลองมองหาจานชามบนเคาน์เตอร์ครัวเพื่อตักใส่ถ้วยให้เขา แต่ไม่ว่าจะมองยังไงฉันก็ไม่เห็นจะมีเลยสักใบเดียว เอริคไม่มีจานชามหรืออะไรที่พอจะใส่อาหารไว้บ้างเลยหรือไงน่ะ? “หาอะไร” ฉันหันไปมองตามเสียงทุ้มที่ดังอยู่ทางด้านหลัง แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจที่เอริคมายืนใกล้ฉันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงเดี๋ยวฉันก็หัวใจวายตายกันพอดี บ้าจริง ฉันกระแอมเรียกสติแล้วบอกเขาเสียงอุบอิบ “เอ่อ… หาชามค่ะ ฉันจะตักข้าวต้มไว้ให้คุณ” “อยู่บนชั้นเคาน์เตอร์ด้านบนซ้าย” เอริคพูดจบก็เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำขึ้นมากระดกอึกๆ ฉันเลยหันไปหยิบชามบนชั้นตามที่เขาบอก แต่เอื้อมไปหยิบยังไงก็ไม่ถึงสักที แล้วทำไมเขาต้องเอาชามไปให้สูงขนาดนั้นด้วยเนี่ย! พรืด! หมับ! “อ๊ะ!” “ระวังหน่อย” ฉันเบิกตาโพลงแล้วรีบจับท่อนแขนแข็งแรงที่คว้าเอวบางไว้จากทางด้านหลังได้มันก่อนที่ฉันจะลื่นหน้าทิ่มพื้นกระเบื้อง ให้ตาย เกือบหัวฟาดพื้นตายศพไม่สวยไปแล้ว แถมตอนนี้หัวใจฉันยังเต้นตึกตักระรัวด้วยความตกใจไม่หายอีกต่างหาก… “ขะ... ขอบคุณค่ะ” “เอาเล็กหรือใหญ่” “คะ?” ฉันเงยหน้ามองเอริคอย่างไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเขาเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยืนนิ่งอยู่กับที่ทันทีที่รับรู้ว่าใบหน้าของเราสองคนใกล้กันมากเกินไปจนริมฝีปากฉันเกือบจะแตะโดนปลายคางเขาอยู่แล้วเนี่ย “งงอะไร ชามไง” สงสัยเอริคคงเห็นฉันยืนซื่อบื้อกะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างงุนงงไม่หายถึงได้เลิกคิ้วถาม ฉันรีบตั้งสติแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติจากนั้นก็ตอบเขาอึกอักทำตัวไม่ถูกหน่อยๆ   “เอ่อ… เอาแบบพอดีๆ ก็ได้ค่ะ” “แบบนี้ได้รึเปล่า” “เหอะ อันนั้นก็ได้ค่ะ ถ้าคุณกินหมดน่ะนะ” ฉันหันไปมองตามฝ่ามือหนาที่หยิบชามขนาดใหญ่เท่ากะละมังมาให้ดู นี่เขาจะเอาไปแจกคนทั้งคอนโดฯ กินหรือไงน่ะ! ฉันจิ๊ปากแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ กับความกวนประสาทไม่ลดละของเอริค เขาอยากให้ฉันหงุดหงิดมากกว่าที่เป็นอยู่สินะ อีกอย่าง เมื่อไหร่เขาจะปล่อยแขนออกจากเอวฉันไม่ทราบ… และพอเอริคเห็นฉันหรี่ตามาเขาด้วยความขุ่นเคือง เสียงเข้มต่ำก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยพลางคิ้วเข้มเลิกขึ้นท่าทางไม่สะทกสะท้านเช่นเคย “เธอมองแบบนั้นทำไม โมนา” “คุณก็เอาแขนออกจากเอวฉันสักทีสิ” “แต่ยังไม่ได้ชามเลย” ฉันเงยมองใบหน้าหล่อเหลานิ่งๆ แต่เอริคกลับยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์คล้ายกำลังสนุกที่เห็นฉันทำหน้ามุ่ยและขยุกขยิกตัวเล็กน้อยอย่างทำอะไรไม่ค่อยถูก “เดี๋ยวฉันหยิบเอง” “ไหนหยิบไม่ถึง ยังจะปากเก่งอีก” “นี่คุณ!” ฉันกัดริมฝีปากล่างเพื่อข่มอารมณ์หงุดหงิดที่เริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วขมวดคิ้วจ้องมองร่างสูงอย่างขุ่นเคือง ถ้าเขายังจะกอดรอบเอวฉันไว้แบบนี้แล้วฉันจะได้ชามไหมเล่า! ให้ตายเถอะ กวนประสาทฉันอยู่ได้! “หึ นี่ชาม” “ขอบคุณค่ะ!” ฉันหยิบชามมาจากมือหนาแล้วขยับตัวให้ห่างจากเขาด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบตักซุปใส่ชามพร้อมกับแอบชำเลืองมองหน้าเอริคด้วยสายตาเคืองๆ เล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงทำสีหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านอะไรเหมือนเคย เหอะ! “ไอ้ออสมันโทรมาย้ำเรื่องช่วยงาน” แต่จู่ๆ เอริคก็เอ่ยบอกหลังจากที่เขาตักซุปเข้าปากไปได้คำหนึ่ง ฉันที่หันหลังกำลังจะเดินออกไปจากห้องของเขารีบหันขวับกลับมามองเอริคสีหน้าลุ้นๆ จากนั้นก็เดินดุ่มๆ ไปลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเอริคออกมานั่งเพื่อรอฟังคำตอบ ทำไมถึงรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ คงเพราะเงินหกหมื่นกำลังลอยมาแน่เลย หุหุ “ออสตินว่ายังไงบ้างคะ เขาจะให้ไปวันไหนเหรอ?” เอริคตักซุปกินอย่างสบายอารมณ์ แต่ยังแอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นฉันตาลุกวาวเพราะจะได้เงินหกหมื่น “อีกสองวัน“ “กี่โมงคะ?” “มันยังไม่บอก” ฉันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ สงสัยออสตินคงบอกรายละเอียดใกล้ถึงวันเองล่ะมั้ง “เหรอคะ… งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันกลับห้องก่อนดีกว่า” “เดี๋ยว” แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกออกจากที่นั่ง ฉันก็ต้องหันกลับไปมองหน้าเอริคคิ้วขมวดมุ่นอีกครั้ง เขาจะเรียกฉันบ่อยเกินไปแล้วนะ วันนี้คงไม่ได้กลับห้องตัวเองมั้งเนี่ย! ให้ตายเถอะ ฉันกรอกตามองบนไปสองทีก่อนจะถามเขาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายหน่อยๆ วันหยุดของฉัน… อุตส่าห์จะนอนดูหนังอยู่ห้องทั้งวันแล้วเชียว “มีอะไรอีกล่ะคะ” เอริควางช้อนลงแล้วสายตาคมก็จ้องมองใบหน้าฉันเรียบนิ่ง “ฉันยังกินข้าวไม่หมดเลย” “แล้วคุณมาบอกฉันทำไมน่ะ?” “เธอก็รอล้างจานด้วยไง” “ห๊ะ?! เดี๋ยวนะ… เผื่อว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิด ฉันไม่ใช่แม่บ้านสักหน่อย ฉันเป็นเลขาค่ะ!” ต่อมโมโหของฉันเริ่มเดือดปุดๆ เพิ่มขึ้น นี่เอริคเห็นฉันเป็นแม่บ้านจริงๆ ใช่ไหม บ้าชะมัด ถึงตอนนี้ฉันจะหัวฟูและหน้าสดยิ่งกว่าปลาที่ขายในตลาดก็ตาม แต่ฉันเป็นเลขานะไม่ใช่แม่บ้าน! “ก็เลขาไงถึงต้องทำ” เอริคยังคงตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย เขาต้องกวนประสาทฉันอยู่แน่ๆ เลย ฉันล่ะอยากจะเดินไปหยิบกระทะมาฟาดหลังเขาสักทีสองทีให้หายหงุดหงิด โอ๊ย เอริคนี่น่าโมโหจริง! ฉันพ่นลมหายใจแรงเพื่อควบคุมอาการหัวร้อนและไม่สนใจเขาอีกต่อไป จากนั้นก็รีบหันหลังก้าวขาฉับๆ เดินหนีทันที ขืนอยู่นานกว่านี้ฉันคงได้เป็นประสาทจริงๆ เข้าสักวันแน่นนอน! “ฉันกลับล่ะ” หมับ! “จะไปไหนโมนา” ฝ่ามือหนาคว้าข้อมือบางเอาไว้แน่นก่อนที่ฉันจะเดินไปถึงหน้าประตูห้องของเขา ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันกลับมาจ้องเอริคอย่างขุ่นเคือง ใจเย็นไว้ยัยโมนา สูดหายใจเข้าลึกๆ ใจเย็นไว้… เขาคือเจ้านายท่องไว้โมนา ท่องว่าเจ้านาย! “ฉันจะกลับห้องของตัวเองค่ะ ปล่อยด้วย” “แล้วเรื่องล้างจานล่ะ” ยังจะตามมาถามคำนี้อีกเหรอ! ให้ตายสิ “คุณไม่ได้จ้างแม่บ้านหรือไง”  “จ้าง แต่พรุ่งนี้ถึงจะมา” “ก็รอพรุ่งนี้สิคะ” ฉันขมวดคิ้วมุ่น และเอริคยังคงมองฉันนิ่งๆ เหมือนเดิม แต่ฉันกลับแอบเห็นสายตาคมวาววับเหมือนกำลังสนุกมาแวบหนึ่ง ก่อนมันจะกลับไปเป็นสายตาดุดันอย่างเคย หรือฉันคงตาฝาดไปเองนั่นแหละ เขาจะมาสนุกอะไรตอนนี้ล่ะยัยโมนา บ้าชะมัด สงสัยฉันกำลังเป็นประสาทจริงๆ สินะ! “จะให้แช่ชามทิ้งไว้หรือไง สกปรก” “โอเค งั้นฉันจะล้างให้ก็ได้!” ฉันชะงัก แล้วอ้าปากพะงาบๆ อย่างทำตัวไม่ถูก เหอะ! นี่เอริคกำลังด่าฉันว่าสกปรกอยู่สินะ! ฉันท่องยุบหนอพองหนอในใจเพื่อให้ใจเย็น ก่อนจะเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ สะบัดข้อมือออกจากฝ่ามือหนาแล้วเดินตึงตังเข้าไปในห้องครัว จากนั้นก็คว้าชามซุปที่เขากินไว้มาล้างให้เรียบร้อยโดยไม่สนว่าเขาจะกินอิ่มหรือยัง บ้าจริง วันนี้มันวันอะไรของฉันกันยะ ฉันไม่น่าย้ายมาอยู่ใกล้เอริคเลยให้ตายสิ! และแล้ววันหยุดแสนสุขเมื่อวานของฉันก็ได้ผ่านไปไวหมือนหายใจทิ้ง แถมยังเหมือนฉันไม่ได้หยุดและเหนื่อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเอริคคนเดียวเลยที่ใช้ฉันทำมันทุกหน้าที่ไม่เว้นแม้แต่ดูดฝุ่นโซฟาให้เขาน่ะ บ้าชะมัด นึกแล้วก็อารมณ์เสียอีกจนได้! ”เหอะ” ฉันยืนมองบานประตูห้องเอริคแล้วสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมพลังงานและสติให้กับตัวเอง แม้ว่าวันนี้ฉันต้องทำหน้าที่เลขา แต่อีกหน่อยฉันคงได้ย้ายตำแหน่งเป็นพนักงานล้างห้องน้ำแน่ๆ ถ้าเขายังคิดจะใช้ฉันทำมันทุกอย่างแบบนี้เนี่ย! พรึ่บ! “โมนา มายืนทำอะไรตรงนี้” จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกจนฉันที่กำลังจะเอื้อมมือไปกดออดถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แล้วกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างงุนงงเล็กน้อย “มาปลุกคุณน่ะสิคะ แต่ไม่คิดว่าคุณจะตื่นแล้ว… และแต่งตัวแล้วด้วย” ฉันมองขึ้นลงสำรวจการแต่งตัวที่ดูชิวเกินกว่าจะคิดว่าไปบริษัทของเอริค กางเกงยีนส์เข้มขาดเข่าเล็กน้อย เสื้อยืดสีดำและรอยสักที่โผล่พ้นเสื้อออกมานั่นก็เท่อยู่หรอก แต่ถ้าฉันไม่รู้จักไม่ว่าจะดูยังไงก็คงไม่คิดว่าเขาเป็นนักธุรกิจหรือผู้บริหารบริษัทใหญ่แน่นนอน… “เธอคิดว่าฉันไม่มีความรับผิดชอบรึไง” เอริคเลิกคิ้วถามพลางสายตาคมดุดันก็จ้องมองใบหน้าฉันนิ่งๆ แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจและหันหลังให้เขาทันที “ก็ใช่น่ะสิคะ ไปกันได้แล้วค่ะ วันนี้จะมีหุ้นส่วนมาคุยงานกับคุณ” “หึ ปากดีจริงๆ” ถึงเอริคจะเอ่ยเสียงเบากว่าปกติเหมือนพึมพำกับตัวเองก็ตาม แต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดีย่ะ! ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าเราต้องไปทำงานฉันจะหันไปแยกเขี้ยวใส่เขาด้วยความหมั่นไส้ให้หายเคืองเลย ไม่ว่ายังไงเอริคก็น่าโมโหจริงๆ นั่นแหละ เหอะ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD